Business

'เต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี' ทายาทสิงห์รุ่นล่าสุด สู่การบริหาร'ตำนานธุรกิจดื่มได้'ด้วยความหลงใหล

By: PSYCAT February 16, 2017

เต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี” คงเป็นชื่อที่คุ้นหูกันดีอยู่แล้วในฐานะผู้บริหารบุญรอดบริวเวอรี่ ตำนานธุรกิจที่ดื่มได้จากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลภิรมย์ภักดีโดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476  ปัจจุบันได้เดินทางมาถึงทายาทรุ่นที่ 4 และนี่เองที่ชื่อของ”เต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี” ในฐานะผู้บริหารโดดเด่นขึ้นมาในสายตาเราทุกคน

การเข้ามารับช่วงบริหารธุรกิจต่อโดยการมีปู่ที่เป็น Brewmaster คนแรกของประเทศไทย น่าจะเป็นการบริหารที่เต็มไปด้วยความกดดัน แต่ “เต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี” ยืนยันว่าหลักการทำธุรกิจของเขาคือ ‘ความจริงใจ’ เขาทำมาหมดทุกอย่างตั้งแต่ล้างถังเบียร์ ขับรถส่งของ รถโฟล์คลิฟท์เพื่อที่จะรู้ปัญหาของพนักงานทุกตำแหน่ง

รวมถึงอีกสิ่งที่เขายึดไว้เสมอคือการบริหารธุรกิจด้วย ‘ความหลงใหล’ เขาจึงลงมือเรียนรู้การต้มเบียร์และเป็น Brewmaster ด้วยตัวเอง ความมุ่งมั่นจริงใจเต็มไปด้วยแพสชันนี่เองที่เป็นเหตุผลให้ UNLOCKMEN ชวน “เต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี” มาคุยกันในวันนี้

UNLOCKMEN: อะไรทําให้คุณสนใจเรียนด้าน Brewmaster?

ที่จริงแล้วเรียน Brewmaster ไม่สนุกเท่าดื่มเบียร์หรอกแต่ตระกูลของผมจะต้องมี 1 คนของรุ่นที่ไปเรียน Brewmaster ตัวผมเองก็เป็น Brewmaster คนที่ 3 ของตระกูล

UNLOCKMEN:  หลายคนรู้จักคุณในฐานะนักร้อง บางคนรู้จักคุณในฐานะนักกีฬาแข่งรถ บางคนรู้จักในฐานะเจ้าของค่ายมวยไทย คุณมีความสามารถหลายอย่างแล้ว ทำไมยังต้องเป็น Brewmaster อีก?

ถ้าคุณไม่รักในสิ่งที่คุณทำ คุณจะไม่ทุ่มเท 100% แต่ถ้าคุณรักในสิ่งที่ทำ คุณจะให้มัน 110% เสมอ แล้วการทำงานมันจะสนุกมาก แต่คุณต้องได้ค่าตอบแทนที่ดีด้วยนะ (หัวเราะ) คุณต้องดูแลความเป็นอยู่ทีมงานคุณทุกคน พวกเขาต้องได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความทุ่มเทของเขา ต้องทำให้เขามีชีวิตที่ดี

UNLOCKMEN: นั่นคือเหตุผลที่คุณลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่ขับรถส่งของยันต้มเบียร์?

ผมเริ่มต้นทำงานตั้งแต่ล้างถังเบียร์ ขับรถส่งของ รถโฟล์คลิฟท์ ผมทำหมดทุกอย่าง เพราะผมอยากรู้ปัญหาของพนักงาน วิธีการแก้ปัญหาของพวกเขา และอะไรที่ผมช่วยเขาได้บ้าง เพราะลำพังถ้ามีแต่ความรู้เรื่องเบียร์แต่ไม่รู้ใจคนที่ทำงานด้วยคงไปได้ไม่ถึงไหน

UNLOCKMEN: การเป็น Brewmaster มีผลต่อทัศนคติในการกลับมาบริหารธุรกิจเบียร์ของคุณอย่างไร?

การไปลงมือทดลองเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทำให้ผมรู้ว่ากว่าจะได้เบียร์แต่ละแก้วไม่ใช่เรื่องง่าย การผลิตเบียร์เหมือนเรียนวิทยาศาสตร์ครับ ต้องใช้ความจำ ความเข้าใจ มีส่วนผสมมากมายไปหมด แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นศิลปะทางรสชาติ ที่ไม่มีใครหรือแบรนด์ไหนลอกเลียนกันได้

UNLOCKMEN: เรารับมือกับความกดดันในฐานะผู้บริหารที่ต้องดูแลธุรกิจเบียร์ที่ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร?

หลักการของผมคือ ‘ความจริงใจ’ ถ้าไม่จริงใจกับพาร์ทเนอร์และผู้บริโภคไม่มีทางที่จะได้ใจจากใครทั้งนั้น ผมคิดแบบนี้เสมอ จะเรียกว่าเป็นหัวใจขององค์กรเราเลยก็ว่าได้ สิ่งนี้แหละที่ทำให้บุญรอดบริวเวอรี่เติบโตและอยู่อย่างยั่งยืนมากว่า 85 ปี

UNLOCKMEN: คุณเอาแนวคิดในการบริหารธุรกิจแบบนี้มาจากไหน?

ต้นแบบการทำธุรกิจของผมนำมาจากบรรพบุรุษทั้งคุณปู่ (ประจวบ ภิรมย์ภักดี) และคุณพ่อ (สันติ ภิรมย์ภักดี) พ่อสอนผมเสมอว่าความซื่อสัตย์เป็นเรื่องสำคัญมาก

อย่างเรื่องคุณภาพของเบียร์ ถ้าอุณหภูมิเปลี่ยนรสชาติก็อาจจะไม่คงที่ ผมเลือกที่จะทำลายทิ้งเพราะคุณภาพเป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ผมอยากให้คนที่ดื่มเบียร์ของผมได้รสชาติเหมือนเดิมทุกครั้ง เพราะเหมือนเขาไว้ใจผมแล้ว ผมจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง ซึ่งเรายังคงรักษามาตรฐานของเราไว้ได้ดีนะครับ ตลอดหลายปีที่ผลิตเบียร์ออกมา ยังไม่มีสักครั้งที่เราทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจในรสชาติหรือมาตรฐานในเรื่องอื่น ๆ

UNLOCKMEN: การขับเคลื่อนตำนานที่ดื่มได้อย่างเบียร์สิงห์ไปข้างหน้า นอกจากความจริงใจ ความหลงใหลแล้ว ดูเหมือนว่ายังต้องการความแข็งแกร่งพอสมควร คุณมีวิธีการดำเนินชีวิตในแต่ละวันอย่างไร?

“ใช้ชีวิตทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย” ทุกวันนี้ผมท้าทายตัวเองเสมอ ทุก ๆ วันสำหรับผมจึงเป็นเรื่องน่าสนุก ถ้าวันไหนคุณท้อ เบื่องานที่ทำ ลองคิดแบบนี้ครับ วันนี้คุณทำอะไรไปแล้ว บอกพรุ่งนี้คุณจะทำอะไรให้ดีขึ้น ถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วละก็ ให้ลุกขึ้นทำทันทีเลย อย่ารอ ตั้งใจทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต เพราะชีวิตมันสั้น อย่าคิดว่าอาทิตย์หน้าจะทำเดือนหน้าจะทำ อย่าคิดว่าตัวเองแก่เกินไปหรือเด็กเกินไป

ถ้าอยากทำอะไรทำเลย อย่าไปรอ ผมเชื่อว่าทุกคนมีความฝัน ผมก็มีความฝัน แล้วการที่เราไปถึงฝันของเราได้ นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว ลองใช้ชีวิตให้เหมือนทุกวันเป็นวันสุดท้ายแบบผมสิ แล้วคุณจะรู้ว่าเวลาแต่ละวันมันมีมากแค่ไหน คุณทำอะไรได้บ้างใน 24 ชั่วโมง ซึ่งแบบนี้ทำให้ใช้ชีวิตสนุกนะครับ

UNLOCKMEN: อะไรคือความความท้าทายที่สุดในการนําพาธุรกิจเบียร์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยให้รักษาความ เป็นผู้นําต่อไปได้ในยุคที่มีตลาดเครื่องดื่มเบียร์มีการแข่งขันที่รุนแรงกว่าในอดีตมาก?

สำหรับผมเบียร์สิงห์ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มแต่เป็นตำนานของคนไทย ย้อนกลับไปก่อนจะมีเบียร์สิงห์ไม่เคยมี ใครคิดมาก่อนว่าคนไทยจะผลิตเบียร์ของตัวเองได้ เพราะเป็นเครื่องดื่มของต่างประเทศและมีขั้นตอนการผลิตที่ซับซ้อน แต่เมื่อเบียร์สิงห์ได้กำเนิดขึ้น จึงเหมือนเป็นสิ่งแสดงว่าไม่มีอะไรชนะความตั้งใจของเราได้  อีกทั้งรสชาติของเบียร์ก็ค่อนข้างดี จนกลายเป็นที่รู้จักในระดับสากล ทำให้ทุกวันนี้เบียร์สิงห์มียอดส่งออก กว่า 50 ประเทศทั่วโลก

 UNLOCKMEN: ตลาดเบียร์ไทยยังมีอะไรที่มองว่ามันเป็นอุปสรรค และคุณจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร?

ผมมองว่า ทุกวันนี้โลกเราหมุนเร็วมาก และเล็กลง ทุกมุมโลกเชื่อมต่อกันไปหมด นักดื่มมีทางเลือกเยอะขึ้น มีทั้งแบรนด์ไทยแบรนด์นอกแข่งขันกัน แถมยังมีคราฟเบียร์ที่เข้ามาทำให้ตลาดเบียร์ในประเทศไทยมีสีสันมากขึ้น สิ่งที่ผมจะทำคือ”เติบโตให้ทันโลกโดยไม่เบียดเบียนคนอื่น” ผมเลือกที่จะเดินไปด้วยกันกับเพื่อนที่รู้ใจ  ผมเชื่อในคำว่า Teamwork อีกทั้งความรู้จากคนรุ่นก่อนของตระกูลผมและผู้บริหารในรุ่นเดียวกัน เบียร์สิงห์จะยังคงเป็นตำนานที่ดื่มได้เสมอ

เบียร์สิงห์จะเป็นตำนานที่ดื่มได้ตลอดชั่วกาลเวลาหรือไม่เป็นสิ่งที่เราจะรอเอาใจช่วย แต่ที่เรามั่นใจแน่ ๆ คือแพสชั่นและความจริงใจของ “เต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี” ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจระดับตำนานนี้ไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง เหมือนประโยคที่เขาพูดซึ่งยังคงก้องอยู่ในหัวเราซ้ำ ๆ ว่า “เติบโตให้ทันโลกโดยไม่เบียดเบียนคนอื่น” เพราะประโยคนี้นี่เองคือใจความสำคัญของคนที่หัวใจแกร่งอย่างสิงห์ และประโยคที่เขาย้ำชัดเจนอีกว่า “ตั้งใจทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต” นี่เองที่ทำให้คนหนุ่มอย่างเขาดำเนินธุรกิจที่เดิมพันด้วยชีวิตและหัวใจจนใครก็อดชื่นชมไม่ได้

“ใช้ชีวิตทุกวันให้เหมือนวันสุดท้าย” เต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line