ความสงบคือสิ่งที่หาได้ยากในดินแดน ‘ฉนวนกาซา’ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 หลังจากพรมแดนถูกแบ่งโดยกองทัพอิสราเอลและอียิปต์เมื่อสงครามอาหรับ-อิสราเอลสิ้นสุดลง ส่งผลให้สหราชอาณาจักรเลิกการครอบครองปาเลสไตน์ หลังจากนั้นฉนวนกาซาถูกปกครองโดยอียิปต์โดยตลอด มีเพียงช่วง 4 เดือนสั้น ๆ ในช่วงวิกฤตการณ์คลองสุเอซที่อิสราเอลได้กลับมาปกครองแผ่นดินผืนนี้ แต่เมื่ออิสราเอลชนะสงครามหกวัน ใน ค.ศ. 1967 ฉนวนกาซาก็ตกเป็นหนึ่งในดินแดนที่อียิปต์เสียให้อิสราเอล จนกระทั่ง ค.ศ. 1993 อิสราเอลและปาเลสไตน์ได้ตกลงกันเซ็น สนธิสัญญาออสโล ซึ่งใจความสำคัญคือการอนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์มีอำนาจในการปกครองตัวเอง (อย่างจำกัด) ในเขตฉนวนกาซา ต่อมาในค.ศ. 2005 ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Ariel Sharon อิสราเอลได้ดำเนินการถอนทหารและประชาชนชาวอิสราเอล ที่อาศัยอยู่ในฉนวนกาซาทั้งหมด ซึ่งหมายถึงการหมดอำนาจปกครองของอิสราเอลที่ยาวนานมาถึง 36 ปี แต่ในปัจจุบันอิสราเอลยังคงควบคุมการเข้าออกฉนวนกาซาจากภายนอก ส่วนสถานะทางการเมืองระหว่างประเทศของฉนวนกาซายังไม่ได้ข้อยุติ ด้วยเหตุนี้ฉนวนกาซาจึงเป็นพื้นที่สีแดงที่ไม่เคยเว้นว่างจากการสู้รบ ชีวิตมากมายที่ต้องดับลง เลือดที่เจิ่งนองบนพื้น เปรียบเสมือนสิ่งแลกเปลี่ยนกับอำนาจอธิปไตยที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องการ ปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน และเรื่องราวที่ดูเหมือนจะไม่มีตอนจบ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนโดยทั่วไปจะเริ่มรู้สึกชินชากับความรุนแรงในพื้นที่แห่งนี้ ฉนวนกาซากลายเป็นเหมือนพื้นที่ลับแลที่เสียงสะท้อนแห่งความรุนแรงส่งไปไม่ถึงโลกภายนอก จนกระทั่งในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 มีชาวปาเลสไตน์ เสียชีวิต 55 คน จากการประท้วงครั้งใหญ่ จึงทำให้โลกภายนอกเริ่มกลับมาสนใจความเป็นไปในพื้นที่แห่งนี้อีกครั้ง เหตุการณ์เดือนพฤษภาคมเป็นเหมือนเชื้อไฟที่เพิ่มดีกรีความร้อนแรงของฉนวนกาซาขึ้นมาอีกครั้ง การประท้วงโดยประชาชนปาเลสไตน์ยังดำเนินมาเรื่อยมา การห้ำหั่นที่ยาวนานทำให้เรื่องราวในดินแดนนี้โดนชาวโลกหลงลืมอีกครั้ง