เดือนตุลาคม ปี 1992 เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้รู้จักกับรถยนต์เทคโนโลยีตัวแข่ง Rally จากการเปิดตัวของ Subaru WRX หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าย่อมาจาก “World Rally eXperimental” เป็นรถระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ช่วงล่างที่แข็งสำหรับรับมือความเร็วสูงจากเครื่องยนต์ Turbocharged 4 สูบ แต่ดูเหมือนคนที่ชื่นชอบรถ Subaru จะยังไม่พอใจกับ WRX ทำให้อีก 2 ปีต่อมา Subaru ได้เปิดตัว STI (Subaru Tecnica International) ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีสมรรถนะเดือดขึ้นกว่า WRX ทุกจุด เริ่มต้นทำตลาดแบบจำนวนจำกัดเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ก่อนกระแสความนิยมจากเหล่านักขับรถแรงทั่วโลกจะเรียกร้องหา Subaru WRX STI จนเริ่มทำตลาดนอกญี่ปุ่นบ้าง โดยมักจะใช้สเปครถแยกกันระหว่างในญี่ปุ่นและอเมริกา ความนิยมและตำนานของป้าย STI สามารถการันตีความพิเศษและสมรรถนะที่แตกต่างของ Subaru ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน และความเคลื่อนไหวจากคลิปวีดีโอเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจาก Subaru เป็นการบอกใบ้ชัดเจนว่ากำลังจะมีการมาถึงของ WRX STI เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดเร็ว ๆ นี้แน่นอน และแล้ววันนี้ก็มีการเคลื่อนไหวนล่าสุดอีกครั้ง กับการโพส Instagram
ช่วงปี 1980 – 1990 ถือเป็นทศวรรษแห่งการก้าวกระโดดของวงการ 4 ล้อทั่วโลก ค่ายรถยนต์น้อยใหญ่มากมายต่างพากันเดินหน้าพัฒนารถในสายการผลิตของตัวเองให้มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านสมรรถนะและรูปลักษณ์ ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อยที่ได้สร้างปรากกฎการณ์เอาไว้จนถึงขั้นเป็น Iconic Cars ประจำยุคสมัยเลยทีเดียว แน่นอนว่าช่วงเวลาดังกล่าวมีรถยนต์มากมายหมุนเวียนผลัดกันออกมาโชว์ศักยภาพของตัวเองบนท้องถนน แต่วันนี้ UNLOCKMEN จะขอหยิบยก 5 คัน ที่จะทำให้เรามองเห็นภาพปีศาจ 4 ล้อเจ้าพ่อแห่งยุคสมัยนั้นได้ชัดเจนที่สุด รวมไปถึงราคาค่าครอบครองโดยประมาณในปัจจุบัน ซึ่งจะมีรุ่นไหนบ้างมาดูกันเลย BMW M3 (E30) รถยนต์สมรรถนะสูงที่ผลิตที่ระหว่างปี 1,986-1,990 เปิดตัวครั้งแรกในรูปแบบ Compact Sport Sedans ด้วยโมเดล Coupe และ Convertible พร้อมด้วยขุมกำลังสุดโหดกับเครื่องยนต์ 4 สูบ ซึ่งถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตลาดรถยนต์ในเวลานั้น โดยเฉพาะในรุ่น Evolution II หรือที่เรียกกันว่า EVO2 มาพร้อมสมรรถนะของรถสนามในขนาดกะทัดรัด ทำให้ BMW M3 E30 กลายเป็นรถที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายไปทั่วโลกในฐานะรถบ้านสุดแรง รวมไปถึงการถูกจับมาปรับแต่งเพื่อเป็นเจ้าสนามในวงการมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งจำนวนที่ลดน้อยลงตามกาลเวลา ก็ทำให้มูลค่าของรถสภาพดีพุ่งสูงขึ้นสวนทางและเป็นที่ต้องการของนักสะสมมากขึ้นทุกวัน ค่าตัวโดยประมาณ : 800,000
การสะสมกับผู้ชายก็เป็นเหมือนของคู่กัน เราทุกคนต่างเคยมีช่วงเวลาแห่งความหลงใหลในเรื่องราวหรือสิ่งของบางอย่างและเมื่อเวลาผ่านไปความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ก็กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากครอบครอง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ใครหลายคนสะสมสิ่งของต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความชอบของตัวเองเอาไว้มากมาย เช่นเดียวกันกับคุณเพชรจ้า-วิเชียร กุศลมโนมัย ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนรู้จักเขาดีในฐานะดีเจและพิธีกรมากฝีมือ แต่ขณะเดียวกันหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ผู้ชายคนนี้ยังมีชีวิตในอีกมุมที่ตัวเขาให้ความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือการสะสมสิ่งของต่าง ๆ ตั้งแต่ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปจนถึงชิ้นใหญ่จนต้องสร้างที่เก็บสำหรับของสะสมแต่ละไอเทมโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเป็นคอลเล็กเตอร์แถวหน้าตัวจริงอีกคนในประเทศไทยก็ว่าได้ ด้วยไลฟ์สไตล์ในฝันกับการถูกห้อมล้อมด้วยเสื้อผ้า, รองเท้าและซุปเปอร์คาร์คันงาม แต่จะมีสักกี่คนเข้าใจถึงเหตุผลที่ชายคนนี้เลือกสะสมของต่าง ๆ ให้เข้ามาอยู่ในคอลเลกชัน ซึ่งวันนี้ก็เป็นโอกาสดีที่ตัวเขาให้เกียรติเปิดบ้านหลังใหม่ เพื่อเล่าถึงจุดเริ่มต้นการสะสมของทั้งหมด ให้เราได้รู้ ได้เห็นเกี่ยวกับแรร์ไอเทมทุกชิ้นที่เก็บซ่อนเอาไว้ จุดเริ่มต้นการสะสม หลังออกมาต้อนรับอย่างอารมณ์ดีพร้อมถ้วยกาแฟในมือ ก่อนจะขอตัวไปเปลี่ยนชุดให้พร้อมต่อการพูดคุย ทำให้เรามีเวลาได้สำรวจส่วนต่าง ๆ ภายในบ้าน ซึ่งมักจะมีมุมหรือห้องพิเศษไว้สำหรับของสะสมต่าง ๆ ซึ่งบอกได้เลยว่าเยอะโคตร ไล่มาตั้งแต่ทางเข้ากับคอลเลกชันรถคันพิเศษในการาจสุดเอ็กซ์คลูซีพ หรือโซนตู้เก็บรองเท้าซึ่งไม่ต่ำกว่าร้อยคู่และเมื่อทุกอย่างพร้อม การเปิดกรุของสะสมของเขาก็เริ่มขึ้น คุณเพชรจ้าเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นการสะสมของชิ้นแรกในชีวิตซึ่งฟังดูไม่น่าเชื่อ เพราะมันคือสมุดสะสมแสตมป์เล่มหนา 4 เล่มที่ตัวเขาหยิบมาให้ดู พร้อมกับโน้ตที่มีลายมือของเด็กเขียนกำกับเวลาเริ่มสะสมเอาไว้เป็นวันที่ 4 เมษายน ปี 2534 หรือ 27 ปีที่แล้ว โดยเด็กชายเพชรจ้าเริ่มสะสมแสตมป์ครั้งแรกเพราะได้รับอิทธิพลจากคุณพ่อของเพื่อนที่มีความรู้เกี่ยวกับการสะสมแสตมป์ บวกกับความที่ยังเด็กเมื่อได้รู้ว่าการสะสมทำให้ของที่เคยซื้อมาในราคา 1 บาท ต่อมาอาจขายได้ในราคา 20
ถ้าพูดถึง BMW 3-Series E36 เชื่อว่าผู้ชายหลายคนโดยเฉพาะรุ่นใหญ่วัยสามสิบบวกคงจะคุ้นเคยและรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปตอนสมัยหนุ่ม ๆ รถยนต์ในซีรีส์ดังกล่าวเป็นเหมือนกับพาหนะในฝันที่หากใครได้มาครอบครอง ก็จะกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคนไปโดยปริยาย เรียกว่าเป็นรถที่ทำให้หลายคนเริ่มเก็บเงินกันอย่างจริงจังเพื่อจะได้ครอบครองเจ้านกแก้วคันนี้ ไม่ต้องแปลกใจหากจะเห็นรถ 3-Series ในรหัสเครื่อง E36 โลดแล่นอยู่บนท้องถนนของบ้านเราจนชินตา รวมถึงบางรุ่นที่ยิ่งกาลเวลาผ่านไป ยิ่งกลายเป็น Collectible Cars เป็นของสะสมที่มีคุณค่าทั้งทางจิตใจและมูลค่าราคาที่แข็งขึ้น ๆ แต่อะไรคือสาเหตุที่ทำให้รถยนต์ในสายการผลิตดังกล่าวของ BMW ได้รับความนิยมจากหนุ่ม ๆ ทั่วโลก วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ BMW 3 Series E36 สุดเก๋าคันนี้ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม THE BEGINNING OF 3 BMW 3-Series E36 คือรถยนต์นั่งประเภท Compact Executive Car ที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นเจเนอเรชันที่ 3 ของค่าย BMW คือระหว่างช่วงปี 1991-1999 เปิดตัวครั้งแรกในยุโรปช่วงปี 1990 และต่อด้วยในสหรัฐอเมริกาในปีถัดมา โดยรถรุ่นแรกของสายการผลิตคือรถสไตล์ Saloon 4 ประตู ก่อนจะต่อยอดและขยายโมเดลอื่นตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
ด้วยความมุ่งมั่นในการมอบความสุขที่ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่สุนทรียภาพในการขับขี่ แต่ยังครอบคลุมถึงไลฟ์สไตล์ด้านอื่น ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้มอบสุดยอดประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต โดยพาสมาชิกในโปรแกรม The Ultimate JOY Experience (ดิ อัลติเมท จอย เอ็กซ์พีเรียนซ์) ตีตั๋วไปวิ่งตามรอยนักวิ่งระดับโลกกับทริป บีเอ็มดับเบิลยู เบอร์ลิน มาราธอน 2018 – #มิชชั่นเบอร์ลิน (BMW Berlin Marathon 2018 – #missionberlin) มหกรรมการวิ่งมาราธอนที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ซึ่งมีความเอ็กซ์คลูซีฟมากขึ้น ด้วยการจัดโปรแกรมซ้อมวิ่งกับ “ครูดิน” สถาวร จันทร์ผ่องศรี อดีตนักวิ่งมาราธอนทีมชาติไทย ที่ร่วมเดินทางไปลงสนามพร้อมกับสมาชิก และปีนี้ทุกคนต่างได้รับประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหน นั่นคือ การได้วิ่งบนสนามที่มีการทำลายสถิติโลกครั้งใหม่ในวันเดียวกัน! เศรษฐิพงศ์ อนุตรโสตถิ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายการตลาด บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย กล่าวถึงความพิเศษของทริปที่นักวิ่งทุกคนต่างรอคอย ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมไฮไลต์ ภายใต้โปรแกรม “The Ultimate JOY Experience”
Volkswagen คือรถยนต์สัญชาติเยอรมันที่สร้างสรรค์ขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นรถที่ชาวเยอรมันนิยมมีไว้ติดบ้านเนื่องจากสมรรถนะที่ดีเยี่ยม เต็มไปด้วยประโยชน์ใช้สอยในราคาย่อมเยา รวมถึงเรื่องของการบริการใส่ใจลูกค้าไม่เคยเสื่อมคลาย แม้แต่คุณยายที่เคยซื้อรถยนต์เมื่อ 50 ปีที่แล้ว มาถึงวันนี้ยังได้รับเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ที่น่าประทับใจจาก Volkswagen เช่นกัน เรื่องราวความประทับใจนี้เริ่มต้นจากหญิงอายุ 73 ปี นามว่า Kathleen Brooks เธอได้ซื้อรถ Volkswagen Beetle สีแดง หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันจนติดปากว่า “รถเต่า” มาตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1966 ซึ่งเท่ากับว่าเจ้ารถเต่าคันดังกล่าวอยู่กับแคทเธอรีนมากว่า 52 ปีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับการครอบครองรถคลาสสิคเป็นเวลานาน แต่เรื่องราวระหว่างแคทเธอรีนและรถเต่าของเธอมีความน่าสนใจมากกว่านั้น เพราะตั้งแต่ที่เธอซื้อรถคันแรก เธอได้จดบันทึกเรื่องราวความผูกพันระหว่างตัวเธอกับรถเต่าคู่ใจตลอดเวลา เธอตั้งชื่อมันว่า Annie และไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีเวลาว่าง เธอมักจะออกไปขับรถเล่นพร้อมความทรงจำดี ๆ อย่างเช่น ในวันที่แอนนี่ต้องขึ้นเนินเขา เธอจะเคลื่อนไหวช้าลง และในวันที่อากาศเย็น แอนนี่จะทำงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งเจ้ารถเต่าแอนนี่อยู่กับเธอตั้งแต่แต่งงานจนกระทั่งหย่าร้าง ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ไปจนถึงตอนที่เธอพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่สาม รวมเป็นเวลากว่า 5 ทศวรรษ เป็นระยะทางกว่า 450,000 ไมล์ ที่ทุกการเดินทางของแคทเธอรีนก็จะมีแอนนี่อยู่เคียงข้างเสมอ จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์
หนุ่ม ๆ ทุกคนต่างมีรถในฝันของตัวเองและแต่ละคนล้วนมีรูปแบบหรือสไตล์แตกต่างกันออกไป บางคนหลงใหลความดุดันของ American Muscle Car หรือบางท่านก็ชอบรูปแบบความเร็วร่วมสมัยอย่าง Supercar แต่จะเจ๋งแค่ไหนถ้าทั้งสองสิ่งถูกนำมาผสมอยู่ในรถคันเดียวเหมือนใน TRACTORRI Project Car สุดแปลกแต่ต้นทุนสูงจนเราต้องหยิบแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักคันนี้ การรวมร่างกันของม้าป่าสัญชาติอเมริกันเข้ากับกระทิงเปลี่ยวจากแดนมักกะโรนีคันนี้ ถือกำเนิดขึ้นโดยชายที่ชื่อว่า John Haugh ผู้มีความคิดว่าอยากจะรวม Iconic Car แห่งยุคสมัยทั้งสองเข้าด้วยกัน คันแรกคือ Ford Mustang ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายถึงสรรพคุณความเป็น Iconic ฝั่งอเมริกันให้มากความ เพราะมันยังคงเป็นรถในฝันของใครหลายคนในทุกยุคสมัย อีกคันเป็นซุปเปอร์คาร์สายพันธุ์โหดที่มียอดขายมากกว่า 14,000 คันทั่วโลกกับ Lamborghini Gallardo ก่อนจะถูกแทนที่ด้วย Huracan ในเวลาต่อมา TRACTORRI ชื่อที่ถูกใช้เรียกรถ Tractor ของ Lamborghini ในอดีต เปิดตัวต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกในงาน SEMA 2009 พร้อมความภูมิใจจากการผสมผสานอันลงตัว ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างใส่ใจรายละเอียดตลอดทั้งคัน เริ่มจากดีไซน์ภายนอกที่มากับรูปลักษณ์อันปราดเปรียวของ Ford Mustang 2007 พร้อมชุดไฟหน้าเดิมและไฟเลี้ยวหยิบยืมของ Porche 911 Turbo มาใช้งาน
เรียกว่าเป็นช่วงเทศกาลแห่งการเปิดตัวรถยนต์แนว Roadster ของค่ายรถต่าง ๆ ก็ว่าได้สำหรับช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งล่าสุดสำหรับ McLaren Automotive ก็ได้เปิดตัวเจ้าแห่งความเร็วคันใหม่ของ Super Series ออกมาแบบเปลี่ยนแปลงตั้งแต่หัวจรดท้ายอย่าง All-New 720S Spider เรียกว่าได้รับการพัฒนาข้ามขั้นจากรถต้นแบบคันแรกของ Super Series อย่าง McLaren 650S มาไกลทีเดียวสำหรับโมเดลใหม่ของ 720S Spider มาพร้อมจุดเด่นตามสไตล์ Roadster ด้วยหลังคาเปิดประทุนแบบ Hard Top ซึ่งถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ โดยจะพับเก็บลงไปในแผงคาร์บอนไฟเบอร์ชิ้นเดียวด้านหลังตัวรถ ซึ่งเป็นระบบหลังคาที่ทาง McLaren เคลมว่ามันคือ “ระบบเปิดประทุนซึ่งทำงานได้เร็วที่สุดในโลกของซุปเปอร์คาร์” โดยใช้เวลาในการเปิด-ปิดเพียง 11วินาทีในความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสำหรับหนุ่มที่ต้องการเพิ่มประสบการณ์พิเศษ ก็สามารถสั่งติดกระจกแบบ ElectroChromic แทนที่หลังคาแบบทึบได้อีกด้วย แต่นอกจากหลังคาสุดไฮเทคแล้ว 720s Spider ยังมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ที่โคตรดุดัน เริ่มจากชุดไฟหน้าใหม่และส่วน A-pillar ที่ปรับเปลี่ยนให้ได้มุมมองที่กว้างขึ้น นอกจากนี้ตัวรถยังมาพร้อมโครงสร้างผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งเบาและแข็งแรงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์บางชิ้นจากรุ่น 650S Spider เป็นวัสดุที่น้ำหนักเบามากขึ้นทำให้รถเบากว่ารุ่นก่อนได้ถึง 6.8
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ขับขี่รถยนต์ท่ัวไป ส่วนใหญ่มักจะใส่ใจดูแลแค่ความสวยงามภายนอก ยอมควักเงินจ่ายไม่ยั้งประโคมเข้าไปทั้งชุดแต่ง ทําสี เคลือบแก้ว หรือคนรักรถอีกสายก็มักจะเน้นลงเงินไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพความแรงของเครื่องยนต์ จนหลายคนลืมให้ความสำคัญกับยางทั้ง 4 ล้อ ปราการด่านแรกของความปลอดภัยผู้น่าสงสาร เพราะถูกหลายคนมองว่ามันก็แค่ยาง สิ้นเปลือง เสื่อมไว ใช้ได้ไม่นาน จนพาลทําให้ไม่อยากจ่ายแพงหรือพิถีพิถันเลือกยางดี ๆ เอาง่ายเข้าว่าแค่ขนาดตรงกับแม็ก แค่ให้รถยังวิ่งได้เพียงเท่านั้นก็พอ ทั้งที่จริง ๆ แล้วยางรถยนต์เป็นส่วนเดียวของรถที่สัมผัสต่อพื้นถนนโดยตรง หลายครั้งความเป็นความตายเพียงเสี้ยววินาที ก็ถูกชี้ชะตาได้ด้วยระยะเบรก รวมถึงประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนของยางทั้ง 4 เส้น ที่เรามักจะมองข้ามไป รู้ถึงความสําคัญซึ่งมีมากกว่าที่คิดของผู้ปิดทองหลังพระอย่างยางรถยนต์ไปแล้ว ถ้าอยากจะหันมาเริ่มใส่ใจ หายางดี ๆ มาติดรถไว้ ให้ขับขี่ได้ปลอดภัยเต็มประสิทธิภาพ เราเชื่อว่าชาว UNLOCKMEN คงมีคําถามว่า แล้วจะพิจารณาจากอะไรดี ยางที่ว่าดี มันต้องดีแค่ไหน? เราจึงอาสาไขข้อข้องใจ นําเสนออีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัย และความคุ้มค่า กับยางมิชลิน ไพรมาซี่ 4 ยางรุ่นใหม่จากค่ายมิชลิน ที่มีชื่อชั้นเรื่องคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับโลกมายาวนานกว่า 129 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งในปี 2432 กับการถูกจารึกชื่อในฐานะผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมยางครั้งแรกของโลก และ ครั้งแรกของอุตสาหกรรมหลายต่อหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นยางรถจักรยานแบบถอดได้ครั้งแรก (ปี
สำหรับผู้ชายอย่างเรา ทุกคนล้วนเคยมีช่วงเวลาที่ต้องเสียไปในการตามหาสิ่งที่ชอบหรือหลงใหล หลายคนเพิ่มความท้าทายให้ชีวิตได้สูบฉีดอะดรีนาลีนใส่ร่างกายด้วยความเร็ว ซึ่งทุกเรื่องล้วนเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ทุกคนเคยใช้เพื่อตามหาตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่คงจะมีไม่กี่คนที่ได้ไปสัมผัสความรู้สึกหลังพวงมาลัยของรถอย่าง Nissan GTR R32 และ 200 SX จูนเต็มมาแล้ว แต่กลับไปหลงเสน่ห์ในความคลาสสิกของ Volkswagen ถึงขนาดใช้เวลาอยู่กับมันมามากกว่า 20 ปี รวมถึงเคยดัดแปลงรถ VW เพื่อลงสนามแข่งและขับขี่ด้วยตัวเองจนได้แชมป์การแข่งขันระดับประเทศมาแล้ว ผู้ชายคนนี้คือ “ต้น สิทธิศักดิ์ อรัญยถาวร” เจ้าของอาณาจักร 911 Garage อู่ซ่อมรถคลาสิกครบวงจร ซึ่งวันนี้เขาจะพาเราไปย้อนอดีตตั้งแต่ก่อนการเป็นเจ้าของ Beetles คันแรกในชีวิต สู่ปัจจุบันในการเป็นผู้ดูแล Volkswagen มากกว่า 100 คัน การเริ่มต้นทำความรู้จักกับ Volkswagen คุณต้นพูดให้ฟังถึงช่วงแรก ที่ได้สัมผัสถึงความสวยงามของ Volkswagen ซึ่งต้องย้อนไปถึงตอนที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในตอนนั้นเองเขามีโอกาสได้รู้จักกับ Volkswagen Beetles ผ่านคนรู้จัก ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเวลานั้น VW Classic ไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนทุกวันนี้ และทันทีที่ทดลองเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร ก็รู้สึกประทับใจในรายละเอียดต่าง ๆ ของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นแผงคอลโซลที่ทำจากเหล็ก มีสีสันรายละเอียดแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไป หรือมุมมองคนขับที่ได้จากรถก็เป็นมุมกว้างและโค้ง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทำให้อยากจะรู้จักกับ
วันนี้คนซื้อรถยนต์น่าจะเจอทางเลือกที่มีให้มากมายในโมเดลเดียวกัน ซึ่งเป็นผลมาจากความพยายามเข้าถึงไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของพวกเรา หัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดคำถามในหัวเจ้าของรถมากเป็นพิเศษ คงจะเป็นการเลือกเปรียบเทียบว่าจะเลือกเครื่องยนต์แบบไหนดี ระหว่าง เบนซิน (Petrol) หรือ ดีเซล (Diesel) อย่างในโมเดลยอดฮิต New Honda CR-V รุ่นล่าสุดที่เผยรายละเอียดออกมาก็มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ประเภทเช่นเดียวกัน โดยแบ่งออกเป็นรุ่น 5-Seater เครื่องยนต์เบนซิน และรุ่น 7-Seater ซึ่งมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล ในราคาที่ไม่แตกต่างกันมากนัก คำถามที่แฟน ๆ New Honda CR-V ต้องตัดสินใจคือ จะเลือกซื้อรุ่นไหนดี? ก่อนจะตัดสินใจเลือกได้ เราต้องทำความเข้าใจคาแรคเตอร์และข้อดีข้อเด่นของเครื่องยนต์แต่ละประเภทที่แตกต่างกันก่อน เพื่อดูว่า New Honda CR-V โมเดลไหนตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของเรามากกว่ากัน โดยพื้นฐานของเครื่องยนต์ 2 ประเภทนี้ ต่างก็มีจุดเด่นของตัวเองต่างกัน ซึ่งเราจะมาสรุปให้เห็นภาพชัดเจนและเข้าใจง่าย เครื่องยนต์เบนซิน (Petrol engine) สงบดี มีรอบจัดจ้าน จุดเด่นของเครื่องยนต์เบนซินคือการทำงานที่นิ่ง เงียบ เครื่องยนต์ไม่ค่อยซับซ้อนมากนัก จึงมีน้ำหนักและขนาดที่เล็กกว่าเครื่องยนต์ดีเซล ช่วยให้ขับขี่ได้คล่องตัว
ในขณะที่บ้านเรากำลังฮือฮาจากการเปิดตัว Nissan Leaf generation ที่ 2 ด้วยราคา 1.9 ล้านบาท บ้างก็ว่าราคาแพงเกินไป แต่บางคนก็เข้าใจว่าโดนกำแพงภาษีวางยามา ก็เราอยู่ในประเทศที่รัฐบาลถือหุ้นบริษัทน้ำมัน ครั้นจะให้รถพลังงานไฟฟ้าขายราคาดีเกินไปคงจะผิดหลักการทำกำไรของนักธุรกิจบางคน แต่ถ้าเห็น Nissan Leaf เวอร์ชั่นสุดโหดจากแดนอาทิตย์อุทัยที่ผ่านมือการโมดิฟายโดย Nismo มา หลายคนอาจจะลืมเรื่องราคาและคว้า Leaf มารอแต่งตามกันเลยทีเดียว หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า Nismo Leaf ไม่ใช่พึ่งมีครั้งนี้ครั้งแรก แต่เคยมีการจับ Leaf พลังงานไฟฟ้ามาจูนมอเตอร์ให้แรงครั้งนึงแล้วในปี 2011 ด้วยขุมพลัง 80-kilowatt AC electric motor 107 แรงม้า และแรงบิด 207 lb-ft แถมยังการันตีความเสถียรของรถ EV จากค่ายด้วยการจับแต่งเพื่อส่งลงแข่ง 24 Hours of Le Mans ครั้งที่ 79 ล่าสุด Nismo ได้เปิดตัวแรงพลังงานไฟฟ้าคันใหม่ “NISSAN LEAF NISMO RC”