FASHION

AIR JORDAN แบรนด์ที่สร้างมูลค่าจากอดีต ปรับตัวกับปัจจุบันและวางแผนเพื่ออนาคตอยู่เสมอ

By: SPLESS January 19, 2020

Air Jordan คือหนึ่งในแบรนด์กีฬาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สุด จึงไม่แปลกที่สัญลักษณ์จัมป์แมนจะเป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะบนรองเท้าซึ่งถือเป็นจุดแข็งของพวกเขา ทั้งเรื่องราวที่เป็นตำนาน งานดีไซน์เฉพาะตัวที่มีเสน่ห์

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1985 ตอนที่ไมเคิล จอร์แดน ยอดนักบาสเกตบอลเพิ่งเซ็นสัญญากับสโมสร Chicago Bull ด้วยฝีไม้ลายมืออันโดดเด่นทำให้เแบรนด์รองเท้าจำนวนมากตามจีบเขา แต่สุดท้ายไนกี้ก็ได้ครอบครองลายเซ็นของเขาไป

มีเรื่องราวจำนวนมากก่อนที่ Air Jordan 1 รองเท้ารุ่นแรกจะออกมา โดยเฉพาะการต่อสู้กับกฎ 51% rule โดยความสำเร็จนี้ต้องยกให้เป็นผลงานของไมเคิล จอร์แดน ทั้งต่อวงการบาสและกำแพงเชื้อชาติที่มีส่วนทำให้ Air Jordan กลายเป็นรองเท้ายอดนิยมและมีโมเดลคลาสสิกจำนวนมากที่ทำออกมาขายเมื่อใดก็เกลี้ยงร้าน รวมถึงอิทธิพลต่อโลกแฟชั่นและกีฬา

ปี 2020 ค่ายจัมป์แมนยังต้องการขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น และหนุ่ม ๆ ที่ติดตาม AIR JORDAN คงทราบดีว่าปีนี้จะมีรองเท้าทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเรโทรปล่อยออกมาเป็นร้อยคู่ บางคู่นั้นไม่ได้ผลิตนานถึง 14 ปี

ร่วมถึงผลงานคอลแลปส์กับแบรนด์แฟชั่นสารพัดแบรนด์ที่เตรียมไว้ ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขาไม่ลืมวางแผนสำหรับการเป็นแบรนด์รองเท้าบาสเกตบอลแห่งอนาคต หากใครยังไม่เห็นภาพ มาดูแนวทางสร้างความแข็งแรงของ Air Jordan ในปัจจุบันไปพร้อมกัน

 

สร้างมูลค่าจากอดีต

ปัจจุบัน Air Jordan เป็นองค์กรที่มีมูลค่าสูงถึง 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กำไรส่วนใหญ่มาจากตลาดรองเท้าที่แข็งแกร่งเพราะมีโมเดล OG ที่ผู้คนจำนวนมากคลั่งไคล้ ทั้ง Air Jordan 1,  Air Jordan 3, Air Jordan 4, Air Jordan 11 และรุ่นต่าง ๆ ที่ถูกสับเปลี่ยนหมุนเวียนออกมาขายอย่างมีชั้นเชิง

ก่อนหน้านี้คนมองว่า Air Jordan เริ่มหมดไอเดีย กำไรส่วนใหญ่มาจากการขายรองเท้าโมเดลเดิมที่มีมากกว่ารองเท้ารุ่นใหม่ แต่ค่ายจัมป์แมนรู้คุณค่ารองเท้าของตัวเองดี การผลิตโมเดลหายากกลับมาขายแต่ละครั้งจึงมักเป็นแบบ Limited Release หรือควบคุมจำนวน ทำให้รองเท้ามีไม่พอกับความต้องการในตลาด ถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ Air Jordan รุ่นหายากมีความต้องการในตลาดเสมอ รวมถึงรักษาระดับราคาได้ดี

academynet

ปีนี้ Air Jordan กลับมาพร้อมสูตรสำเร็จคล้ายเดิมเพิ่มเติมคือจำนวนที่มากขึ้น โดยนับเฉพาะโมเดล Air Jordan 1  ที่วางขายในปีนี้ก็ปาไป 20 สีแล้ว ทั้ง Gym Red, Fearless, Bloodline, Game Royal และ 85 Chicago รวมไปถึง  Air Jordan 11 ‘White Bred’ พิเศษสุดคือ Air Jordan 6 “DMP” คู่นี้ถือเป็นการผลิตอีกครั้งในรอบ 14 ปี พูดได้ว่ามีโมเดลหลักไว้กระตุ้นตลาดตลอดทั้งปี

Air Jordan 6 “DMP”

ปรับตัวเข้ากับกระแสแฟชั่นปัจจุบัน

Air Jordan ไม่เพียงสร้างมูลค่าจากอดีตของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะสามารถปรับตัวให้เข้ากับปัจจุบันได้ดีขึ้น แม้ก่อนหน้านี้เสียส่วนแบ่งในตลาดรองเท้าให้ค่ายกีฬาอื่น ๆ อยู่หลายปี จนกระทั่งบริษัทแม่ Nike แต่งตั้งซีอีโอคนใหม่คือ Craig William ผู้กำลังพาองค์กรเดินหน้าสู่ยุคแห่ง Collaboration ซึ่งถือว่าถูกทางทีเดียว

ปี 2018-2019 Air Jordan ขยายตลาดสินค้าตัวเองเข้าสู่โลกแฟชั่นและกีฬาหลากหลายมากขึ้น ทั้งการพาร์ตเนอร์กับ Paris Saint Germain สโมสรฟุตบอลชั้นนำของลีกเอิงฝรั่งเศส และทำรองเท้ารวมกับ Neymar Jr

นอกจากนี้ยังจับมือกับอินฟลูเอนเซอร์หลายคนไม่ว่าจะเป็น DJ Khaled กับผลงาน Air Jordan 3 Retro ‘Father of Asahd และ Air Jordan 16 “French Blue” และแรปเปอร์ Travis Scott ที่ไม่ต้องพูดให้มากความถึงความสำเร็จของชื่อ Cactus Jack รวมทั้งการร่วมงานกับดีไซน์เนอร์ชื่อดัง Don C

ยังมีดีไซน์เนอร์สายสตรีตอย่าง Virgil Abloh กับ OFF-WHITE x Air Jordan ที่เริ่มมาตั้งแต่ THE TEN  โดยปีนี้มี 2 คู่คือ OFF-WHITE x Air Jordan 1 “Canary Yellow” และ OFF-WHITE x Air Jordan 5  ปิดท้ายด้วยการร่วมงานกับ Dior เป็น AIR DIOR ที่เตรียมจะวางขายในเดือนเมษายนนี้

ทั้งหมดคือช่องทางที่ Air Jordan พาตัวเองเข้าไปมีส่วนเพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างความแข็งแรงให้แบรนด์ไม่กลายเป็นแบรนด์ตกยุคซึ่งสอดคล้องกับแผนการที่พวกเขาเตรียมไว้สำหรับอนาคต

วางแผนการสำหรับอนาคต

แม้ Air Jordan จะบุกไปเปิดตลาดในวงการแฟชั่นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ลืมรากฐานของการเป็นแบรนด์รองเท้าบาสเกตบอลของตัวเองซึ่งจะเติบโตก็ต่อเมื่อพวกเขามีผู้เล่นระดับสตาร์ในลีกมาสวมรองเท้าของพวกเขาและสร้างเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมให้กับตัวเองและแบรนด์เหมือนที่ไมเคิล จอร์แดน ไม่รอหากินกับอดีตและงานคอลแลปส์อย่างเดียว

ปัจจุบัน Air Jordan มีสัญญากับ Russell Westbrook เป็นตัวหลักเพียงคนเดียว เพราะเพิ่งเสีย Kawhi Leonard ผู้เล่น MVP รอบไฟนัลปีล่าสุดให้กับค่าย New Balance ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ช่องวางตรงนั้นทำให้ Air Jordan มีที่ว่างสำหรับเลือกเซ็นสัญญามากขึ้น

การเซ็นสัญญา 3 ครั้งล่าสุดเป็นแผนที่เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาเลือกเซ็นกับผู้เล่นดาวรุ่งที่ถูกคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคตของ NBA ไม่ว่าจะเป็น Jayson Tatum ฟอร์เวิร์ดวัย 21 จาก Boston Celtics ต่อด้วย Zion Willamson ดราฟต์อันดับหนึ่งปีล่าสุด

ล่าสุดคือการคว้าตัว Luca Doncic ผู้เล่นดาวรุ่งชาวสโลเวเนียวัย 20 ปีที่ฤดูกาลนี้โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมต่อเนื่อง โดยเขาสวม Air Jordan 34 “Metallic Silver” ทำให้ทุกสายตาจ้องมาที่ตัวเขาและรองเท้าที่กำลังใส่อยู่ แม้ Air Jordan รู้ว่ามันคือความเสี่ยงในการทำสัญญาลงทุน แต่ตอนนี้อนาคตผู้เล่นที่อาจจะเก่งที่สุดในโลกส่วนใหญ่ล้วนใส่รองเท้าที่มีโลโก้ของพวกเขาอยู่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งหมดคือแผนธุรกิจสำคัญที่จะทำให้ Air Jordan เริ่มต้นปี 2020 ได้อย่างแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อต่อสู้กับอีกหลายแบรนด์ในสมรภูมิทุนนิยมที่มีการแข่งขันสูงตลอดเวลา คงต้องรอดูว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะสร้างรองเท้าที่ทำให้ผู้คนอยากสวมใส่ได้หรือไม่?

เพราะสำหรับวงการรองเท้าแม้จะมีคุณค่าจากอดีต แต่หากไม่ให้ความสำคัญต่อเส้นทางในอนาคตท้ายที่สุด ความสำเร็จก็อาจกลายเป็นเพียงอดีตเอาได้

 

 

SPLESS
WRITER: SPLESS
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line