เหล่านักสะสมไฟแช็ค ห้ามพลาด! กับการร่วมมือกันของแบรนด์สาย Punk อย่าง Vivienne Westwood และ ZIPPO กับคอลเลคชันไฟแช็กรุ่นพิเศษที่มี 6 แบบด้วยกัน จุดเด่นของคอลเลคชันนี้คือโลโก้ Vivienne Westwood ที่มีการฝังและแกะสลักไว้ตามจุดต่าง ๆ นั่นเอง สำหรับไฮไลท์ของคอลเลคชันนี้ คือ รุ่น “SPIN ORB” ที่ใช้ตัวโครงสร้างของรุ่น Armor Zippo โดยรุ่นนี้มีสองสีด้วยกันคือ สีเงิน และสีทอง ต้องบอกเลยว่าความเท่ของรุ่น “SPIN ORB” คือลายสลักโลโก้ที่อยู่ระหว่างฝาบนกับตลับ เรียกได้ว่าเรียบแต่โก้เลยทีเดียว ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 ชิ้น เท่านั้น ต่อมารุ่น “BIG ORB” ลายแกะสลักโลโก้ขนาดใหญ่ที่ตัวตลับไฟแช็ก และ “OUTSTANDING ORB” ที่แกะสลักลายโลโก้ของ Vivienne Westwood รอบตัวตลับไฟแช็ก ซึ่งในสองรุ่นนี้ผลิตขึ้นมามีความหนากว่าปกติ อ้างอิงจากรุ่นคลาสสิกของ ZIPPO 200 เนื่องด้วยการใช้พื้นผิวสำหรับการสลักลายที่ตลับ สำหรับสองรุ่นสุดท้ายของคอลเลคชันนี้
ในปีค. ศ. 1949 Kihachiro Onitsuka (คิฮาชิโร โอนิซึกะ) ได้ก่อตั้ง บริษัท Onitsuka Co. Ltd. ซึ่งเป็นผู้บุกเบิก ASICS แบรนด์เริ่มต้นจากความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสุขภาพของเยาวชน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Onitsuka Tiger Stripes ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของหนึ่งในแบรนด์กีฬาที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตำนานยังคงสืบเนื่องมาจนปัจจุบันในการผสมผสานของมรดกญี่ปุ่นและสไตล์สมัยใหม่ ด้วยงานดีไซน์ตั้งแต่รูปทรงคลาสสิกที่ได้รับการอัปเดตไปจนถึงสไตล์ใหม่ๆ และความร่วมมือกับศิลปินที่มีความคิดที่ตรงกันและผู้ชื่นชอบวัฒนธรรม จิตวิญญาณของญี่ปุ่นสะท้อนให้เห็นในคอลเล็กชั่นใหม่ของรองเท้า เสื้อผ้าและเครื่องประดับ Onitsuka Tiger เสมอมา ล่าสุด Onitsuka Tiger เปิดตัวรองเท้า MEXICO 66™ GDX™ ซึ่งเป็นรุ่นไฮเอนด์ที่สุดของรองเท้ารุ่นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ อย่าง MEXICO 66™ รองเท้าซีรี่ย์ GDX ถือเป็นรุ่นที่เกิดขึ้นใหม่จากไลน์ NIPPON MADE คอลเล็กชั่นรองเท้า ‘Made in Japan’ ของแบรนด์รองเท้าในซีรี่ย์ GDX ผสมผสานงานฝีมือของญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เข้ากับเทคโนโลยีขั้นสูงและองค์ประกอบร่วมสมัย ที่สร้างขึ้นโดยช่างฝีมือชาวญี่ปุ่น ซึ่งรูปลักษณ์ใหม่นี้โดดเด่นด้วยหนังญี่ปุ่นชั้นดีตลอดส่วนบนของรองเท้าและตกแต่งด้วยลายปัก Onitsuka
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่โมเดลสุดไอคอนิกของอาดิดาส ออริจินอลส์อย่าง Superstar, Gazelle และ Forum ยืนหยัดในฐานะสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมและชุมชน – หยั่งรากลึกในใจของผู้คนในฐานะผู้เปลี่ยนเกมและผลักดันขอบเขตอย่างต่อเนื่อง สำหรับฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2023 อาดิดาส ออริจินอลส์ได้นำทั้งสามโมเดลกลับมาอีกครั้งภายใต้แคมเปญล่าสุด “Home of Classics” แคมเปญนี้ประกอบด้วยบุคคลผู้บุกเบิกทางวัฒนธรรมจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ลิลเดร (Lil Dre), คาลยา มอนโตยา(Kalya Montoya) และ มาร์คอส มอนโตยา (Marcos Montoya) จากลอสแองเจลิส และ ดี โคอาลา (Dee Koala), มาสวันดิเล ซิทโฮล (Mzwandile Sithole) และ แอนดิล ดลามินี (Andile Dlamini) จาก Broke Wear แบรนด์หัวก้าวหน้าของเคปทาวน์ การเชื่อมโยงภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมเปลี่ยนเคปทาวน์ให้เป็นสนามการทดลอง ซึ่ง Home of Classics ได้แสดงให้เห็นว่าขอบเขตของความคิดสร้างสรรค์ถูกขยายกว้างออกไปอย่างไรเมื่อชุมชนมารวมตัวกัน ลิลเดร
หากพูดถึงเรือนเวลาที่บอกเล่าเรื่องราวสำคัญของ OMEGA แล้วล่ะก็ การหยิบ OMEGA Aqua Terra ขึ้นมาสวมใส่บนข้อมือ พร้อมพินิจพิเคราะห์ความงดงามกันอีกครั้ง ดูจะเป็นอะไรที่ถูกต้องที่สุดแล้ว หากใครไม่คุ้นเคยกับ OMEGA รุ่นนี้ เราขอพาไปเริ่มต้นเรื่องราวประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี 2002 กันก่อน ย้อนกลับไปในปี 2002 แบรนด์ OMEGA ได้เปิดตัว OMEGA Aqua Terra ต้องบอกว่าเพียงครั้งแรกที่ผู้คนได้เห็นเรือนเวลารุ่นนี้ก็สร้างความประหลาดใจและประทับใจให้คนทั่วโลกได้ทันที การเลือกดีไซน์เรือนเวลาที่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายในทุกอณู เพื่อตอบโจทย์การเป็น ‘Every Day Watch’ นาฬิกาที่ใส่ได้ทุกวันของทุกคน แต่ทว่า อีกโจทย์หนึ่งของ OMEGA คือคอนเซปต์สุดยิ่งใหญ่ของนาฬิการุ่นนี้ เพราะนี่คือเรือนเวลาที่จะเป็นหนึ่งในตัวแทนที่ดีที่สุดของซีรีส์ Seamaster หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ บอกเล่าการเป็นเรือนเวลาระดับตำนานที่สามารถใช้ดำน้ำได้รุ่นแรก ๆ ของโลกตั้งแต่ปี 1948 อันเป็นจิตวิญญาณสำคัญที่ขับเคลื่อนแบรนด์เสมอมา จากจุดเริ่มต้นกว่า 20 ปีที่แล้ว เวลาล่วงเลยผ่านมาพร้อม ๆ กับเข็มของ OMEGA ที่ไม่เคยหยุดพัฒนาความคิดสร้างสรรค์แม้สักวินาทีเดียว
Jim Thompson แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกของเมืองไทย เปิดตัวคอลเลกชัน Home Furnishings Spring Collections 2023 จาก 3 แบรนด์ดังในเครือทั้ง Jim Thompson, No.9 Thompson และ Fox Linton พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์สิ่งทอระดับหรูที่ตอบโจทย์การตกแต่งทุกรูปแบบ โดยเปิดตัวคอลเลกชันอย่างเป็นทางการ ณ โชว์รูมผ้าตกแต่งบ้านจิม ทอมป์สัน สาขาสุรวงศ์ ผ่านการตกแต่งห้องตัวอย่างสุดหรูทั้ง 11 สไตล์ ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของอินทีเรียร์ดีไซเนอร์ชื่อดังชาวไทย ดาว-วิชดา สีตกะลิน โดยไฮไลต์การตกแต่งห้อง 5 สไตล์ที่ห้ามพลาดในโชว์รูมจิม ทอมป์สัน สาขาสุรวงศ์ Wild Ember: สะดุดตาด้วยประกายแวววับของสีทอง บรอนซ์ และเหลืองมัสตาร์ดที่สว่างไสว ตัดกับผนังเหลือบเงาสไตล์ Metal Moiré ที่ถักทอด้วยเส้นไหมเงางามแบบเมทัลลิกสลับด้ายดำ ช่วยสร้างความลึกลับและน่าหลงใหลให้กับห้องนี้ พร้อมการตกแต่งอย่างหรูหราด้วยผ้าม่าน Railay สีทองมันวาวที่งามหรูในทุกรายละเอียด เสริมด้วยลวดลายสัตว์สไตล์ชนเผ่าที่สอดรับกับของประดับอย่างลงตัวทั้งกระจกเงาติดผนังหุ้มหนังลายจุดและโคมไฟตั้งโต๊ะที่สวยแปลกตาจาก Muse Design ช่วยเพิ่มบรรยากาศของการผจญภัยอันน่าตื่นใจให้กับห้องอันสง่างามแห่งนี้ Haute Hues:
เรือนเวลารุ่นล่าสุดจาก RM ที่หยิบเอาความหรูมาอยู่คู่กับความร็อกได้เท่ลงตัวสุด ๆ กับโมเดลใหม่รหัส RM 66 Flying Tourbillon ที่มีจำนวนจำกัดแค่ 50 เรือนทั่วโลก RM 66 Flying Tourbillon ตัวเรือนขนาด 42.70 x 49.94 x 16.15 mm. ผลิตจากวัสดุสุดแกร่ง Carbon TPT และ grade 5 titanium จุดเด่นของเรือนนี้ก็คือ มือกระดูกสีทองทำสัญลักษณ์ Rock n’ Roll คล้ายเขาของปีศาจกลางหน้าปัด ผลิตจาก 5N red-gold และฝีมือช่างระดับสูงในการเก็บรายละเอียดทั้งหมด และโชว์กลไก flying tourbillon ดีไซน์หัวกะโหลกด้านบนบริเวณ 12 นาฬิกา เป็นการแสดงออกถึงความขบฐของชาวร็อก เพราะปกติ flying tourbillon มักจะอยู่ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา เพิ่มความดิบอย่างมีสไตล์ด้วยลวดลาย Clou
“เมื่อพูดถึง Honda Monkey สิ่งแรกเราที่นึกถึงคือ ความสนุก ความซน ความน่ารัก แล้วก็นึกถึงดีไซน์ที่มีความ Iconic เป็นมินิไบค์ที่มาพร้อมงานออกแบบสุดคลาสสิก ซึ่งสร้างภาพจำได้อย่างชัดเจนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน” นี่คือคำตอบแรกจากปากของ ‘ปิ๊น–อนุพงศ์ คุตติกุล’ หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อ ‘ปิ๊น Carnival’ หลังจากที่เรามีโอกาสได้นั่งเสวนาถึงเรื่องราวของ Honda Monkey มินิไบค์ระดับ Iconic ลิงน้อยจิ๋วแต่จี๊ด ที่ครองใจผู้คนมาอย่างยาวนานร่วม 60 ปี ซึ่งหัวเรือใหญ่แบรนด์ Carnival ได้เล่าให้ฟังถึง Monkey รุ่นเด่นในดวงใจว่า จาก Monkey มากมายหลายรุ่นที่เคยสัมผัสและผ่านตามาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก เขาขอยกตำแหน่งหนึ่งเดียวคันนี้ให้กับ Monkey Baja Africa กับงานออกแบบที่แสบซ่าแตกต่าง และมันช่างตราตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ “จริง ๆ แล้ว Monkey ที่เราชอบนี่มีหลายรุ่นมาก ๆ เพราะแต่ละรุ่น แต่ละปี เค้าจะมีรุ่นใหม่ ๆ ดีไซน์ใหม่ ๆ รวมถึงรุ่นพิเศษ Limited Editon
สร้างสรรค์สไตล์ให้โดดเด่นและเป็นตัวเองด้วยนาฬิกาเรือนโปรดไปกับแบรนด์ “ทิสโซต์” (Tissot) ที่หลังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากการนำคอลเลกชั่น “พีอาร์เอ็กซ์” (PRX) ที่ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 1978 กลับมาสร้างสรรค์ใหม่อีกครั้งในขนาด 40 มม. เมื่อปี 2021 โดยล่าสุด “ทิสโซต์” (Tissot) ได้ประกาศเปิดตัวเรือนเวลาคอลเลกชั่นใหม่ที่ชื่อว่า “พีอาร์เอ็กซ์ 35 มม.” (PRX 35MM) กับการปรับขนาดนาฬิกาให้เล็กลงด้วยขนาด 35 มม. เพื่อตอบโจทย์หนุ่มสาวที่ต้องการความคล่องตัว แต่ยังคงไว้ซึ่งความเท่และกลิ่นอายของยุค 70s โดย “ทิสโซต์” (Tissot) ได้บอกเล่าจุดเด่นของคอลเลกชั่นนี้ผ่านการสร้างสรรค์ภาพยนตร์สั้นสะท้อนถึงวัฒนธรรมป๊อปคลาสสิกของกลุ่มวัยรุ่นในช่วงยุค 70s “ทิสโซต์” (Tissot) แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิส ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1853 ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นาฬิกาประสิทธิภาพสูงในดีไซน์ที่ความทันสมัยอย่างมีเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ได้การยอมรับในแวดวงกีฬา ในฐานะผู้ผลิตนาฬิกาที่มีเทคโนโลยีระบบจับเวลาด้านความเที่ยงตรงแม่นยำสูงสุด สำหรับภาพยนตร์สั้นจากคอลเลกชั่น “พีอาร์เอ็กซ์ 35 มม.” (PRX 35MM) ถูกถ่ายทอดเรื่องราวผ่านกลุ่มเพื่อนที่ทั้ง 5
ตรงกับช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองปีเถาะ หรือ The Year of the Rabbit ที่ใกล้จะมาถึง แฟรงค์ มุลเลอร์ (Franck Muller) และแบรนด์สตรีทแวร์จากโตเกียว #FR2 ได้จับมือกันเผยโฉมนาฬิกา #FR2NCK MULLER Vanguard ซึ่งนับเป็นความร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างสองแบรนด์ ทั้งยังเป็นโอกาสที่จะได้เห็น แฟรงค์ มุลเลอร์ นำภาษาการออกแบบอันโดดเด่นของ #FR2 มาใช้บนนาฬิกาเอกลักษณ์อย่าง แวงการ์ด (Vanguard) โดยผลลัพธ์แห่งความร่วมมือนี้คือเรือนเวลาอันล้ำนำแฟชั่นและทันสมัย ด้วยหน้าปัดที่ประดับตกแต่งลวดลายกระต่ายอันเป็นไอคอนิกตลอดกาลของ #FR2 ซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางตัวเลขรูปทรงสัญลักษณ์ และตัวเรือนทรงตอนโนของ แฟรงค์ มุลเลอร์ โดย #FR2NCK MULLER Vanguard นับเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาหรูของสวิส และสตรีทแฟชั่นของญี่ปุ่น จากการหลอมรวมองค์ประกอบต่างๆ ของแต่ละจักรวาล และเติมเต็มด้วยสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองนักสร้างสรรค์ ผลงานนี้จึงมีความโดดเด่นอย่างชัดเจนบนหน้าปัด ที่ซึ่งเผยความสวยงามอันล้ำสมัย แต่ยังคงความเหนือกาลเวลาของ แฟรงค์ มุลเลอร์ ที่สะท้อนผ่านอารมณ์สัมผัสแห่งสตรีทสไตล์ ประกอบด้วยฐานหน้าปัดสีขาวแบบด้านที่นับเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆ ซึ่งก่อร่างขึ้นกลายเป็นความสวยงามอันเป็นหัวใจ และเหนือขึ้นไปนั้นยังบรรจุไว้ด้วยเข็มชี้บอกเวลา มาร์กเกอร์ และเครื่องหมายขีดแบบนำมาติดที่เป็นสีดำ ด้วยลุคสไตล์โมโนโครมที่ตัดกันอย่างชัดเจนยังได้มอบซึ่งความสมบูรณ์ลงตัวจากการเล่น
งดงามสมการรอคอย! เมื่อ “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ประกาศเปิดตัวเรือนเวลาหรูรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น “คอมมานเดอร์” (Commander) นาฬิกาเรือนสุดท้ายที่เหล่านักสะสมต่างรอคอยจากคอลเลกชั่น “ทเวนตี้ เยียร์ส อินสไปร์ บาย อาคิเทคเจอร์” (20Years Inspired By Architecture) ซึ่งเป็นการออกแบบนาฬิการุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น เพื่อเป็นการรำลึกถึงสุดยอดสถาปัตยกรรมชื่อก้องโลกที่ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบนาฬิกาของแบรนด์ “มิโด”(MIDO) ในตลอด 20 ปีที่ผ่านมา “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (GEORGES SCHAEREN) เริ่มก่อตั้งบริษัท MIDO G.SCHAEREN & CO. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน
แฟรงค์ มุลเลอร์ (Franck Muller) ร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปีของ คอร์ติน่า วอทช์ (Cortina Watch) ที่ได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงสูงสุดแห่งวงการการค้าปลีกนาฬิกาของสิงคโปร์ด้วยซีรีส์ผลงานเรือนเวลาเฉลิมฉลองสุดพิเศษที่รังสรรค์ขึ้นเฉพาะเพียงหนึ่งเดียว โดยผู้ผลิตที่ได้รับการขนามนามว่า มาสเตอร์ ออฟ คอมพลิเคชันส (Master of Complications) รายนี้ ได้เผยโฉมคอลเลกชันอันวิจิตรประณีตของการรังสรรค์เรือนเวลาเฉพาะหนึ่งเดียว (pièce unique) ขึ้นใหม่ทั้งหมดห้าผลงานจากแนวคิดของนาฬิกาสลับซับซ้อนรุ่น เรโวลูชัน 3 สเกเลตัน (Revolution 3 Skeleton) ของ แฟรงค์ มุลเลอร์ ที่นำมาสร้างสรรค์ขึ้นพิเศษ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปี (Golden Jubilee) ของ คอร์ติน่า วอทช์ ในปีนี้ นาฬิกา เรโวลูชัน 3 สเกเลตัน ทั้งห้ารุ่นผลงานเอกลักษณ์ ที่ล้วนรังสรรค์ขึ้นด้วยมืออย่างพิถีพิถันละเอียดอ่อนโดยเหล่าศิลปินช่างระดับมาสเตอร์ ณ โรงงานการผลิต วอทช์แลนด์ (Watchland) ในเจนีวา ซึ่งแต่ละผลงานนั้นได้ร่วมรำลึกถึงมรดกแห่งสัมพันธภาพอันแน่นแฟ้นระหว่าง
“หลายคนอาจมองว่าเราเป็นคนทำงาน Street Art ที่ประสบความสำเร็จ แต่พูดตรง ๆ คือ เราไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงจุดนั้นหรือเปล่า แค่รู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาส ได้รับโอกาสอะไรมา เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด งานมันต้องพัฒนาเรื่อย ๆ เราอยากรู้สึกตื่นเต้นกับงานที่ทำ ณ ปัจจุบันให้มากที่สุด อยากรู้สึกเหมือนตอนทำงานกำแพงแรก ที่เราผ่านอะไรมามากมายจนสุดท้ายก็ทำสำเร็จ เราว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลย” Quote ข้างต้นคือมุมมองการสร้างงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วย Passion จากปากของชายที่เรา และใครอีกหลายคนทั้งในไทยรวมถึงต่างประเทศ ต่างให้การยอมรับว่าเขาคือหนึ่งในศิลปินเบอร์ต้น ๆ ที่นำพาผลงาน Street Art ไทย ให้ดังไกลถึงต่างแดน แม้เจ้าตัวจะไม่มั่นใจว่าได้เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางของความสำเร็จแล้วหรือยัง แต่เชื่อว่าผลงานมากมายของ ‘รักกิจ สถาพรวจนา’ หรือ ที่หลายคนรู้จักในชื่อ RUKKIT น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว จากจุดเริ่มต้นของเด็กชายธรรมดาที่มีใจรักในการวาดรูป แต่การคว้ารางวัลประกวดวาดภาพระดับอนุบาลมาครอง กลับกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้เด็กชายรักกิจ มุ่งมั่นในเส้นทางศิลปะต่อเนื่องและเริ่มต้นทำงานประจำในสาขากราฟิกดีไซน์เนอร์ จนกระทั่งสิ่งที่เรียกว่า “โอกาส” ที่ถูกหยิบยื่นให้ได้เปิดเส้นทางใหม่ให้ผู้ชายคนนี้ได้รู้จักกับงาน Street Art และใช้ชีวิตกับศิลปะแขนงนี้มาจนถึงปัจจุบัน “หลังจากจบมหาวิทยาลัยก็ไปทำงานกราฟิกดีไซน์ก่อน จากนั้นมีรุ่นพี่ชวนไปทำงาน Street Art เป็นงานพ่นกำแพงที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ (BACC) เริ่มทำครั้งแรกก็รู้สึกชอบเลย