หลายคนเคยได้ยินเรื่องเล่าว่า นาฬิกา Cartier รูปทรงที่บิดเบี้ยวเพราะไฟไหม้จากอุบัติเหตุรถยนต์ กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ Jean-Jacques Cartier สร้าง Crash ออกมา หรืออีกเรื่องเล่าที่ว่ามันมาจากนาฬิกาในภาพเขียนของ Salvador Dalí “The Persistence of Memory (1931)” ฟังดูเป็นเรื่องโรแมนติกดีใช่ไหม? แต่น่าเสียดายที่มันไม่ใช่เรื่องจริง ความจริงคือ Cartier Crash เกิดจาก “การออกแบบอย่างตั้งใจ” Jean-Jacques Cartier และดีไซน์เนอร์ Rupert Emmerson จงใจหยิบ Cartier Baignoire ดีไซน์ทรงรี (oval) ที่เรียบหรู เอามาบิดให้เบี้ยวอย่างตั้งใจกลายเป็น Cartier Crash ตาม request ของ Stewart Granger ดาราชื่อดังชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วง Swinging sixties ที่มีการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างกว้างขวางในช่วงยุค ’60s – 70s พูดเหมือนง่าย แต่วิธีทำ Cartier
ในหมู่รถแข่งที่เคยแบกรหัส CSL (Coupe Sport Leichtbau) ของ BMW ไม่มีคันไหน “เกินหน้าเกินตา” รุ่นปี 1975 ที่พุ่งสู่สนามแข่ง IMSA North America ได้อีกแล้ว นี่คือ BMW 3.5 CSL GTO Batmobile สายพันธุ์โหดสุด ที่ไม่ใช่แค่ทำให้โลกรู้จัก BMW Motorsport แต่ยังสร้างตำนานให้ BMW บนแผ่นดินอเมริกาอย่างแท้จริง The Road from ETCC to IMSA แรกเริ่มเดิมที BMW 3.0 CSL ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อชิงแชมป์ European Touring Car Championship (ETCC) ในยุโรปมันครองบัลลังก์ไปแล้วตั้งแต่ปี 1973 แต่ฝั่งอเมริกา BMW ยังเป็น “ผู้มาใหม่” ที่แทบไม่มีใครรู้จัก Bob Lutz และ
วันนี้โลกได้สูญเสีย Val Kilmer ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้แค่แสดงบทบาทบนจอภาพยนตร์ แต่เขาคือบทกวีที่มีลมหายใจ เสียงที่ไม่จำเป็นต้องเปล่งออกมาก็ยังคงดังก้องอยู่ในใจของผู้คน เขาคือนักแสดงที่เลือกบทไม่ใช่เพราะชื่อเสียง แต่เพราะความจริงที่ซ่อนอยู่ในตัวละครนั้น ๆ และด้วยการจากไปของเขา เราขอแสดงความคารวะด้วยการย้อนกลับไปมองทุกบทบาท ที่ไม่ได้เพียงเล่าเรื่องของตัวละคร แต่เล่าความเป็นมนุษย์ของ Val Kilmer เอง “Ice Man” – ผู้ที่รู้จักความเยือกเย็น และความอดทน ใน Top Gun (1986) เขาคือ Iceman นักบินที่เฉียบคม เที่ยงตรง และไม่ประนีประนอม ตัวละครที่ดูเยือกเย็นภายนอก แต่ภายในเต็มไปด้วยความกล้าหาญและภักดีต่อเพื่อนร่วมทีม นี่ไม่ต่างจากตัวจริงของ Val ที่ยืนหยัดในวงการอย่างหนักแน่น แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปกี่ครั้ง เสียงของเขาที่หายไปก็ไม่ได้ทำให้ศักดิ์ศรีในใจเขาหายตามไปด้วย “Jim Morrison” – ศิลปินผู้ลุกเป็นไฟแม้ข้างในจะว่างเปล่า ใน The Doors (1991) เขาสวมบท Jim Morrison ด้วยจิตวิญญาณศิลปินที่แท้จริง เขาร้องเพลงเอง เขาศึกษาชีวิตจริงของ Morrison อย่างลึกซึ้ง และถ่ายทอดความเจ็บปวด ความงาม
ถ้า Porsche 911 คือรากฐานของความสปอร์ตเยอรมันที่คลาสสิกไม่เปลี่ยนแปลง RUF CTR3 ก็คือรถที่ฉีกทุกกรอบนั้นทิ้ง แล้วสร้างคำตอบใหม่ขึ้นมาด้วยความเชื่อว่า “ของแท้ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร” CTR3 คือรถรุ่นแรกของ RUF ที่ไม่ได้ใช้โครงสร้างของ Porsche แบบเดิมอีกต่อไป แต่วางพื้นฐานใหม่ร่วมกับบริษัท Multimatic จากแคนาดา ทีมเดียวกับที่ผลิต Ford GT รุ่นใหม่ผู้ชนะ Le Mans เส้นสายของ CTR3 ยังคงกลิ่น Porsche แต่กล้ามชัดขึ้น ฐานล้อยาวขึ้น 11 นิ้ว กว้างขึ้นอีก 5 นิ้วเพื่อรองรับเครื่องยนต์วางกลางลำ มันดูใกล้เคียงกับ Carrera GT และ 918 Spyder มากกว่า 911 ที่เราคุ้นตา และมันก็ไม่ได้พยายามจะเป็นอะไรที่คุ้นเคยด้วย เครื่องยนต์ที่อยู่กลางลำคือบล็อก 3.8 ลิตร flat-six พื้นฐาน Porsche แต่ผ่านการอัปเกรดแบบจัดเต็มด้วยเทอร์โบคู่จาก KKK ให้แรงม้าสูงสุด 682
หากโลกนี้ความบางคือความสง่างาม ความแม่นยำคือบทกวี และ Tourbillon คือบทสุดท้ายของตำนาน… Bulgari ได้เขียนบทนี้ใหม่อีกครั้ง ด้วย Bulgari Octo Finissimo Ultra Tourbillon – ผู้สร้างสถิตินาฬิกาบางที่สุดในโลกถึง 10 ครั้งในทศวรรษเดียว ย้ำสถานะราชาแห่งความบางของวงการ haute horlogerie อย่างแท้จริง Octo Finissimo Ultra Tourbillon มาพร้อมตัวเรือนไทเทเนียมขนาด 40mm x 1.85mm ที่หล่อขึ้นพร้อมกับฐานกลไกเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง ด้วยวัสดุ ultra-hard tungsten carbide mainplate/caseback แข็งแรงและบางในเวลาเดียวกัน กลไก BVF 900 ที่จาก BVL 180 ของ Octo Finissimo Ultra COSC 2024 พัฒนาร่วมกับ movement specialist Concepto ทำลายขีดจำกัดของคำว่า ultra-thin ทุกฟังก์ชันต้องอยู่บนระนาบเดียวกัน
ย้อนกลับไปแค่สองปีก่อน Rolex เคยทำให้โลกต้องตั้งคำถามกับ “Destro” หรือ GMT-Master II ที่ถูกออกแบบให้คนถนัดซ้ายใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการย้ายเม็ดมะยม วันที่ และ Cyclops ไปอยู่ฝั่งซ้ายทั้งหมด ในตอนนั้นหลายคนว่าแปลก บางคนว่าท้าทาย วันนี้ Rolex กลับมาเล่าเรื่องนั้นอีกครั้ง — แต่ในโทนที่หรูหรากว่า หนักแน่นกว่า และเขียวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย นี่คือ GMT-Master II Ref. 126729VTNR ในเวอร์ชั่น ทองคำขาว พร้อมหน้าปัด “เซรามิกเขียว” Cerachrom รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ถ้าคุณเป็นคนที่คุ้นชินกับ Rolex แบบเดิม คุณอาจคิดว่ามันแค่เปลี่ยนสี เปลี่ยนวัสดุ แล้วขายใหม่ในราคาที่แพงขึ้น แต่ในความจริง มันมีอะไรมากกว่านั้น โดยเฉพาะ “เนื้อของหน้าปัด” ที่ไม่ได้ใช้การพ่นสีแบบ lacquer เหมือนที่ผ่านมา แต่ใช้วัสดุ Cerachrom (เซรามิกชนิดพิเศษที่แบรนด์พัฒนาขึ้นเอง) ที่ต้องใช้ฝีมือและการควบคุมเฉดสีอย่างแม่นยำ และในรุ่นนี้ Rolex จงใจเลือกสีเขียวให้แมตช์กับขอบหน้าปัดครึ่งล่างได้อย่างแนบเนียน ซึ่งถือว่า rare
ลองจินตนาการดูว่า Yamaha แบรนด์ที่คุณน่าจะคุ้นจากมอเตอร์ไซค์ R-Series หรือเปียโนข้างบ้าน จู่ ๆ ประกาศว่าจะสร้าง ซูเปอร์คาร์กลางเครื่อง วางเครื่อง V12 แบบเดียวกับใน F1 ที่วิ่งได้บนถนนจริง ๆ — ใช่ครับ มันเกิดขึ้นจริง ในช่วงปี 1992 และชื่อของมันคือ OX99-11 ก่อนจะพูดถึง OX99-11 เราต้องเล่าก่อนว่า Yamaha คือ “เบื้องหลังความแรง” ของรถดังหลายรุ่น เช่น Toyota 2000GT (1967) รวมถึงสุดยอดแห่งความภาคภูมิใจ Lexus LFA กับเครื่อง V10 1LR-GUE – ผลงานที่ Yamaha มีส่วนร่วมทั้งเสียงและความบ้าคลั่ง พร้อมซาวด์ระดับเทพที่ใครได้ยินจะไม่มีวันลืม – คราวนี้ลองนึกภาพดูว่า ถ้าพวกเขาไม่แค่ “ช่วยออกแบบ” แต่ “สร้างทั้งคัน” จะเกิดอะไรขึ้น? ในช่วงปี 89’s Yamaha กระโจนเข้าสู่สนาม
ย้อนกลับไปปี 1967 โลกทั้งใบหันมามองรถญี่ปุ่นคันนี้ เพราะมันเป็นรถญี่ปุ่นคันแรกและคันเดียวที่ได้รับเลือกให้เป็น “Bond Car” ในภาพยนตร์เรื่อง You Only Live Twice ซึ่งถ่ายทำในประเทศญี่ปุ่น เดิมที ผู้กำกับ Lewis Gilbert มีแผนจะใช้ Chevrolet Camaro ในฉากไล่ล่า แต่ Sachio Fukuzawa นักแข่งรถของ Toyota ได้แนะนำให้ใช้รถยนต์ญี่ปุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับสถานที่ถ่ายทำ ทำให้ Toyota 2000GT เครื่องยนต์ 2.0L inline-6 DOHC 150 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับหลัง 0-100 km/h ภายใน 8.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 km/h ได้รับบทบาทนี้ไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม ห้องโดยสารของ 2000GT ค่อนข้างเตี้ยและแคบ Sean Connery ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ไม่สามารถนั่งได้อย่างสบาย
ในโลกที่นาฬิกาจักรกลถูกนิยามด้วยคำว่า “คลาสสิก” Rolex กลับเลือกจะเขียนคำว่า “อนาคต” ให้ชัดขึ้นกว่าที่เคย และ Land-Dweller คือการประกาศทิศทางใหม่ของแบรนด์ที่ไม่ต้องประกาศ แต่เริ่มจากกลไกที่เดินอยู่เงียบ ๆ ใต้หน้าปัด ชื่อ Land-Dweller ถูกจดทะเบียนตั้งแต่กลางปี 2023 การกลับมาอีกครั้งของแนวทางการออกแบบ ตัวเรือนแบบ integrated Flat Jubilee bracelet รื้อฟื้นภาพจำของยุค Oysterquartz ดีไซน์จาก Datejust ref. 1530 ในปี 1975 เป็นแกนกลางในการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยตัวเรือนทรง barrel เปิดตัวพร้อมกันถึง 10 references โดยมีทั้งตัวเรือน steel, Everose gold และ platinum ในขนาด 36mm และ 40mm บางเพียง 9.7mm กับหน้าปัด honeycomb ลายรังผึ้ง ประกบด้วยกระจก sapphire ทั้งหน้าและหลัง —
เมื่อพูดถึง Ferrari F40 หลายคนอาจนึกถึงซูเปอร์คาร์ยุค 80s ที่เป็นไอคอนของความเร็วและดีไซน์เหนือกาลเวลา แต่หากคุณเป็นนักสะสมตัวจริงหรือแฟนพันธุ์แท้ของ Ferrari คุณจะรู้ว่ามีเวอร์ชันที่หายากและทรงพลังยิ่งกว่าเดิม นั่นคือ Ferrari F40 LM ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนามแข่งโดยเฉพาะ จากถนนสู่สนามแข่ง Ferrari F40 เดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีของ Ferrari ในปี 1987 และเป็นรถรุ่นสุดท้ายที่ได้รับการอนุมัติจาก Enzo Ferrari โดยตรง แต่เวอร์ชัน F40 LM (Le Mans) ถูกปรับแต่งใหม่โดยทีมพัฒนาของ Michelotto เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในรายการ IMSA GT และ Le Mans 24 Hours ความแรงระดับสนามแข่ง สิ่งที่ทำให้ F40 LM โดดเด่นเหนือกว่า F40 รุ่นมาตรฐานคือการอัปเกรดเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ขนาด 2.9 ลิตร ที่เพิ่มพลังจาก