เปิดตัวพร้อมเติมเต็มทุกสไตล์เท่ CITIZEN The “TSUYOSA” Collection (NJ015) คอลเลกชันเรือนเวลาเรียบหรูผสานความแกร่งสมชื่อ “TSUYOSA” ที่สื่อความหมายถึง “ความแข็งแกร่ง” ในภาษาญี่ปุ่น ตัวเรือนขนาด 40 มม. รังสรรค์ขึ้นจากสเตนเลสสตีลดีไซน์โค้งมน หล่อลงตัวกับสายสเตนเลสขัดเงา หน้าปัดปิดทับด้วยกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ พร้อมเลนส์ขยายหน้าต่างวันที่สุดคลาสสิก สำหรับเม็ดมะยมของ CITIZEN The “TSUYOSA” Collection ถูกจัดวางในตำแหน่ง 4 นาฬิกา ซึ่งโดดเด่นแตกต่างจากนาฬิกาข้อมือทั่วไป ด้านหลังตัวเรือนสวยสะกดใจด้วยฝาหลังขันเกลียวแบบเปลือยโชว์ให้เห็นกลไกอัตโนมัติยอดนิยม Caliber 8210 รองรับการสำรองพลังงาน 40 ชั่วโมง กันน้ำได้ที่ระดับ 50 เมตร พร้อมให้สวมใส่ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะใส่หล่อออกงาน หรือใส่ชิลในวันสบาย ๆ และไฮไลต์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องราวของสีสันอันสดใส ที่ตอกย้ำให้ CITIZEN The “TSUYOSA” Collection เป็น Everyday Watches ที่ลงตัวกับทุกสไตล์ที่แตกต่าง ด้วยหน้าปัดหลากสี มีให้เลือกเท่ไม่ซ้ำวัน NJ0151-88M – Tiffany
เข้าสู่ช่วงปลายปีแบบนี้ ทาง SEIKO ก็ไม่พลาดที่จะมีของดีมายั่วใจนักสะสม และต้องบอกเลยว่าเรือนเวลารุ่นล่าสุดเรือนนี้นั้นไม่ธรรมดา เพราะถือเป็นเรือนส่งท้ายปีแห่งการเฉลิมฉลองวาระสุดพิเศษภายใต้ปีแห่งความภาคภูมิใจ ครบรอบ 55 ปี SEIKO 5 SPORTS กับ SEIKO 5 SPORTS YUTO HORIGOME LIMITED EDITION ที่ได้ร่วม Collab กับนักสเก็ตบอร์ดดาวรุ่งชื่อดังแห่งประเทศญี่ปุ่นอย่าง Yuto Horigome (ยูโตะ โฮริโกเมะ) อีกครั้ง ซึ่งความสามารถของ Yuto Horigome ได้เริ่มฉายแสงตั้งแต่วัยเด็ก โดยได้รับอิทธิพลความหลงใหลในสเก็ตบอร์ดมาจากคุณพ่อ และเริ่มหัดเล่นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ก่อนที่จะขยับตัวเองให้ขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของการแข่งขันในประเทศญี่ปุ่น ได้ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนต้น ๆ เท่านั้น ภายหลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายในประเทศญี่ปุ่น Horigome ได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ดินแดนที่ความสามารถและพรสวรรค์ของเขา ได้เฉิดฉายอย่างเต็มที่ เพราะหลังจากการเปิดตัวครั้งแรกของเขาเมื่อปี 2017 ใน Street League Skateboarding (SLS) ซีรีส์การแข่งขันสเก็ตบอร์ดชั้นนำของโลกแค่เพียง 1 ปี
MB&F จักรกลสุดซับซ้อนอันดับต้นของโลก เปิดตัว Machine รุ่นใหม่ล่าสุด HM11 ด้วยแนวคิด “une maison est une machine à habiter“ (a house is a machine to live in) ที่ Maximilian Büsser อยากทดลองวางกลไกในสถาปัตยกรรมที่ได้แรงบันดาลใจจากบ้านเรือนในช่วง mid-to-late 1960s ตัวเรือนดีไซน์ให้เป็น three-dimensional กว้าง 42mm ผลิตจากวัสดุ Grade-5 titanium ที่แข็งแรงที่สุด รูปทรงแปลกตาเหมือนบ้านหลังใหญ่ที่มีห้อง 4 ห้องทำมุม 90 องศา มองจากด้านบนจะพบหัวใจหลัก Central flying tourbillon movement ไขลานด้วยมือ ทำหน้าที่เสมือนเสาหลักของบ้าน ไขลานโดยการหมุนเคส 45 องศา โดยหมุนครบ 10 ครั้งจะได้พลังงานเต็ม 96
คอลเลกชันนี้เป็นการสานต่อความมุ่งมั่นของดีไซเนอร์ในการสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชุดกีฬา และนำเสนอรูปแบบเสื้อผ้าซึ่งเป็นมรดกของอาดิดาสที่ถูกปรับโฉมใหม่ในสไตล์เรียบหรู โดยสินค้าที่มาในคอลเลกชันประกอบด้วย เสื้อผ้าถักสีน้ำตาลมาฮอกกานี จับคู่เข้าเช็ทกับกางเกงฟุตบอลขาสั้นผ้าไนลอนสี Sand ที่ตัดด้วยแถบสี 3 แถบด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีสินค้าหลักที่ถูกผลิตด้วยผ้าไนลอนน้ำหนักเบาอันได้รับแรงบันดาลใจจากช่วงยุค 70s ถึงยุค 90s ได้แก่ ชุดแทรคสูทมาในสีฟ้าอ่อนสะท้อนแสง และเสื้อไนลอนสีดำที่โดดเด่นด้วยปกสีเขียวสดใสที่ตัดกันอย่างลงตัว และเสื้อผ้าทุกชิ้นไม่จำกัดเพศ ทำให้ทุกคนสามารถเป็นสวมใส่เสื้อผ้าในคอลเลกชันนี้ได้ สำหรับรองเท้าในคอลเลกชัน โมเดลสุดไอคอนิกอย่างรุ่น Samba ยังคงถูกหยิบมาพัฒนาและออกแบบในสไตล์ของ Wales Bonner อีกเช่นเคย โดย 2 คู่แรก โดดเด่นด้วยอัปเปอร์ที่ทำจากขนม้าเทียมและพื้นรองเท้ายาง มาในลายพิมพ์เสือดาวและสีแทนอ่อนที่ถ่ายทอดความหรูหราของตัวรองเท้าออกมาได้อย่างลงตัว ในขณะที่อีก 2 คู่ ประกอบด้วยวัสดุหนังกลับและการตัดเย็บแบบตัดกันอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากซีซั่นก่อนๆ ภาพในแคมเปญจึงได้ถูกเปลี่ยนฉากหลังจากวิวภูมิทัศน์ให้กลายเป็นฉากเรียบๆ ในสตูดิโอ พร้อมผสมผสานระหว่างนาย/นางแบบและสายสตรีท รวมถึงนักสเก็ตบอร์ดอย่าง Na-Kel Smith มาร่วมถ่ายภาพในแคมเปญ โดยเน้นไปที่การถ่ายทอดความมินิมอลของเสื้อผ้าในคอลเลกชัน และความซับซ้อนในคาแรกเตอร์ของแบบแต่ละคน นอกจากนี้ แคมเปญนี้ยังมาพร้อมวีดีโอบทสัมภาษณ์สั้นๆ พร้อมภาพเคลื่อนไหว โดยคำถามในการสัมภาษณ์ถูกจัดโดยนักเขียนบทละครและนักแสดงผู้ใจบุญอย่าง Jeremy O. Harris
บนโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าตลอดเวลา เราไม่นิ่งเฉยและพร้อมก่าวสู่มิติใหม่ในแบบของเราเอง ด้วยคอลเล็กชั่นแว่นตาล่าสุดจาก Oakley® Encoder™ Extension ที่จะฉีกกรอบรูปแบบดั้งเดิมโดยทำลายขีดจำกัดของการออกแบบและเทคโนโลยี ด้วยการมอบนิยามใหม่บนแว่นตาที่ทั้งโดดเด่นด้านดีไซน์และยังคงเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานเป็นหัวใจหลัก คอลเล็กชั่นนี่ได้หยิบเอาแว่นตาในกลุ่ม performance รุ่น Encoder ซึ่งเป็นที่นิยมมาอย่างยาวนาน มายกระดับขึ้นไปอีกขั้นจากการนำแว่นต่ากีฬาและดีไซน์ของเลนส์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องมาปรับโฉมสู่ 2 สไตล์ใหม่ในคอลเล็กชั่น Encoder Extension นั้นคือ Encoder Ellipse และ Encoder Squared ที่นำเสนอรูปทรงเลนส์แว่นแบบดั้งเดิมของรุ่น Encoder เพิ่มเติมฟังก์ชันการระบายอากาศช่วยมอบลุคอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดีไซน์ที่โดดเด่นแต่เรียบง่ายนำเสนอ รูปทรงเลนส์บนสองรูปแบบในสไตล์ที่น่าสนใจและไม่เคยเห็นมาก่อน รุ่น Encoder Ellipse – มีให้เลือกในกรอบสี Matte Black, Matte Navy, และ Silver ชวนให้นึกถึงรูปทรงของโลโก้ Oakley อันเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ Encoder Squared – มีให้เลือกในกรอบสี Sky Blue, Matte Black และ Matte Carbon
De Bethune กับการสร้างสรรค์คอลเลกชันไม่ซ้ำใครในรุ่น “Cempasúchil II” เรือนเวลาที่โฉบไปมาระหว่างชีวิต และความตายด้วยสัมผัสแห่งอารมณ์ขันอันแสนซุกซน เป็นภาพเดียวกับการเฉลิมฉลองเทศกาล Dia de Muertos ของชาวเม็กซิกันที่สนุกสนานและมีสีสัน! และยังเหมาะกับเดือนฮาโลวีนเดือนนี้เลยทีเดียว “Cempasúchil II” หน้าปัดที่ถูกแปลงเป็นฟลอร์เต้นรำสำหรับ Calaveras สองตัว เพื่อระบุชั่วโมงและนาที ในอีกด้านหนึ่งของนาฬิกา มีการตกแต่งโดยเฉพาะ (โดยปกติจะซ่อนอยู่หลังฝาครอบลับ) แสดงให้เห็นภาพ ‘การกระทำ’ ของ Calaveras ทั้งสองอันแสนซุกซนของเรา ภายใต้การแสดงโกศหัวเราะซึ่งคู่ควรกับ La Catrina มีกล้องและคันโยกมากมายที่เคลื่อนไหวและทำให้ตัวละครทั้งสองมีชีวิตขึ้นมา เคลื่อนไหวตามความต้องการด้วยกลไกที่ซับซ้อนสูง ด้วยการกดปุ่มที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ฉากร่าเริงสื่อถึงความสนุกสนาน และความชั่วร้าย งานแกะสลักทั้งหมดบนหน้าปัดทั้งสองข้างเป็นการยกย่องให้กับช่างแกะสลักชาวเม็กซิกันผู้ชาญฉลาด José Guadalupe Posada ศิลปินผู้สร้างสรรค์การเต้นรำแบบไร้ชีวิตชีวาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับ Denis Flageollet และ Michèle Rothen ในปี 2020 ในการออกแบบ DW5 Cempasúchil ด้วยการสร้างสรรค์ครั้งใหม่นี้
การร่วมงานกันครั้งแรกของสองแบรนด์นาฬิกาสุดหรู ผลงานศาสตร์และศิลป์สุดซับซ้อน ความแหวกแนวเริ่มต้นจากหน้าปัดแบบ double-faced chronograph front / back หน้าปัดด้านบนเป็นกระจก sapphire โชว์ movement มีโลโก้ Akrivia โดยตัว V ถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์ LV emblem ซึ่งถือเป็นจุดที่น่าสนใจและเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะ LV ไม่เคยถูกนำไปรวมเป็นส่วนนึงของโลโก้ใดมาก่อน เมื่อพลิกด้านหลังจะพบกับหน้าปัด White Grnad Feu enamel เน้นความคลาสสิคสะท้อนจุดเริ่มต้นของเรือนเวลาจาก Louis Vuitton การดีไซน์หน้าปัดแบบ double-faced chronograph นั้นเป็นงานที่ยากมาก ๆ กลไกขับเคลื่อนด้วย tourbillon movement ที่สร้างขึ้นใหม่โดย Rexhep Rexhepi และยังเป็นครั้งแรกที่ออกแบบให้มีเสียง Sonnerie หรือระฆังบอกเวลา ซึ่งเป็นเสียงจากกลไก chronograph function ที่จะดัง “gong” ทุกครั้งที่จับเวลาครบ 1 นาที เรียกว่าซับซ้อนบนซับซ้อนไปอีกขั้น LVRR-01 นอกจากที่สุดของ
เผยโฉมครั้งแรกย้อนไปในปี 1925 Longines Flyback Chronograph เป็นหนึ่งในเรือนเวลาที่น่าเก็บสะสมมาเสมอ และในรุ่นใหม่พิเศษด้วยเคสผลิตจาก Grade 5 Titanium ซึ่งนิยมใช้ในนาฬิการะดับ high-end หน้าปัดขนาด 42mm หนา 17mm เหมาะกับข้อมือผู้ชาย กระจก sapphire ทรงโดม หน้าปัด Sunray Antracite มาพร้อม 30-minute counters และ 60-seconds Sub-dials เคลือบสาร SuperLumiNova ที่ Indexes ล้อมรอบด้วยขอบ ceramic สีดำแบบ bi-directional rotating ด้านหลังโชว์กลไก Caliber L791.4 COSC-certified กันคลื่นแม่เหล็ก กันน้ำได้ 100 เมตร สำรองพลังงานได้ถึง 68 ชั่วโมง Longines Spirit Flyback Chronograph in Titanium
สายสตรีทเตรียมว้าวุ่น กับว่าที่ Rare Item ชิ้นใหม่ 𝗖𝗟𝗢𝗧 𝘅 𝗦𝗘𝗜𝗞𝗢 𝟱 𝗦𝗣𝗢𝗥𝗧𝗦 𝗪𝗔𝗧𝗖𝗛 การร่วมมือระหว่าง CLOT แบรนด์สตรีทแวร์สัญชาติฮ่องกง และ SEIKO ที่นำเสนอโมเดล SEIKO 5 SPORTS ขนาด 42.5 มม. ในภาพลักษณ์เท่จัด ด้วยความคอนทราสต์จากสีดำของสาย, ตัวเรือนสเตนเลส รวมถึงหน้าปัด sun-brushed สีดำ ซึ่งตัดกันกับสีแดงของหลักชั่วโมง / นาที บนขอบตัวเรือนแบบหมุนได้, เข็มวินาที และโลโก้ CLOT ซึ่งประดับอยู่บริเวณตำแหน่ง 6 นาฬิกา และฝาหลังแบบใส เสริมด้วยกระจกครอบหน้าปัด Hardlex ที่ผ่านกระบวนการ half-mirror coating เคลือบสีแดงใส เล่นกับแสงไฟยามที่ขยับข้อมือ นอกจากนี้หน้าต่างแสดงวันที่บริเวณตำแหน่ง 3 นาฬิกา ยังมีลูกเล่นให้เลือกแสดงผลได้ทั้งภาษาจีน และภาษาอังกฤษ สำหรับ 𝗖𝗟𝗢𝗧 𝘅
งานประจำปีที่เหล่า Young Designer ทั่วประเทศไทยและคนแฟชั่นเขียนเอาไว้บนปฎิทินด้วยคำว่า ‘รอคอย’ ไม่ต่างกันเลยกับปฎิทินของ Siam Center เองที่ก็พร้อมต้อนรับแรงกระแทกแห่งความคิดสร้างสรรค์ของดีไซเนอร์รุ่นใหม่ของปีนี้ทุกคนในงาน Bangkok International Fashion Week 2023 หรือที่เราคุ้นเคยกันดีกับชื่อ BIFW2023 นั่นเอง Siam Center ยังคงยืนหนึ่งแสดงจุดยืนของการเป็น Visionary Icon ที่สนับสนุนคนทำงานสร้างสรรค์รุ่นเยาว์มาตลอดระยะเวลา 40 ปี ผ่านเวทีแห่งวิสัยทัศน์ Visionary Stage ให้พวกเขาเหล่าดีไซเนอร์รุ่นใหม่ผู้กำลังเติบโตได้มีโอกาสแสดงผลงานบนเวทีระดับประเทศ ก่อนที่จะขึ้นไปยืนท่ามกลางแสงไฟสปอร์ตไลท์ของเวทีระดับโลกด้วยผลงานของตัวเองในสักวันหนึ่ง สำหรับสัปดาห์แห่ง BIFW2023 ทางสยามชวนคนทำงานแฟชั่นคุยพร้อมขบคิดกันถึงแนวคิด ‘The Future of Fashion’ ภาพอนาคตของวงการแฟชั่นไทยท่ีคนรุ่นใหม่มีส่วนสำคัญ โดยส่องแว่นขยายไปที่เทรนด์แฟชั่นเพื่อช่วยโลกให้อยู่กับเราไปนาน ๆ อย่างการออกแบบสู่ความยั่งยืนกับ Sustainable Look Inspired By TIKTOK โดยให้เหล่าดีไซเนอร์รุ่นใหม่ออกแบบแฟชั่นเพื่อใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยวิธีการหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการนำวัสดุที่เหลือใช้และเป็นมิตรสิ่งกับแวดล้อมมาใช้ในการออกแบบเสื้อผ้า / การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในกระบวนการผลิต ทั้งเพื่อลดมลภาวะ หั่นระยะเวลาในการผลิตให้สั้นลง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานให้นานขึ้น ไม่ให้เป็นขยะล้นโลก /