Life

CONVERSATION WITH ‘Child’s Holiday’ ช่างถ่ายภาพเบื้องหลังผู้ยังคงใช้กล้องฟิล์ม อาชีพที่ใกล้เลือนหาย และอุปกรณ์ที่ไกลจากปัจจุบัน

By: unlockmen January 31, 2018

ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในโลกปัจจุบัน ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว  บางครั้งก็เร็วเกินกว่าที่จินตนาการจะตามทัน และถึงแม้ว่าทุกการพัฒนาที่รุดหน้าไปมันจะได้มาซึ่งความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต รวมไปถึงการก่อกำเนิดของนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่ทุกการเกิดขึ้น ย่อมมีสิ่งที่ต้องหายไป ถ้ามองในแง่ของอาชีพ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มีหลากหลายอาชีพที่หมดสิทธิ์ไปต่อ  และกำลังจะค่อย ๆ เลือนหายไป เพราะโดนความล้ำสมัยของเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนมนุษย์

และสิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงคือเรื่องราวของอาชีพช่างภาพเบื้องหลัง อาชีพที่หาได้ยากในปัจจุบัน ทั้งที่อาชีพช่างภาพเบื้องหลังนั้นเคยมีความจำเป็นสำหรับงานด้าน Production ในสมัยก่อน นั่นเพราะว่ากระบวนการทำงานต่าง ๆ ที่กว่าจะได้ผลงานแต่ละชิ้นต้องใช้เวลานานเป็นปี ๆ เพราะเมื่อย้อนไปในอดีตยุคที่การทำ CG, VFX หรือ  Visual effects นั้นยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยพอที่จะสร้าง CG ขึ้นมาทั้งดุ้นเหมือนในปัจจุบัน ในแต่ละฉาก สิ่งของวัสดุต่าง ๆ ล้วนถูกสร้างด้วยฝีมือของมนุษย์ ขั้นตอนอันยากเย็นของงาน Production จึงเป็นหมือนโมเม้นต์สำคัญ ที่ควรถูกบันทึกเอาไว้  หากจะบอกว่าในสมัยก่อน ภาพเบื้องหลังกองถ่ายนั้นมีความสำคัญไม่แพ้เนื้อเรื่องเบื้องหน้าของภาพยนตร์ก็ไม่ผิดนัก ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วภาพเบื้องหลังนั้นถูกนำมาใช้เป็นใบปิดหรือโปสเตอร์ในงานแต่ละงานด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุนี้ UNLOCKMEN จึงมีความสนใจในอาชีพช่างภาพเบื้องหลัง อาชีพที่ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกเทคโนโลยีกลืนหายไป แต่กลับมีชายคนหนึ่งที่ยังหลงใหลในการถ่ายภาพเบื้องหลังอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้ยึดเป็นอาชีพหลัก แต่เขาก็รักที่จะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเบื้องหลังอยู่เสมอในทุก ๆ ครั้งที่ออกกอง

เราก็เลยถือโอกาสนัดเจอเพื่อพูดคุยกับเขา ด้วยความอยากรู้เรื่องราวเบื้องลึกของอาชีพนี้ อยากรู้ว่าการเป็นช่างภาพเบื้องหลังนั้นมันแตกต่างจากช่างภาพอื่น ๆ ยังไง ในเมื่อก็เป็นการถ่ายภาพเหมือนกัน และทำไมเขาถึงเลือกที่จะท้าท้ายตัวเองด้วยการใช้อุปกรณ์ที่เรียกได้ว่าหลุดไปจากยุคสมัยไม่แพ้อาชีพช่างภาพเบื้องหลังอย่างเช่นกล้องฟิล์ม  และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะไปรู้ลึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เขาพบเจอในกองถ่ายแบบที่ผู้ชมอย่างพวกเราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนพร้อม ๆ กัน

UNLOCKMEN : แนะนำตัวหน่อยว่าจริง ๆ แล้วทำงานอะไรเป็นหลัก

กิ๊ต : ชื่อ กิ๊ต ครับ ทํางานฝ่ายศิลป์ในกองถ่ายทีม strawberry sherbet ครับ

UNLOCKMEN : งานที่ทำเกี่ยวกับอะไร รูปแบบการทํางานเป็นแบบไหน

กิ๊ต : งานที่ทําถ้าชื่อตามสายงานที่เรียกมัน Production Designer หรือ Art Director ซึ่งหน้าที่หลัก ๆ ก็คือออกแบบงานสร้างหรือว่ากํากับศิลป์ ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าผู้กํากับให้สคริปต์เรามาว่าเป็นเรื่องของ ผู้หญิงตายในโรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วก็จะมีตํารวจเข้ามาทําคดีหน้าที่ของผมก็คือเอาสคริปต์ที่ยังเป็น Text มาตีออกมาให้เป็นภาพ เช่น Setup ของโรงแรมนั้นจะเป็นยังไง, ลักษณะของโรงแรม, เตียงควรจะเป็นแบบไหน สภาพแวดล้อมของบริบทการตายของตรงนั้นควรจะเป็นยังไง และเรื่อง Blocking ต่าง ๆ ไฟจะเป็นสีอะไร ประมาณนี้ครับ

UNLOCKMEN : แล้วมีเกี่ยวกับการถ่ายภาพเบื้องหลังด้วยไหม

กิ๊ต : ภาพเบื้องหลังหรอครับ… ที่จริงถ้าพูดถึงอาชีพหลักผมคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นคนที่ทํางานด้านฝ่ายศิลป์นั่นแหละครับ แต่ว่าการถ่ายภาพเบื้องหลังมันคงเป็นเป็นภาพจําของคนรู้จักที่ผมส่วนใหญ่ซะมากกว่า หมายถึงว่า มันก็จะมีบางคนที่รู้ว่าผมชอบถ่ายรูปอะไรอย่างงี้ ก็จะเรียกไปถ่ายภาพเบื้องหลังบ้างตามงานอะไรแบบนี้ครับ ตัวผมเองก็ไม่กล้าใช้คําว่าเป็นช่างภาพเบื้องหลังเป็นอาชีพตัวเองขนาดนั้น เพราะว่ามันก็ไม่ได้ถ่ายบ่อยอะไรขนาดนั้นครับ

UNLOCKMEN : จุดเริ่มต้นของการถ่ายภาพเบื้องหลังมาจากไหน

กิ๊ต : คือผมเป็นคนชอบถ่ายภาพอยู่แล้ว แล้วครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสได้ไปออกกองกับ eyedroper fill เป็นกอง MV ของ ชาติ สุชาติ อะครับ ต้องขออธิบายก่อนว่า eyedropper fill ก็จะมีการทํางานที่ค่อนข้างจะละเอียดมาก ๆ ซึ่งเขาจะให้มีการถ่ายภาพเบื้องหลังเกิดขึ้นในกองถ่ายของเขาอยู่แล้ว ตอนนั้นผมฝึกงานและ ก็ได้เป็นคนถ่ายภาพเบื้องหลังไปเรื่อย ๆ แต่มันจะมีครั้งหนึ่งที่ผมพกกล้องฟิล์มไปด้วย คือโดยปกติเราก็จะถ่ายด้วยดิจิตอล แต่ว่าครั้งนั้นพกกล้องฟิล์มไปถ่าย ถ่ายไป ถ่ายไป แล้วก็พอไปล้างออกมาเราแล้วรู้สึกเราชอบ ก็เลยตัดสินใจ Publish อัลบั้มภาพชุดนั้นออกไป

แล้วผลปรากฏว่ามันก็ถูกแชร์ไปเรื่อย ๆ จนตอนนั้นรู้สึกว่า เฮ้ย!! เราชอบมากเลย เราอยากลองทําต่อไปเรื่อย ๆ หลังจากนั้นมากออกกองไหนก็จะพกกล้องฟิล์มติดตัวไปด้วยและก็ Snap Snap Snap ไปเรื่อย ๆ จนผลงานมันกลายเป็นอัลบั้มภาพชุด ต่อ ๆ มา จนมันก็เริ่มมีคนเห็น แล้วเขาก็เรียกเราไปถ่ายก็เลยกลายมาเป็นงานที่มีเข้ามาบ้างครับผม

UNLOCKMEN : ผลงานการถ่ายภาพเบื้องหลังที่ผ่านมามีอะไรบ้าง

กิ๊ต : เริ่มต้นมันคือ MV แหงน ของ ชาติ สุชาติ ครับ ชิ้นนั้นก็คือเริ่มต้นเลย ก็ถ่ายมาเรื่อย ๆ แล้วก็มีแบบเพลงของวง X0809 ของนทอะครับ ชื่อเพลง 30 องศา

เยอะเหมือนกันครับ แต่ล่าสุดที่ Public ออกไปก็เป็น MV วี วิโอเล็ต วอเทียร์ ครับเพลง ไม่เป็นไรเข้าใจ ชิ้นนั้นก็น่าจะเป็นที่คนเห็นมากที่สุดแล้วมั้งครับ เพราะว่ามันถูกแชร์เยอะสุด ผมก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

UNLOCKMEN : ผลงานชิ้นที่ภูมิใจกับมันที่สุด และแฮปปี้ที่สุด คือชิ้นไหน

กิ๊ต : คือผมเป็นคนดูเหมือนหลงตัวเองนะ แต่ว่าชอบงานตัวเองทุกชิ้น หมายถึงไม่ได้ชอบชิ้นไหนเป็นพิเศษแต่ก็ไม่มีงานไหนที่ไม่ชอบเลย ที่ชอบจริง ๆ คืองานที่ไม่ได้ถูก Public ออกไปเป็นภาพถ่ายส่วนตัวที่เราถ่ายครอบครัว และสิ่งที่มันเกิดขึ้นรอบตัวเรามากกว่า แต่ว่ามันก็จะเป็นภาพที่ไม่ได้เปิดเผยให้ใครดูเท่าไหร่ เป็นอะไรแบบนั้นมากกว่า

UNLOCKMEN : รู้สึกยังไงที่ภาพถ่ายของตัวเอง ถูกนำมาใช้เป็นใบปิด

กิ๊ต : ดีครับ (หัวเราะ) รู้สึกดีใจนะครับ คือเคยฟังสัมภาษณ์ของพี่ คงเดช จาตุรันต์รัศมี คือเขาเป็นผู้กำกับ แล้วก็ตอนนั้นเขาทำหนังเรื่อง แต่เพียงผู้เดียว แล้วนักแสดงคือพี่เล็ก Greasy Cafe ซึ่งจริงแล้วพี่เล็ก เคยเป็นช่างภาพเบื้องหลังมาก่อน แล้วเราก็ฟังสัมภาษณ์ที่เขาพูดว่าเคยทำงานอะไรยังไง ก็รู้เลยว่าปัจจุบันคือช่างภาพเบื้องหลังแม่งไม่มีอยู่แล้ว หรือมีก็คือแบบไม่ได้ทำงานเหมือนคนสมัยก่อน

คือทุกวันนี้ ถ้าที่เห็นก็คือถ่ายอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าสมัยก่อนมันคือ ภาพเบื้องหลังมันจะถูกนำมาใช้ในใบปิดด้วยซ้ำ แต่ปัจจุบันคือ พอหนังจบปุ๊บก็ต้องไปถ่ายใบปิดต่ออีก Section หนึ่ง ซึ่งจริง ๆ แล้ว ถ้ามันมีภาพเบื้องหลังที่มันทำงานของตัวมันได้จริง ๆ มันก็สามารถเอามาเป็นใบปิดได้เลย ซึ่งคนสมัยก่อนมันทำงานกันอย่างนั้น ส่วนเราก็คือคนหนึ่งที่คิดว่าอยากให้มันเป็นแบบนั้น อยากให้ภาพของเรามันไปเป็นใบปิดของหนังหรือว่าของงานสักงานหนึ่งได้ แล้วพอมันได้เป็น ก็ดีใจ

UNLOCKMEN : มีมุมมองในการถ่ายภาพเบื้องหลังยังไง

กิ๊ต : ผมว่าการถ่ายภาพเบื้องหลังมันคือการเอาเรื่องของคนอื่นมาเล่าต่ออะครับ เหมือนเขาก็จะมีเรื่องของเขา เช่นหนังเรื่องนี้เล่าแบบนี้ หน้าที่ของเราคือ เล่าตัวหนังเรื่องนี้ในอีกมุมมองหนึ่งที่คนจะไม่มีโอกาสได้เห็นในสื่อต่าง ๆ อย่างคนพอเวลาคนดูหนังซักเรื่องหนึ่งเขาก็จะรู้ว่าตัวหนังเรื่องมันออกมาแบบนี้นะ พระเอกจะเป็นแบบนั้น แต่ว่าหน้าที่ของภาพเบื้องหลังมันคือทําให้คนได้รู้ว่า จริง ๆ แล้วกว่าที่จะได้มาเป็นเรื่องแบบนั้นอะ มันมีองค์ประกอบอะไรอยู่ในนั้นบ้าง มันมีการทํางานของคนต่าง ๆ ความเหนื่อยล้าของคนในกอง หรือว่าความตึงเครียดของนักแสดง กับอะไรต่าง ๆ นั้นแหละครับผมว่า การถ่ายภาพเบื้องหลังมันเลยกลายเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง ที่เราหยิบเรื่องของเขามาเล่าอีกที

UNLOCKMEN : เสน่ห์ของการถ่ายภาพเบื้องหลังคืออะไร

กิ๊ต : ก็ได้ถ่ายรูปมั้งครับ คือผมเป็นคนชอบถ่ายรูป เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่มันได้ถ่ายรูปอะครับ มันโอเคหมดสําหรับตัวผมเอง หมายถึงว่าไม่ต้องถ่ายภาพเบื้องหลังก็ได้ ถ่ายอะไรก็ได้ แค่ได้ถ่ายรูปมันก็มีความสุขแล้วนั้นละมั้งครับ แต่คิดว่าสิ่งที่มันยังยืดเราไปเรื่อย ๆ มันคงเป็นการถ่ายภาพด้วยฟิล์มมั้งครับ

คือการถ่ายภาพเบื้องหลังในกองถ่ายเนี่ยมันคาดเดาอะไรได้ยากมากเพราะว่าทุกคนมันจะขยับ เคลื่อนไหวตลอดเวลาเหมือนตามท้องถนน ขยับไปเรื่อย ๆ เขาก็ทํางานของเขา เราก็ Snap แล้วอย่างที่รู้กันว่าฟิล์มมันดูภาพไม่ได้ มันก็จะต้องมาลุ้นว่าจังหวะที่เราได้มา มันคือจังหวะอะไร หลาย ๆ ครั้งมันก็รู้สึกเซอร์ไพร์ที่เราเห็นจังหวะของอะไรบางอย่างที่มันเกิดขึ้นในกองถ่าย ที่เราจําไม่ได้ด้วยซํ้าว่ามันเคยเกิดขึ้น

UNLOCKMEN : ทําไมไม่พาตัวเองไปเป็นช่างภาพมืออาชีพ

กิ๊ต : กลัวเกลียดมันมั้งครับ (หัวเราะ) ผมแค่รู้สึกว่าไม่อยากกดดันตัวเองขนาดนั้น คือ จริง ๆ แล้วเคยคิดว่าตัวเองอยากเป็นช่างภาพข่าวด้วยซํ้า คือรู้ว่าผม เป็นคนที่ชอบถ่าย Relation ของมนุษย์ หรือว่า Relation ของอะไรสักอย่าง ซึ่งรู้สึกว่าการถ่ายภาพข่าวมันจะเห็น Moment ของสิ่งต่าง ๆ เห็นบริบททางสังคม เห็นสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ว่า…ก็กลัวว่าถ้าวันหนึ่งไปถ่ายแล้วมันจะกดดันตัวเองว่ามันต้องถ่าย มันต้องถ่าย มันต้องถ่ายไปตลอดเวลา ซึ่งไม่รู้ว่า เชี่ย! ถ้าเราไม่รู้สึกอะไรกับ Moment นั้นแล้วกูจะถ่ายไปทําไมวะ นั้นแหละครับก็เลยยังไม่กล้าดันตัวเองไปถึงจุดนั้น ก็แค่ชอบถ่ายก็ถ่ายไปเรื่อย ๆ มากกว่า

UNLOCKMEN : ถ้าหากโดนบังคับทําในสิ่งที่รัก เลยกลัวทําไม่ได้ไม่ดีเท่าเดิมหรือเปล่า?

กิ๊ต : คือตอนนี้มันคือผมทำคนเดียวไงครับ หมายถึงว่าไปถ่ายภาพเบื้องหลังหรือว่าไปทำงานถ่ายภาพต่าง ๆ แบบนี้ คือไม่มีคนมายุ่งกับผมเท่าไหร่ ก็รับบรีฟมาว่าอยากได้ภาพแบบไหน ต้องการสีภาพประมาณไหน อยากเอาภาพไปทำอะไรไปใช้อะไร คือรับมาเสร็จก็จบ เขาก็ปล่อยให้เราทำงานของไป จบงานก็จบไป ส่วนผมก็แฮปปี้กับภาพที่ได้มา แล้วก็หวังว่าเขาจะแฮปปี้ไปด้วยเหมือนกัน

แต่พอมันไปเป็นอย่างจริง ๆ เนี้ย เราไม่รู้ว่ามันจะมีอีกกี่คนที่มันเข้ามา หมายถึงว่าบางทีมันอาจจะมีคนมาพูดว่า เฮ้ยอยากได้แบบนี้ แต่ลูกค้าแม่งอยากได้อีกแบบหนึ่งว่ะ มันจะกลายเป็นว่ามีอีกหลายอย่างมากดทับเรา จนเรารู้สึกว่าแบบ ไอ้เหี้ยแม่งกูไม่อยากถ่ายแล้วอะ หรือมันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าแค่กลัวเฉย ๆ มั้งครับ กลัวว่าแบบมันจะถูก บีบให้มันต้องทำตามเขา เช่นแบบ สมมุติสำนักข่าวหนึ่ง แม่งมีแนวทางว่าต้องถ่ายแบบนี้เท่านั้นแต่เราทำไมได้ แต่มันต้องทำ มันก็จะไม่แฮปปี้อยู่แล้ว อะไรแบบนั้นมากกว่า

UNLOCKMEN : ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่บ้าง เล่าให้ฟังได้ไหม

กิ๊ต : ถ้าอาชีพหลักก็ออกกองครับ ทำงานฝ่ายศิลป์ไปเรื่อย ๆ แต่ว่าถ้าพูดถึงงานภาพถ่าย ก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าปีนี้ตั้งใจจะทำงานภาพถ่ายซักชิ้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันจะไปลงที่ตรงไหน ไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นอะไรเหมือนกัน มันก็ยังตกตะกอนอยู่ แค่อยากบันทึกสิ่งที่เรากำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้ ในวัยนี้อะครับ ผ่านภาพถ่ายออกมา

UNLOCKMEN : กล้องตัวเก่งที่ใช้ถ่ายประจำ คือตัวไหน รุ่นไหน ทำไมเราถึงเลือกใช้ตัวนั้น

กิ๊ต : ที่จริง มันก็ไม่ได้มีตัวเก่งเพราะว่ามันก็ใช้เท่าที่มีอะครับ คือกล้องที่ใช้ทุกตัวคือกล้องฟิล์มหมดเลย ปัจจุบันคือไม่ได้ถ่าย Digital แล้ว กล้องที่ใช้ก็จะเป็นแบบ SLR Canon F-1 หรือว่าเป็น Rangefinder canon 7 ที่ใช้บ่อย ๆ ครับ แต่ที่ใช้ถ่ายส่วนตัวก็จะเป็นกล้อง Polaroid land ครับผม

UNLOCKMEN : เล่าถึงการถ่ายเบื้องหลังหน่อย ว่าเราต้องเจออะไรบ้าง

กิ๊ต : เจอดารา (หัวเราะ) ก็ไปเจอกองถ่ายอะครับ สำหรับผมมันไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ เราก็เจอผู้กำกับ เจอผู้ช่วย เจอทีมงานเขาทำงานกัน แต่สิ่งที่มันไม่น่าจะได้เจอ ไม่คิดว่าจะเกิดสิ่งนี้ขึ้นในกองถ่าย อย่างเช่น บางที่แม่งเจอผู้กับแม่งร้องไห้อย่างงี้

คือเขาอาจจะอินกับหนังเขามาก ๆ ซึ่งเราดูหนังเราอาจไม่รู้เลยว่าเขาอิน เขารักหนังเขามากแค่ไหน แต่ว่าการพาตัวเองไปอยู่จุดนั้น มันได้เห็นว่าแบบ เนี้ยเขารักหนังเขามาก หรือว่าโมเม้นต์ของการทะเลาะกันในกองถ่าย รวมถึงโมเม้นต์ต่าง ๆ ที่มันไม่มีเคยมีใครรู้ มันคงเป็น Magic Moment ที่หาเจอได้ยาก

UNLOCKMEN : ในเมื่อสมัยก่อน การถ่ายภาพเบื้องหลัง คืออาชีพหนึ่งในกองถ่าย แล้วมีความแตกต่างกับปัจจุบันยังไงบ้าง

กิ๊ต : คือสมัยก่อนมันคงเป็นอาชีพช่างภาพธรรมดาแหล่ะครับ แต่ที่มันหายไปเพราะว่า ยุคหนึ่งคนเขาคงจะคิดว่าแบบ ไม่รู้จะถ่ายไปทำไมมั้งครับ บางทีการโปรโมทด้วยอย่างอื่นมันก็สามารถทำได้แล้ว มันคงจะเป็นจังหว่ะที่แบบไม่รู้คนจะดูภาพเบื้องหลังทำไม ซึ้งทุกวันนี้ก็คงยังจะมีคนที่คิดแบบนั้นอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเราจะทำภาพเบื้องหลังไปทำไม แล้วสุดท้ายมันก็หายไปอยู่ดี ที่จริงทุกวันนี้มันก็ยังเป็นอยู่ ไม่มีอาชีพนี้อยู่จริง มันก็แค่คนที่ไปออกกองแล้วชอบถ่ายรูปที่เห็น ๆ กันก็น่าจะเป็นอะไรแบบนั้นมากกว่า

UNLOCKMEN : คิดว่านำผลงานภาพถ่ายเบื้องหลัง จะนำไปต่อยอดอะไรได้รึเปล่า

กิ๊ต : คือผมมองว่าคนสมัยก่อนเขาคราฟต์งานมากกว่าปัจจุบัน อย่างกองถ่ายสมัยก่อนที่เราเห็นกันบ่อย ๆ คงจะเป็นภาพเบื้องหลังของหนัง Star Wars เราเห็นมันบ่อยมากเพราะว่าคนสมัยก่อนแม่ง กว่าจะสร้างงานขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น Model เพราะ Star Wars มันทำ Miniature เยอะมาก ซึ่งกว่าจะทำได้มันยากมาก เพราะฉะนั้นการ Capture Processing ของเขาไว้ มันถึงได้สำคัญมาก ๆ ต่อตัวเขาเอง ต่อคนทำงาน แล้วก็ต่อคนรุ่นหลัง ๆ แต่ว่าสมัยนี้มันไม่มี มันกลายเป็นแบบ ไอ้เหี้ยหาสคริปต์อะไรมาก็ได้ มีงบเท่านี้แม่งก็ไปถ่ายดอกไม้ ถ่ายห่าเหวอะไรไป มันไม่ได้ผ่านกระบวนการที่แบบต้องสร้างอะไรขนาดนั้น มันก็เลยแบบ ไม่รู้จะถ่ายไปทำไม

เพราะอย่างงั้น Attitude ของคนสมัยก่อนเลยทำให้เขาอยากจะบันทึกการทำงานพวกเขาเอาไว้ ซึ่งมันหนักมาก มันละเอียดมาก มันก็เลยมีการถ่ายภาพเก็บเอาไว้ พอวันหนึ่งเทคโนโลยีมันเปลี่ยน อะไรมันเปลี่ยน ทุกอย่างมันง่ายขึ้น มันก็ไม่จำเป็นต้องบันทึกอะไรเอาไว้ จะให้มานั่งถ่ายคนคิดงานกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องอะครับ มันคือคนคุยกัน ไม่รู้จะถ่ายไปทำไม แต่กลับกันถ้าปัจจุบันมันมีงานที่แบบ โห งานสร้างเลย อย่างซีรีส์ตัวหนึ่ง ที่เป็นของ Side Stusio 1 ที่พี่อั๋นเขากำกับ ซึ่งงานนั้นผมมีโอกาสได้ไปถ่ายเบื้องหลัง แล้วงานนั้นก็เป็นงานซีรีส์ที่เขาค่อนข้างที่จะละเอียดกับมันมาก ๆ

มันมีการคิด มันมีการสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ มันคือซีรีส์ที่พูดถึงประเทศไทยในยุคที่เจริญขึ้นไปอีกหลายปี เช่น รถที่ไม่มีล้อ หรือมี Hologram มีอะไรพวกนี้ ซึ่งความคิดที่มันละเอียดแบบนั้น งานที่มันละเอียดแบบนั้น มันก็ควรจะถูกบันทึกเอาไว้ ผมก็ได้มีโอกาสไปถ่าย ก็เห็นได้เลยว่า เออมันละเอียดจริง ๆ หว่ะ คนที่ทำงานมันสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา มันมีการทำงานยังไง ซึ่งก็จะพบเห็นยากในการทำงานของกองถ่ายในปัจจุบัน ที่ข้อจำกัดมันก็เยอะขึ้น ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีมันจะไปไกลแล้วก็ตาม

UNLOCKMEN : มีอะไรอยากฝากถึงคนที่อยากถ่ายภาพ หรือ ชอบถ่ายภาพไหม

กิ๊ต : ก็ถ้าชอบถ่าย ก็ถ่ายไปเลยครับ หมายถึงว่าถ้าอยากถ่ายรูปหรือชอบถ่ายรูป ก็ถ่ายไปตามใจตัวเอง ผมก็ไม่รู้จะบอกว่าไงเหมือนกัน ฮ่า ๆ  ผมแค่คิดว่าอยากทำ อะไรก็พาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น ถ้าอยากถ่ายเบื้องหลัง คือจริง ๆ ก็พอจะ Get ว่าการถ่ายเบื้องหลังมันยากครับ เพราะปกติแล้วมันก็จะโดนคนเกลียดง่ายมาก ๆ เพราะมันจะเหมือนเป็นตัวสับปะรังเคในกองถ่าย แบบคนอื่นก็มองว่า ไอ้เหี้ยตากล้องนี่มันมาถ่ายอะไรวะ คือคนอื่นเขาทำงานไงครับ Unit หลักคือเขาก็คำงานของเขาไป

แต่ว่า เชี่ยเราแม่งเป็นใครไม่รู้ ไปยื่นตัว ยื่นกล้องไปถ่ายทั้งที่เขากำลังทำงานกันอยู่ มันก็จะโดนเกลียดมาก ซึ่งถ้าคนที่ไม่เคยมาทำมันก็จะยากเหมือนกัน แค่คิดว่าก็ลองพาตัวเองไปอยู่ในจุดนั้นดู ลองไปออกกอง หาช่องทางไปออกกอง ไปฝึกงานตามที่ต่าง ๆ แล้วถ้ามีโอกาสก็พกกล้องไป เริ่มต้นจากการ Snap ซึ่งการ Snap จะเป็นกล้อง Compact ก็ได้มั้งฮะ หรือว่าไปดูให้รู้ก่อนก็ได้ว่ากองถ่ายเขาทำงานกันยังไง แล้วก็ลองมาทบทวนดูอีกทีว่า อยากทำมันจริง ๆ หรือเปล่า เพราะว่า จริง ๆ มันแม่งไม่ได้สนุกขนาดนั้นเลย มันก็มีความหนัก ความเหนื่อย ข้อจำกัดก็เยอะด้วย แต่ถ้าอยากถ่ายก็ถ่าย ก็ไปเลย ลองดูครับ

UNLOCKMEN : มีอะไรที่อยาก UNLOCK ตัวเองมากที่สุด สิ่งที่มันท้าทายตัวเรา แล้วต้องทำมันให้ได้ในชีวิตนี้

กิ๊ต : อยากถ่ายครอบครัวตัวเอง ผมเป็นคนมีกำแพงกับตัวเองแล้วก็ครอบครัวของผมเอง คือไม่รู้ว่าวัยรุ่นในยุคนี้จะเป็นเหมือนผมไหม คือผมเป็นคนที่ก็รักครอบครัวตัวเอง แต่ว่าไม่ได้สื่อสารมันออกไป แล้วเราเป็นคนที่ถ่ายภาพ แต่พอมาทบทวนตัวเองแล้ว ” เหี้ย !! เราถ่ายภาพครอบครัวตัวเรา น้อยกว่าถ่ายท้องฟ้าอีกมั้ง ” แบบไอ้เหี้ยมันเป็นไปได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่พวกเขาอยู่ตรงนั้นอะครับ ก็เลยคิดว่า Goal ของการถ่ายภาพของผมแม่งคือการถ่ายครอบครัว ให้เหมือนกับที่เรารู้สึกให้ได้ เพราะทุก ๆ ครั้งที่เราหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายพ่อแม่หรือว่าคนในบ้าน แม่งต่างกับถ่ายฟ้า ถ่ายรถ ถ่ายหมา ถ่ายคนในกองถ่าย มันต่างกันมากเลยอะ แล้วเราก็จะรู้ว่าทุกครั้งที่ถ่ายมันจะมีกำแพงอะไรบางอย่างที่ มันไม่สามารถทะลุกันได้ เลยคิดว่าวันหนึ่งอยากจะถ่ายมันออกมาให้เหมือนกับที่รู้สึก คิดว่าน่าจะเป็น Achievement ที่อยากทำให้ได้ในแง่ของการถ่ายภาพมั้งครับ

นี่ก็คงอีกบทบาทหนึ่งของวงการถ่ายภาพซึ่งถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี แต่ถ้าคุณมีดี คุณมีความพยาม คุณจะกลัวอะไร แค่คุณมั่นใจและพาตัวเองไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบหรือไปอยู่ในที่ที่คุณมีสิทธิ์ที่จะได้รับโอกาส ดีกว่ามารอให้โอกาสเข้ามาหาคุณ

สำหรับใครที่ชื่นชอบผลงานภาพถ่ายของเขาสามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ Child’s Holiday

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line