Business

BETTER LIFE OR FLYPAPER EFFECT: เปย์เงินแก้ปัญหาประเทศได้จริงหรือ? เจาะเหตุผลการสวมบทนักบุญของรัฐบาลหลายประเทศ

By: anonymK December 13, 2018

“ความจนมันน่ากลัว” คนที่ลำบากทำงานเดือนชนเดือนสายตัวแทบขาดย่อมเข้าใจคำพูดนี้ดี และมันคงยิ่งการันตีได้ชัดเจนขึ้นกับประเทศที่เราอยู่ เพราะดันมีรายงานจาก CS Global Wealth Report 2018 เผยว่าระดับความเหลื่อมล้ำในไทยติดอันดับแรกของโลก เนื่องจากคนที่ร่ำรวยที่สุดซึ่งคิดเป็น 1% มีทรัพย์สินรวมคิดเป็น 66.9 % ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ ล้มอดีตแชมป์อย่างรัสเซีย

พอเงินไม่มีแล้วรัฐในฐานะผู้ปกครองก็เริ่มมานั่งกุมขมับว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ลงเอยแล้วนโยบายการให้เงินอุดหนุนหรือสวัสดิการอุดช่องว่างจึงเหมือนสูตรสำเร็จที่ใช้กันทุกประเทศมาหลายทศวรรษ

ไม่เว้นแม้แต่ในไทยที่นายกรัฐมนตรีนักทำตามสัญญา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งทำล่าสุดกับการให้เพิ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 3.1 ล้านใบ ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดราว 14.5 ล้านใบ แหวกกระเป๋างบจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม มาใส่ในบัตรให้กดกันเพลิน ๆ เปย์เงินท่วมท้นด้วยงบประมาณ 7,250 ล้านบาทเพื่อเป็นของขวัญรับปีหมา

ทว่าประเด็นเรื่องการให้เงินเป็นเรื่องทอดทิ้งหรือโอบอุ้มคนจน เราต้องสอนคนจับปลาหรือจับปลามาให้เขากิน ก็ยังถกกันอยู่ไม่หยุดหย่อน เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ได้ใช้ดุลยพินิจกับมันให้เต็มที่ เราขอส่งต่อแง่มุมเรื่องการอุดหนุนเงินคนจนจากภาครัฐทุกแง่มุมมาฝากกัน

 

ให้เงินมันดีอย่างไร

มองกันให้เป็นกลางเรื่องนโยบายที่หลายคนสงสัยกันนักกันหนาว่าการเอาภาษีของเราไปแจกเป็นเงินสดมันช่วยอะไรได้ เรื่องนี้อธิบายไว้ในงานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน published research paper (paywall) ของ David Evans จากธนาคารโลกและ Anna Popava จาก Standford University ที่เผยว่าทั้ง 19 การศึกษาไม่พบแม้แต่ชิ้นเดียวที่แสดงว่าการให้เงินสดช่วยเพิ่มยอดบริโภคยาสูบและแอลกอฮอล์

ไม่เพียงเท่านั้น การวิเคราะห์ด้วยหลัก Meta-analysis รวบรวมค่าสถิติสรุปผลทุกการศึกษายังพบว่ามันทำให้ยอดการบริโภคยาสูบกับแอลกอฮอล์ลดลงแทน เงินสดสร้างความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐศาสตร์การใช้เงินในครอบครัวยากไร้ได้

จากเดิมก่อนรับเงินทัศนคติเรื่องการใช้เงินด้านการศึกษาหรือการรักษาสุขภาพอาจดูเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ แต่หลังจากได้รับแล้วผู้ปกครองจะเริ่มตัดสินใจลงทุนอย่างจริงจังเรื่องอนาคตการเรียนของลูกยิ่งขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นเหตุผลของการตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป

นอกจากนี้เขายังพูดถึงเรื่องการจัดการมอบเงินที่รัฐมักมอบให้กับเพศหญิงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์มากกว่าเพราะพวกเธอมีแนวโน้มที่จะไม่ใช้เงินเหล่านั้นเพื่อตัวเอง แต่ใช้มันไปกับการดูแลครอบครัวและคนรอบข้าง ดังนั้น เงินสดพัฒนาชาติเลยใช้ได้ผลดี พัฒนาได้ทั้งคนและเศรษฐกิจ

แต่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนั้นเสมอไป ในอีกแง่มันอาจก่อให้เกิด “Flypaper Effect” หรือการให้เงินอุดหนุนแล้วภาครัฐมีรายจ่ายงอกกว่าเดิม รีดภาษีไม่สิ้นสุดแต่ไม่แก้อะไร เช่นเดียวกับที่ตอนนี้บ้านเรากำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์

 

หรือนายกฯ โดนรังแก จะแจกเงินบ้างก็มีแต่คนไล่ขวาง

ทำไมเมื่อนายกฯ อยากแก้ปัญหา แจกเงินแจกสวัสดิการบ้างกลับกลายเป็นคนไม่เข้าตา กลับไม่มีใครเห็นด้วยและมองว่าสูญเปล่า นี่ไม่ใช่แค่การกลั่นแหล้ง แต่มีสาเหตุแฝง เพราะถึงการแจกเงินจะพอมีผลดีอย่างที่บอก แต่มันต้องมาพร้อมเงื่อนไขที่รัดกุมพอที่จะทำให้โปรเจกต์ไปได้ดีด้วย และนี่คือปัจจัยที่ขัดขากับมาตรการเปย์ “คนให้” ไม่ได้เฮเหมือน “คนรับ” ของ ครม. ไทย

  • อุดหนุนเงินแบบให้เงินเปล่า อาจสูญเปล่า – ถึงประเทศอื่นจะให้เงิน แต่เขาก็ให้กันอย่างรัดกุมและมีเงื่อนไขใครอยากรับต้องทำตาม เช่น การสนับสนุนเงินอุดหนุนกับเด็กหญิงจากครอบครัวยากจนที่ให้เฉพาะหญิงที่ยังไม่แต่งงานเท่านั้น เรื่องนี้หลายคนอาจมองกลไกไม่ออก มันมาจากปัญหาสังคมที่ทางบังกลาเทศเจอปัญหาเรื่องแต่งงานเร็วของเด็กสาววัยก่อน 18 ในสัดส่วนเกินครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ ดังนั้น หากมอบทุนการศึกษาให้กับคนที่เข้าเงื่อนไขนี้ก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาอื่นในวงกว้าง ทั้งเรื่องสุขภาพขั้นพื้นฐาน ฯลฯ เพราะฉะนั้นการให้จึงเข้าไปช่วยรายจ่ายจากภาษีทางอื่นได้ ไม่ใช่การเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมภายหลัง
  • เกมการเมือง – ใกล้เลือกตั้งหลายคนยิ่งระแวง แม้จะเป็นเรื่องสร้างประโยชน์ต่อสังคมแต่การ “ให้” ผิดช่วงเวลามันก็น่าเพ่งเล็งว่าทำไปเพื่อเอาใจ สร้างคะแนนประชานิยมไว้ฐานการเลือกหรือเปล่า ซึ่งมันดันไปสอดคล้องพอดิบพอดีกับความเห็นของ ผ.ศ. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตที่ให้สัมภาษณ์กับรายการ “ที่นี่ Thai PBS” ที่บอกว่าช่วงเวลานี้ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นการบริโภค
  • ผิดที่ผิดเวลา – แจกเงินถึงทำให้ประชาชนชื่นมื่น แต่ถ้ามันผิดที่ผิดเวลาแล้วล่ะก็ คนอื่นก็พร้อมจะถล่มใส่ เห็นได้จากข่าวที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ออกมาตีโต้มาตรการนี้ เนื่องจากเคยเตือนแล้วว่าเศรษฐกิจปลายปีถดถอย ถึงจ่ายเงินไปก็ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เนื่องจากภาพรวมการลงทุนมันแย่เหมือนเดิม ถ้าคิดจะแก้ปัญหานี้จริง ๆ ควรไปแก้เศรษฐกิจภาพรวมซึ่งจะให้ผลระยะยาวดีกว่ามาทำระยะสั้นแบบนี้ เพราะยิ่งทำมันจะยิ่งเหลื่อมล้ำกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไร้ทางออกแต่ต้องเลือกทำและพูดให้ถูกต้อง หากอยากกระตุ้นเศรษฐกิจวิธีที่ทำอยู่ก็ปัดตกไปได้เลยเพราะให้เงินที่ให้ มันไปอยู่กับคนที่เขาแทบจะมีไม่พอกินอยู่แล้วมันจึงไม่เพียงพอจะกระตุ้นอะไรได้

ขณะเดียวกันถ้าอยากแก้ไขในระยะยาว การวางแผนลงทุนมอบสวัสดิการของรัฐที่ดี มุ่งเน้นเรื่องการศึกษาและการรักษาพยาบาลในองค์รวมเพื่อพัฒนาคนจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

ส่วนการพัฒนาคุณภาพชีวิตเรื่องนั้นคงต้องปรับกันที่โครงสร้างรายได้ประชากร เพราะทุกวันนี้รายรับไม่สัมพันธ์กับรายจ่าย ปัญหาเลยพอกต่อเนื่อง แต่ใช่ว่าทั้งหมดจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว

น่าสนใจว่ารัฐนำบทเรียนนี้ไปสานต่ออย่างไร เพราะอย่างน้อยการเก็บข้อมูลจากคุณสมบัติของผู้เข้าเกณฑ์รับบัตรสวัสดิการรัฐ นำไปใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นชุดนี้…หรือชุดไหนก็ตาม

 

SOURCE: 1 / 2 / 3 / 4 / 5

anonymK
WRITER: anonymK
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line