World

KINBAKU: รัดรึงและร่วมรัก ย้อนที่มาของวัฒนธรรมพันธนาการเรือนร่างของญี่ปุ่น

By: HYENA January 2, 2019

ยอมรับมาเถอะว่าเราต้องเคยเห็นหนังผู้ใหญ่ผ่านตามาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งคงจะเคยเห็นฉากการใช้เชือกในการพันธนาการร่างกาย บางคนอาจจะดูแล้วไม่ได้คิดอะไร แต่เราว่าถ้ามองข้ามเรื่อง SEX ไป จะเกิดคำถามและสงสัยเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและเหตุผลของมันกันอย่างแน่นอนว่า มันคืออะไร? ทำไมถึงต้องทำแบบนี้?

ไอ้ความน่าสนใจ และน่าสงสัยที่ว่านี้ ก็คือการนำเชือกมามัดสานกันบนเรือนร่างของหญิงสาว ซึ่งมีชื่อเฉพาะของมันเรียกว่าว่า “Kinbaku (緊縛)” หรือ “Shibari (縛り)” หากใครสงสัย และอยากรู้เรื่องราวความ Erotic นี้แบบจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่แค่ดูผ่าน ๆ แล้วนั่งสาว ๆ ไปเรื่อยเปื่อย ขอบอกเลยว่า ห้ามพลาดบทความนี้ที่จะทำให้ทุกคนเข้าถึงการมัดสุดสยิวกันถึงต้นกำเนิดกันเลยทีเดียว

The Origins of  Kinbaku

มาดูที่ต้นกำเนิดของ “Kinbaku (緊縛)” การมัดสุดสยิวนี้กันเลยดีกว่า คนทั่วไปต่างก็รู้ว่า เรื่องของงานฝีมือ และความคิดสร้างสรรค์นั้น ชาวแดนปลาดิบถือว่าขึ้นชื่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงานประเภทการพับ การห่อ การผูก เรียกได้ว่า จะทำออกมายังไงก็ดู Art ไปซะหมด ลองดูการมัดข้าวกล่อง หรือของฝากต่าง ๆ น่าจะพอนึกภาพออก

แต่อันที่จริงแล้ว ที่มาของความ Craft เหล่านี้ มาจากในอดีตนั้น วัสดุจำพวกโลหะในประเทศญี่ปุ่นมีราคาแพงมากตั้งแต่ยุคสมัยซามูไรครองแผ่นดิน ดังนั้นชุดเกราะของนักรบหรือซามูไร จึงถูกผลิตขึ้นและเชื่อมต่อด้วยเชือก นอกจากนี้พวกถังบรรจุเหล้าสาเก รวมไปจนถึงสิ่งก่อสร้างอย่างศาลเจ้าชินโต ก็ยังใช้เชือกเส้นใหญ่ ๆ มาทำให้สิ่งก่อสร้างอย่างศาลเจ้านั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แถมยังเชื่อกันว่า เชือกที่ถูกมัดล้อมรอบศาลเจ้านั้น จะช่วยมัดให้วิญญาณทั้งหลายอยู่ในสถานที่นั้น ๆ ไม่สามารถหนีออกไปไหนได้

มาถึงจุดเริ่มต้นของการใช้เชือกมัดร่างกาย ต้องย้อนยาวกันไปไกลถึงสมัยเอโดะ ในยุคเอโดะถือเป็นยุคที่บ้านเมืองเพิ่งจะกลับมาสงบสุขเรียบร้อย หลังจากผ่านยุคสงครามของเหล่าซามูไรที่ชิงอำนาจกันแบบดุเดือดมายาวนาน การมัดเชือกสไตล์ญี่ปุ่นบนเรือนร่างที่เรียกว่า “Kinbaku (緊縛)”  ก็ได้นำมาใช้เป็นเครื่องพันธนาการ และใช้ลงโทษผู้ที่กระทำความผิดแทน ไม่ว่าจะใช้ผูกมัดเพื่อการกักขัง ยับยั้ง และใช้ในการทรมานนักโทษ เนื่องจากยังไม่มีคุกคุมขังผู้กระทำผิด นี่จึงเป็นที่มาของ “Kinbaku (緊縛)”

ช่วงเวลานี้เองที่ Sokubaku (Bondage) ได้มีการเผยแพร่วิชาการมัดเพื่อยับยั้งหรือลงโทษด้วยเชือกออกมา ต่อมากลายเป็นวิชาศิลปะป้องกันตัวที่มีชื่อว่า Hojo-Jutsu ที่ว่ากันว่าเป็น “Art of Restraint” ซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้โดยซามูไรที่กลายเป็นผู้บังคับกฎหมายภายในประเทศภายใต้รัฐบาล Tokugawa ด้วยวิธีการ 4 แบบ เรียงตามโทษเบาไปจนถึงโทษหนัก ซึ่งทุกวิธีการล้วนแต่ต้องใช้เชือกผูกมัดร่างกายผู้กระทำความผิด จะมีความแตกต่างกันตามท่าทาง และบทลงโทษ ดังต่อไปนี้

Under the Tokugawa Government, four kinds of punishment were common.

อันดับแรก คือการจับมัดและใช้แซ่เฆี่ยน/ไม้โบย

อันดับต่อมา เป็นการจับตัวผู้กระทำความผิดมัดด้วยเชือก จากนั้นจึงใช้ก้อนหินขนาดพอดีมือ ปาใส่บริเวณร่างกายให้เกิดความเจ็บปวด

อันดับที่ 3 เป็นการจับตัวผู้กระทำความผิดมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนาในลักษณะงอตัวคุดคู้แล้วนำไปแขวนไว้ การลงโทษนี้มักจะรู้จักในชื่อท่าทรมานร่างกายว่า Ebi Shibari (Shrimp Tie) เชือกที่นำมาใช้ผูกนักโทษแต่ละคนนั้น จะมีสีสันที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นการระบุชนิดของอาชญากรรมที่นักโทษแต่ละคนได้กระทำ เหมือนเป็นการประจานให้ได้รับความอับอายต่อหน้าสาธารณชนอีกด้วย

และอันดับสุดท้าย คือ Full Suspension with Rope ที่ว่ากันว่า เป็นท่าทรมานร่างกายที่เจ็บปวด อึดอัด และ อันตรายสุด ๆ เพื่อให้สมกับความผิดร้ายแรงที่คนเหล่านั้นได้กระทำลงไป

Erotic Transformation of Bondage in Japan

ในช่วงหลังของยุคเอโดะ ทาสเริ่มที่จะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายในสังคมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเชลยและการลงโทษตัวประกันจากศึกสงครามที่เป็นผู้หญิง มักจะถูกนำไปทำเป็นภรรยาของผู้มีอำนาจระดับสูง รวมไปถึงลูกสาวของผู้ที่มีอำนาจในระดับสูงของฝ่ายศัตรูนั้น ก็จะถูกนำมาเป็นเชลยศึกต้องเจอกับสิ่งเลวร้ายมากมายที่ไม่มีใครคาดคิด โดยเฉพาะการจับตัวเชลยศึกผู้หญิงทั้งหลาย มัดผูกติดอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ที่สำคัญมักจะอยู่ในที่แจ้ง เพื่อให้ทุกคนได้เห็นซึ่งตัวคนที่เป็นทาสเองก็จะได้รับทั้งความอับอาย และความเจ็บปวดชนิดตกนรกทั้งเป็น

โดยปกติแล้ว การกระทำดังกล่าวผู้ที่อยู่ในชนชั้นซามูไรจะไม่เป็นผู้ลงมือผูกเอง แต่จะสั่งคนรับใช้ให้ทำหน้าที่แทน เนื่องจากซามูไรนั้น ถือเกียรติของตัวเองว่าสูงส่ง จึงไม่ลงมือไปสัมผัสกับทาสเหล่านั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการกระทำสุดโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับเหล่าทาสเรื่อยมา จนมาถึงจุดที่เป็นไฮไลต์ที่มีการนำเรื่องราว Erotic เข้ามาเกี่ยวข้องในช่วง ค.ศ. 1800

เมื่อกลุ่มคนชนชั้นสูงทางสังคมเริ่มมีรสนิยมนำผู้หญิงมาสนองตัณหาของตัวเองราวกับทาส โดยจะจับหญิงสาวเปลือยกายมามัดด้วยเชือกเช่นเดียวกับทาสในอดีต และทำการลวมลามโดยที่ผู้หญิงเหล่านั้นไม่สามารถขัดขืนได้ เมื่อยิ่งเห็นว่าผู้หญิงเหล่านั้น ยิ่งเสียวสยิว ยิ่งอ่อนระทวย ยิ่งทรมาน ก็จะยิ่งทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกมีความสุข สะใจมากขึ้น

การกระทำดังกล่าวเรียกว่า “Komon Sarashi Shibari” ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์จารึกไว้ให้เห็นอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างเช่นในรูปวาดโบราณ หรือภาพพิมพ์แนววาบหวิวแบบ Ukiyo-e มาตลอดจนถึงในช่วงศตวรรษที่ 17 เชือกและการมัดร่างกายที่เคยใช้ในเหล่าทาส และใช้เป็นวิธีการทรมาณ ได้ถูกบรรดาคู่รักที่ไม่สมหวังเนื่องจากมีความแตกต่างทางชนชั้นมาแบ่งแยกให้พวกเขาไม่สามารถแต่งงานอยู่ร่วมกันได้ มาใช้ในการฆ่าตัวตายคู่ อันมีชื่อพิธีการว่า “Shinju Suicides” ด้วยวิธีการผูกแบบ Shinju Tie (Breast Harness) มัดตัวเองกับคู่ของตนให้ติดกัน จากนั้นก็กระโดดลงน้ำเพื่อให้ตายตามกันไป จะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดกาล

 

Japanese Bondage

Japanese Bondage หรือที่คนญี่ปุ่นมักเรียกว่า “Kinbaku (緊縛)” นั้น มีความหมายจริง ๆ ว่า “การผูกมัดที่แน่นหนา” ในขณะที่ “Kinbaku-bi (緊縛美)” นั้นแปลว่า “ความงดงามของการผูกมัด” ซึ่งสิ่งที่เราพูดถึงอยู่นี้ เดิมทีแม้จะมีต้นกำเนิดมาจากการลงโทษ และการทารุณทาส แต่ปัจจุบัน Kinbaku หรือ Japanese Bondage ได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ไม่ว่าจะในเรื่องของความ Art ที่นำเอาผู้หญิง Nude มามัดกับเชือกเพื่อถ่ายภาพ หรือวาดภาพ รวมไปถึงผู้ที่มีรสนิยมทางเพศแบบ BDSM ก็จะรู้จัก และนำเอาการมัดแบบญี่ปุ่นนี้ ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมทางเพศ เพื่อความรู้สึกเสียวซ่านของพวกเขา

ปัจจุบันนี้เหล่า BDMS ทั้งหลาย ที่ชื่นชอบการมัดสไตล์ยุ่น ก็ยังคงใช้เชือกเส้นใยธรรมชาติที่เรียกว่า Asanawa (麻縄) ซึ่งเป็นเชือกที่ทำจากเส้นใยของป่านและปอมาใช้กันอยู่อย่างแพร่หลาย ส่วนทางฝั่งตะวันตกเราจะเห็นได้ชัดเจนว่า พวกเขาจะนิยมใช้เครื่องหนัง หรือโซ่ ในการสร้างพันธนาการมากกว่า แต่ข้อแตกต่างที่ถือว่าเป็นข้อดีของ “Kinbaku (緊縛)” ก็คือ มีรูปแบบการผูกที่หลากหลาย และดูสวยงามเป็นศิลปะแฝงอยู่ในตัว แตกต่างจากการใช้ โซ่ หรือกุญแจมือของทางชาวตะวันตก

“Kinbaku VS Shibari”

หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมบางทีการใช้เชือกมัดตัวคนแบบญี่ปุ่นนี้ ถึงเรียกว่า “Kinbaku” บางครั้งถึงเรียกว่า “Shibari” มันมีความแตกต่างกันตรงไหนกันแน่? หนึ่งในความแตกต่างของ 2 คำนี้นั้นอยู่ตรงที่

“Shibari” จะถูกเรียกก็ต่อเป็นการผูกมัดเรือนร่างเพื่องานศิลปะ ใช้มัดเพื่อความสวยงาม เป็นอาหารตาเท่านั้น

แต่สำหรับ “Kinbaku” นั้น จะใช้เรียกการมัดเรือนร่างที่เชื่อมโยงไปที่เรื่องของความเสียว กิจกรรมทางเพศ​ และความหื่นกระหายของผู้มัด

แต่บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่า “Shibari” นั้น จริง ๆ แล้วมันไม่มี แต่มันเป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเรียกการผูกเชือกมัดเรือนร่างของทาส และคนที่กระทำความผิดโดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตาม “Shibari” ก็เป็นคำที่คนญี่ปุ่นปัจจุบันน่าจะเข้าใจว่า มันหมายถึงอะไร ส่วนคำว่า “Kinbaku” นั้น มีการยืนยันว่า ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยเอโดะ และใช้เรียกการผูกมัดเรือนร่างแบบนี้มานานมากแล้ว ในบทความนี้เราจึงใช้คำว่า “Kinbaku” เป็นหลักมากกว่า “Shibari”

เชื่อว่าชาว UNLOCKMEN หลายคนที่เคยสงสัยว่า ไอ้การมัดนี้มันเริ่มมาจากอะไร? แล้วทำมันไปเพื่ออะไร? คงจะพอได้ความรู้ และข้อมูลเกี่ยวกับการมัดสุดสยิวนี้กันไปบ้างแล้ว แม้มันจะฟังดูโหดร้ายจนหมดอารมณ์กับ Bondage Style ไป แต่อย่าลืมว่าในยุคก่อนทุกประเทศล้วนมีพิธีกรรมที่โหดร้ายในการลงโทษกันทั้งนั้น

ส่วนใครจะมองมันเป็น Art หรือ มองมันเป็นเรื่องของความโหดร้ายทารุณในอดีต หรือจะมองว่าเป็นการเสริมสร้างเพิ่มความกระสันต์ในอารมณ์ Erotic อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยมใครรสนิยมมันแล้วกันนะครับ เพราะความชอบส่วนบุคคลนั้นห้ามกันไม่ได้  แต่ยังไงก็อย่าไปลองทำเองมั่ว ๆ จะดีที่สุด ไม่งั้นถ้าเกิดผิดพลาดรัดคอตายขึ้นมา ทั้งท่าทาง และสภาพวาระสุดท้ายคงไม่ค่อยน่าดูอย่างแน่นอน

SOURCE1, SOURCE2, SOURCE3

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line