Business

คิดอย่างเซียน ข้อคิดที่จะทำให้คุณรวยได้อย่างมหาเศรษฐี WARREN BUFFETT

By: Lady P. February 27, 2015

WARREN BUFFETT มหาเศรษฐีที่พูดได้ว่าไม่เคยหลุดจาก 5 อันดับของมหาเศรษฐีระดับโลก  นักลงทุนหมายเลขหนึ่งของโลก ที่เชี่ยวชาญในด้านการลงทุนเน้นคุณค่า  ลูกศิษย์ของเบนจามิน เกรแฮม เจ้าของทฤษฎี Margin of Safety ซึ่งบัฟเฟต์ได้พัฒนาตัวเอง และสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าอาจารย์อีกด้วย

Warren Edward Buffett  เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1930 ปัจจุบันอายุ 86 ปี ที่โอมาฮา, เนแบรสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา ชีวิตนักลงทุนของเขาเริ่มต้นเมื่ออายุ 11 ปี และทุกวันนี้เราก็รู้จักชื่อ Buffett ในฐานะนักลงทุน นักธุรกิจและผู้ใจบุญชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงระดับโลก จากการจัดอันดับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ รวยติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกทุกปี

อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้มหาเศรษฐี WARREN BUFFETT สามารถคงอันดับมหาเศรษฐีระดับโลก 1 ใน 5 มาเป็นหลายปีติดต่อกัน วันนี้ Lady P. ได้รวบรวมวิธีคิดพื้นฐาน ที่จะช่วยให้คุณรวยได้อย่าง Warren Buffett มาเป็นข้อคิดสร้างแรงบันดาลใจกัน

1. จงเป็นผู้มัธยัสถ์

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง แต่มันมีความสำคัญพื้นฐานต่อการคิดของบัฟเฟตต์ ทั้งที่เป็นอภิมหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของโลก เขามีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย เช่น ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมซึ่งเขาซื้อเมื่อปี 2501 ที่เมืองโอมาฮาในรัฐเนแบรสกาซึ่งยังเป็นชนบทเสียเป็นส่วนใหญ่ หลังจากต่อเติมบ้าง บ้านหลังนั้นก็ยังเป็นแบบของคนอเมริกันชั้นกลางโดยทั่วไป นอกจากนั้นเวลาเขาไปไหนมาไหนก็ยังขับรถเอง ได้ค่าตอบแทนจากบริษัท Berkshire Hathaway เพียงปีละ 3.5 ล้านบาท หรือประมาณเดือนละ 290,000 บาทเท่านั้น ต่างกับประธานผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ ๆ ซึ่งมักได้ค่าตอบแทนหลายสิบล้านดอลลาร์ต่อปี

บัฟเฟตต์ไม่มีรายได้จากเงินปันผลของบริษัท Berkshire Hathaway เพราะบริษัทนั้นจ่ายเงินปันผลครั้งเดียวหลังจากเขาซื้อมา และหยุดจ่ายมาหลายทศวรรษแล้ว ฉะนั้นบริษัท Berkshire Hathaway จึงสามารถเก็บผลกำไรไว้ลงทุนต่อได้เป็นจำนวนมาก

ส่วนตัวบัฟเฟตต์เองก็มีเงินเหลือเพื่อนำไปลงทุนต่อ เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อไปตามกระแสสังคม จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายหุ้นที่มีอยู่ในมือ และยังเก็บเงินที่ได้จากการปันผลกำไรบริษัทที่ลงทุนแบบระยะยาวได้อีกต่อนึง ทั้งหมดไม่ใช่โชคช่วย Buffett ใช้เวลาพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ บางครั้งก็ลงไปล้วงลูก แทรกแซงกำจัดค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดประโยชน์ ลดค่าตอบแทนของผู้บริหารในบริษัทที่ลงทุนไป ส่งผลให้บริษัทเหล่านั้นทำกำไรได้สูงยิ่งขึ้น

2. จงยึดหลักช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม 

Buffett จ้องรอจังหวะทำธุรกิจเหมือนสิงโตล่าสัตว์ เค้ามีความอดทนเฝ้ารอโอกาสทองที่จะเกิดขึ้น รอความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ จากธุรกิจที่ผ่านการคำนวณมาแล้วเป็นอย่างดี ในปัจจุบัน วิกฤติเศรษฐกิจและความผันผวนของราคาวัตถุดิบพื้นฐาน โภคภัณฑ์ น้ำมัน ทำให้หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่มากมายที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ต่างมีโอกาสขึ้นลงได้อยู่เสมอ ทุกวันจึงเป็นโอกาสดีที่พิเศษพร้อมทำเงิน เราจึงเห็นชื่อ Buffett เข้าไปซื้อหุ้นในหลายบริษัทที่ทำกิจการด้านน้ำมันปิโตรเลียม ด้านการบริการพลังงานไฟฟ้า ด้านธนาคารพาณิชย์ และด้านการขนส่งอยู่ตลอดเวลา

3. จงเดินทวนกระแส

บัฟเฟตต์เฝ้ามองว่าบรรดานักลงทุนจะพากันเดินไปทางไหน แล้วเขาจะพยายามเดินไปทางตรงข้าม เนื่องจากทางที่นักลงทุนส่วนใหญ่พากันไปนั้น โอกาสในการทำกำไรอย่างงดงามย่อมมีน้อย เพราะนักลงทุนจำนวนมากได้ผลักดันราคาของหุ้นให้สูงขึ้นแล้วเรียบร้อย แต่ในจังหวะที่นักลงทุนเฮกันเทขาย ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงรุนแรง หุ้นของบางบริษัทตกมากเป็นพิเศษ จังหวะนี้บัฟเฟตต์ถือเป็นโอกาสดีที่จะซื้อหุ้นได้ในราคาถูก

4. จงเลือกลงทุนในสิ่งที่ตนเองเข้าใจ

บัฟเฟตต์จะไม่ซื้อหุ้นของบริษัทที่เขาไม่เข้าใจว่าผลิตอะไรออกมา และไม่รู้ว่าบริษัทนั้นทำกำไรได้อย่างไร ทั้งที่ในยุคนี้ มหาเศรษฐีจำนวนมากใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนสร้างความร่ำรวย แต่บัฟเฟตต์กลับหลีกเลี่ยงการซื้อหุ้นในบริษัทเทคโนโลยี เพราะเขาไม่เข้าใจเทคโนโลยีใหม่ ๆ และไม่รู้ว่าบริษัทเหล่านั้นจะทำกำไรได้อย่างไร อีกไม่กี่ปีต่อมา ผลปรากฏว่านักลงทุนพากันสูญเงินจำนวนมหาศาลเมื่อฟองสบู่ในภาคเทคโนโลยีแตก แต่บัฟเฟตต์ทำกำไรได้อย่างงดงามจากการลงทุนในภาคอื่น

5. จงอย่าฟังนักวิจารณ์หรือการยืนยันของตลาด

ยุคนี้มีนักวิจารณ์จำนวนมากออกมาวิจารณ์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ตามสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง คนกลุ่มนี้มีความเห็นสารพัด และมักจะให้การยืนยัน หรือไม่ก็ยืนแย้งการตัดสินใจในการลงทุนของนักลงทุนใหญ่ ๆ บัฟเฟตต์จะไม่ฟังคำวิจารณ์ และไม่ต้องการดูราคาหุ้นรายวันว่าไปทางไหน รายชั่วโมงผันผวนแค่ไหน เขาจะตัดสินใจบนฐานของการวิเคราะห์ข้อมูลของเขาเอง

6. จงค้นหาของดีราคาถูกให้พบ 

ในกระบวนการค้นหาหุ้นราคาถูก บัฟเฟตต์เริ่มวิเคราะห์เพื่อค้นหา “มูลค่าภายใน” (intrinsic value) ของบริษัทเป็นขั้นแรก กระบวนการนี้อาจมองดูว่าราคาหุ้นของบริษัทคล้าย ๆ กันเป็นอย่างไร หรือไม่ก็คำนวณค่าปัจจุบันของเงินสดที่บริษัทนั้นน่าจะทำได้ในอนาคต รายละเอียดของวิธีคำนวณอาจหาได้ในหนังสือชื่อ The Warren Buffet Way ของ Robert Hagstrom หรือเรื่อง The Market Gurus ของ John Reese และ Todd Glassman

หากราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดต่ำกว่ามูลค่าภายในมาก ๆ บริษัทนั้นน่าสนใจเพราะมี “ส่วนเผื่อความปลอดภัย” (margin of safety) สูงมาก บัฟเฟตต์ไม่ค่อยสนใจเรื่องผลกำไรต่อหุ้น แต่สนใจในผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น (return on equity) ส่วนต่างระหว่างราคาขายของสินค้ากับต้นทุน และภาระหนี้สินของบริษัท นอกจากนั้นเขายังต้องการเห็นบริษัททำเงินสดได้มาก ๆ แล้วนำไปลงทุนอย่างชาญฉลาด หรือไม่ก็จ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นของตนคืน ในกระบวนการวิเคราะห์นี้ เขาจะมองย้อนไปในอดีตอย่างน้อย 5 ปีเพื่อดูว่าบริษัทมีประวัติการประกอบการอย่างไรในภาวะต่าง ๆ กัน ฉะนั้น เขาจะไม่เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีประวัติดีโชว์ให้เห็นผลงานมาก่อน

7. จงทุ่มเงินลงไปในบริษัทที่น่าซื้อ

เรื่องนี้เป็นลักษณะหนึ่งของการเดินย้อนกระแส นักลงทุนโดยทั่วไปมักใช้การกระจายการลงทุนออกไปในหลายบริษัทเพื่อหวังลดความเสี่ยง แต่สำหรับบัฟเฟตต์ เมื่อใดที่เขามองเห็นโอกาสดีชัดเจนเป็นพิเศษ เมื่อนั้นเขาจะทุ่มทุนซื้อหุ้นของบริษัทนั้นเป็นกอบเป็นกำทันที เขามองว่าการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนและการมีความอดทนที่จะรอจนได้ “ส่วนเผื่อความปลอดภัย” สูงมาก ๆ เป็นมาตรการลดความเสี่ยงที่ดีที่สุดอยู่แล้ว ฉะนั้น ประวัติการลงทุนของเขาบ่งว่า ความสำเร็จของเขาเกิดจากผลตอบแทนสูงมาก ที่เขาได้จากการทุ่มลงทุนในหุ้นของบริษัทเพียงราวหนึ่งโหลเท่านั้น ซึ่งไม่เยอะเมื่อเทียบกับ Port ลงทุนขนาดมโหฬาร

8. จงซื้อเพื่อถือไว้หาผลกำไรในระยะยาว

บัฟเฟตต์มองว่าถ้าได้วิเคราะห์เป็นอย่างดีแล้วว่าควรลงทุนในบริษัทไหน บริษัทนั้นควรจะให้ผลกำไรดีเป็นเวลานาน ฉะนั้นผู้ที่ไม่สามารถทนดูราคาหุ้นของตนตกไปได้ถึง 50% อย่าคิดเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นเด็ดขาด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เมื่อซื้อหุ้นมาแล้วก็เลิกติดตามความเป็นไปของมัน ตรงกันข้าม ผู้ถือหุ้นจะต้องติดตามและวิเคราะห์เหตุการณ์รอบด้านอย่างใกล้ชิด เมื่อใดที่เห็นว่าบริษัทนั้นหมดโอกาสที่จะทำกำไรดีต่อไป หรือกำลังเดินเข้าภาวะลำบาก เมื่อนั้นจงรีบขายออกไปทันที

บัฟเฟตต์บอกว่าการซื้อขายหุ้นบ่อย ๆ มีแต่จะเป็นเหยื่อให้นายหน้าค้าหุ้น ที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้บริหารกองทุน เขาประเมินว่าคนเหล่านั้นหักเอาผลกำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไปราวปีละราว 140,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 20% ของผลกำไรทั้งหมด ซึ่งมีผลกระทบทางลบต่อผลประกอบการของบริษัท

แล้วอีกข้อที่สำคัญมากคือ “จงรู้ว่า ความสำเร็จในความคิดของคุณเป็นอย่างไร”  นักธุรกิจที่ดีต้องรู้ว่าวัตถุประสงค์ และเป้าหมายในการทำธุรกิจ ลงทุนของตนเป็นอย่างไร  Warren Buffet กล่าวว่า  ตอนสมัยหนุ่มๆ คนเราอาจวัดความสำเร็จว่ามีเงิน มีความมั่งคั่งมากเพียงไหน   แต่พอผ่านช่วงชีวิตหนึ่ง ความสำเร็จความภูมิใจในความเป็นจริง อาจเป็นแค่การมีครอบครัวที่รักกันอบอุ่น ก็เพียงพอกับการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จแล้ว

ติดตามเรื่องการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่ งงหุ้น  www.facebook.com/stockwhat

 

Lady P.
WRITER: Lady P.
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line