ความเจ็บปวดและความโศกเศร้าเป็นสิ่งที่กระทบกับจิตใจเรา คงไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับมัน แต่สัจธรรมคือเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันไปไหนได้เพราะความทุกข์ย่อมมาคู่กับความสุขเสมอ แต่การสะสมความเจ็บปวดไว้ในตัวเรามากเกินไปสุดท้ายมันจะส่งผลกระทบไปสู่อาการอันไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เช่น ความเครียด, นอนไม่หลับ, วิตกกังวล อาจจะเป็นต้นตอของการเกิดสภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน ทุกคนต้องเจอกับความเจ็บปวด สิ่งที่แตกต่างคือการรับมือกับมันของแต่ละคน หากเราพยายามจะหนีจากมัน ความเจ็บปวดจะยิ่งติดอยู่ในความทรงจำ เราจะไม่มีทางลืมหรือสลัดมันหลุดไปได้ แต่หากเราเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน ร้องไห้ออกมา แล้วหาทางแก้ปัญหาไม่ให้เราต้องเจ็บปวดจากสาเหตุเดิม ๆ อีก เราจะเอาชนะและก้าวข้ามความเจ็บปวดนั้นไปได้อย่างถาวร เหมือนกับตอนเราเป็นเด็ก เราวิ่งหกล้มเป็นแผล เรารู้สึกเจ็บ แม้ผู้ใหญ่จะมาปลอบเราด้วยการบอกว่า ไม่เจ็บหรอกนะ เดี๋ยวก็หาย แต่เราก็รู้ดีว่ามันเจ็บ การพยายามหลอกความรู้สึกจึงเป็นเรื่องที่ไรประโยชน์ เราควรรีบไปล้างแผล ปฐมพยาบาล และพยายามไม่หกล้มแบบเดิมอีก การหลอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ไม่เจ็บ หรือการหาทางออกเช่นการดื่มเหล้า เล่นยา เพื่อให้ลืมความเจ็บปวดนั้นไป มีแต่จะยิ่งสร้างบาดแผลให้ตัวเองเจ็บปวดมากขึ้น ส่งผลให้เกิดผลกระทบในระยะยามตามมา ดังนั้นการเผชิญหน้าเพื่อรับมือและแปรเปลี่ยนความเจ็บปวดนั้นให้เป็นส่ิงที่มีประโยชน์ต่อตัวเราเองกันดีกว่า แปรรูปความเจ็บปวดด้วยงานศิลปะ หนึ่งในอาชีพที่สามารถเปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นงานศิลปะได้ดีที่สุดก็คือ “ศิลปิน” ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรี, นักแต่งเพลง, นัดวาดภาพ, นักเขียนหนังสือบทกวี หรือแม้กระทั่งนักเขียนนวนิยาย พวกเขาสามารถแปรเปลี่ยนห้วงอารมณ์อันมืดมนจนกลายเป็นผลงานที่ช่วยบรรเทาจิตใจ ต่อยอดจนเกิดเป็นการสร้างรายได้ในที่สุด เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่พูดกันลอย ๆ เพราะจากบทสัมภาษณ์ในหลาย ๆ