2 เคล็ดลับสร้างพลังงานบวกโคตรง่าย จากการมองโลกในแง่ดี

“ชีวิตจะดี ถ้าเรามองโลกในแง่ดีนะนาย” คำพูดโคตรง่าย ที่ง่ายเฉพาะในหนัง หรือง่ายต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายพูดปลอบใจใครสักคน

“ชีวิตกูแม่งแย่ ไม่มีอะไรดี ไม่มาเป็นกู มึงไม่รู้หรอกว่าแม่งรู้สึกยังไง” คำพูดโคตรง่าย ที่ง่ายในชีวิตจริง ง่ายเมื่อเราเป็นฝ่ายเจอปัญหา อันที่จริงแล้ว การมองโลกในแง่ร้าย ดูจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะมันได้ถูกฝังอยู่ใน DNA ของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์

การมองโลกในแง่ร้าย เป็นหนึ่งในสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่สำคัญของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เมื่อเจอเสียงหลอน ๆ กลางป่า บรรพบุรุษของเราก็จะเตรียมรบหรือหาที่หลบซ่อน เมื่อเจอท่าทีว่าจะมีภัยธรรมชาติ บรรพบุรุษของเราก็เตรียมหาทางเอาตัวรอด สมอง จึงพาเราไปหมกมุ่นอยู่ในการมองโลกแง่ร้ายอยู่เสมอ

ถ้างั้นการมองโลกในแง่ร้าย ก็ไม่แย่ซะทีเดียว? ในยุคที่ต้องเอาตัวรอดจากธรรมชาติ ก็คงต้องตอบว่าใช่ แต่ในชีวิตการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน การมองโลกในแง่ร้าย นอกจากจะดึงดูดพลังงานลบเข้าหาตัวแล้ว ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าเป็นการค่อย ๆ ทำร้ายสุขภาพร่างกายโดยไม่รู้ตัว ต่อให้ไม่พูดออกมา ความเครียด ความหดหู่จากการคิดเรื่องร้าย ๆ ในหัว ก็สามารถทำร้ายให้ร่างกายทรุดโทรมได้เช่นเดียวกัน และที่สำคัญ​ งานวิจัยจาก University of Michigan สรุปว่า คนที่มองโลกในแง่ร้าย มักจะมีอายุขัยสั้นกว่าคนมองโลกในแง่ดี (ดังนั้นเกลียดใครหนักมาก ก็จงยุยงให้มันเครียดเข้าไว้ มันอาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 50 ปี)

ไม่ใช่แค่ด้านสุขภาพ นักจิตวิทยาระดับรางวัลนามว่า “Marty”  Mr. Martin Seligman เคยทำการเปรียบเทียบผลงานของคนขายประกันชีวิต ระหว่างคนมองโลกในแง่ร้าย ปะทะคนมองโลกในแง่ดี พบว่าคนพลังบวกสามารถปิดยอดขายได้มากกว่าถึง 37% ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะพวกเราก็คงอยากคุย อยากอุดหนุนคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ มากกว่าคนที่นั่งถอนหายใจทุก 5 นาที

แล้วจะให้ทำยังไง ก็ชีวิตมันโหดร้ายเหลือเกิน? นาย Marty ผู้คว่ำหวอดในวงการพลังบวกพลังลบ ได้แนะนำเคล็ดลับเปลี่ยนคนคิดลบ ให้กลายเป็นบวก โดยใช้เทคนิค 2 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่เราทดลองแล้วได้ผล อยากให้เอาไปปรับใช้กัน

แยกเรื่องร้าย ออกจากความเป็นจริง

ยิ่งจมลึกลงไปในกองพลังลบ สมองเราก็จะยิ่งไปดึงเรื่องราวลบ ๆ ให้พรั่งพรูออกมา ความฉิบหายน่าอายในวัยเด็ก เรื่องบัดซบที่เคยทำพลาดไปตอนวัยรุ่นที่พยายามจะลืมไป ก็ฉายย้อนกลับมา เหมือนเพิ่งผ่านมาใหม่ ๆ อนาคตที่ยังไม่ถึง ก็ไปดึงมันมาลบไปด้วย เรียกว่ามืดมนทั้งอดีต ปัจจุบัน ยันอนาคตกันเลย

Marty แนะนำว่าทันทีที่เกิดความคิดลบ ๆ ขึ้นมา อย่าถลำลึกไปกับมัน ให้เขียนเรื่องนั้นออกมาใส่กระดาษ (หรือถ้ามือไม่ว่าง จะพิมพ์ใส่ iPhone ไว้ก็ได้) แล้วแยกเรื่องลบ ๆ นั้นออกจากความเป็นจริง เราจะรู้ว่าชีวิตก็ไม่แย่ขนาดนั้นหนิหว่า

“กูแม่งซวยฉิบหาย ไม่เคยโชคดีเชี่ยอะไรกับเค้าเลย” เมื่อวานเพิ่งจะโชคดีไป อาทิตย์ก่อนเพิ่งจะโชคดีไป เดือนที่แล้วก็โชคดีไปแล้ว เพิ่งจะเจอเรื่องซวยแค่ตอนนี้ อย่าไปให้สมองมันหลอกเราว่าซวยมาทั้งชีวิต แค่เป็นอสุจิตัวที่ 1 ในล้านที่เข้าเส้นชัยได้ ก็เรียกว่าอภิมหาโชคแล้ว

“เจ้านายแม่งโครตเชี่ย ไม่เคยเห็นข้อดีของกูเลย” ได้ข่าวว่าปีที่แล้วเค้าเพิ่งให้โบนัส 5 เดือน จนน้ำตาหยดติ๋ง ๆ ทราบซึ้งในพระคุณ โดนด่าทีเดียว เกลียดแม่งซะแล้ว? แล้วที่เค้าชมมาตลอดทั้งปี ที่เค้าเพิ่งจะชมเมื่อวานล่ะ? แล้วเราผิดจริงหรือเปล่า งานเราห่วยจริงหรือเปล่า เราทำตัวเป็นไอ้บื้อนั่งปากห้อยไปวัน ๆ โดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า?

เมื่อคิดได้แบบนี้ เราก็จะพบว่า เฮ้ย ที่จริงมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนี่หว่า! การถลำลึกไปสู่ความมืดด้านลบก็จะหยุดลงทันที

นึกถึงเรื่องดีใส่เข้าไปในหัว

เมื่อพลังลบหยุดขยายตัว Marty แนะนำว่า เป็นจังหวะที่เราต้องเอาพลังบวกเข้าตีแย่งพื้นที่ในสมองทันที หลายคนน่าจะเคยเผลอยิ้มออกมา เพราะเรื่องราวดี ๆ ในอดีตที่ฝังอยู่ในสมองโผล่แทรกขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เรื่องราวดี ๆ เหล่านั้นสามารถสร้างพลังบวกให้เราได้ไม่ยาก สามารถฉุดเราขึ้นมาจากการมองโลกแง่ร้ายได้ดี แต่ถ้าจังหวะนั้นของกำลังขึ้น นึกเรื่องดี ๆ ไม่ค่อยออก ก็ขอให้ย้อนกลับไปข้อแรก เขียนลงกระดาษซะ แล้วลองถามตัวเองดูว่า มันเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรอวะ ลองปรึกษาคนสนิทดูด้วยก็ได้ว่ามันเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรอวะ บางทีเราอาจจะได้คำแนะนำดี ๆ มาเพิ่มก็ได้

เป็นไอเดียที่ฟังดูไม่ยาก แต่รับรองเลยว่าใช้ได้ผลดีแน่นอน เหมาะจะนำไปปรับใช้ทั้งการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน ที่ความเครียดพร้อมทำให้เรามองโลกในแง่ร้าย เมื่อพลังบวกเป็นของเรา เรื่องดี ๆ ก็จะถูกดึงดูดเข้ามา สุขภาพก็ดี ร่างกายแข็งแรง แถมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่ขนาดเราพิมพ์เรื่องนี้ เรายังยิ้มไปด้วยเลยนะเนี่ย

Reference: Linkedin / Success