“ไม่ว่าใครก็ติดไวรัสได้ ไม่ว่าจะรวยหรือจนหรือมีอำนาจล้นฟ้า” ประโยคดังกล่าวคือการนิยามถึงภัยร้ายจากการระบาดของไวรัสได้เป็นอย่างดี เพราะใคร ๆ ก็สามารถป่วยได้ด้วยกันทั้งนั้น จึงทำให้สถานการณ์การเมืองโลกในช่วงนี้ลดความร้อนระอุลงอย่างไม่น่าเชื่อ UNLOCKMEN จะพาทุกคนสำรวจไปทั่วโลกว่าประเทศน้อยใหญ่แต่ละที่เขามีมาตรการรับมือกับไวรัสอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะประเทศที่มีคู่กรณีหรือไม่ค่อยจะลงรอยกัน ดูสิว่าไวรัสระบาดสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการทูตมากน้อยแค่ไหน ช่วงแรกประเทศจีนเผชิญกับไวรัสโควิด-19 ทำให้คนทั่วโลกรู้จักเมืองอู่ฮั่นในฐานะเมืองแพร่เชื้อ ประเทศจีนกล่าวหาว่ากองทัพสหรัฐฯ อาจเป็นผู้ปล่อยเชื้อใส่ประเทศจีน ส่วนทางสหรัฐอเมริกากล่าวว่าเป็นจีนเองนี่แหละที่คิดค้นเชื้อโรคและเกิดความผิดพลาดจนทำให้คนตายไปจำนวนมาก ประเทศคู่กรณีอย่างไต้หวันกับจีนที่ทะเลาะกันอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่น้อยหน้า เมื่อไต้หวันบอกว่าพวกเขาเตือนองค์การอนามัยโลก (WHO) ไปตั้งแต่แรกแต่กลับไม่มีใครสนใจฟัง เพียงเพราะไต้หวันไม่ถูกนับว่าเป็นประเทศในสายตาของจีนและองค์การอนามัยโลก ทางฝั่งญี่ปุ่นที่มีข้อพิพาทกับจีนแถมยังไม่ค่อยลงรอยกับเกาหลีใต้ก็มาร่วมวงครั้งนี้ด้วย สำนักข่าวญี่ปุ่นเรียกร้องให้จีนแสดงความรับผิดชอบเพราะเป็นประเทศแรกที่เกิดการแพร่ระบาด ส่วนเกาหลีใต้ก็มีท่าทีแข็งกร้าวเมื่อเกิดการระบาดใหญ่ทั่วประเทศ หลายเมืองเกิดการโทษกันไปมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกไวรัสโควิด-19 ว่า “ไวรัสจีน” องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์เตือนผู้คนทั่วโลกว่าโปรดอย่าเรียกชื่อไวรัสชนิดนี้ว่า “ไวรัสจีน” เพราะการกระทำดังกล่าวจะสร้างภาพลักษณ์ผิด ๆ ให้กับเพื่อนร่วมโลก เพราะไวรัสไม่รู้เรื่องพรมแดน ไม่สนใจชาติพันธุ์อันแตกต่าง สีผิว หรือเงินเก็บที่คุณฝากธนาคารเอาไว้ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกท่านอย่าสร้างภาพเหมารวมผิด ๆ ก่อให้เกิดความแตกแยก หลังจากหลายชาติต่างสลับสับเปลี่ยนวิวาทกันไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีไวรัสโควิด-19 ก็แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยย้ายจากจีนมาเป็นอิตาลีที่อาการหนักเข้าขั้นโคม่า ถัดจากอิตาลีคือสหรัฐฯ ที่มีผู้ติดเชื้อมากขึ้นจนน่าใจหาย และจำนวนผู้ติดเชื้อกับผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย