AUDEMARS PIGUET Royal Oak Jumbo A-Series เรือนเวลาที่กล้าท้าทายบรรทัดฐาน กล้าเปลี่ยนภาพจำของคำว่า “Luxury” ผลงานที่รังสรรค์โดย Gerald Genta ภายในเวลาเพียงข้ามคืน ย้อนกลับไปในปี 1972 โลกแห่ง Haute Horlogerie ยังตกอยู่ในความสงบนิ่ง นาฬิกาหรูหมายถึงตัวเรือนทองคำ หน้าปัดบางเรียบ สายหนังคลาสสิก เป็นสุนทรียะแบบเก่าแก่ที่ใครก็ไม่กล้าทำลาย จนกระทั่ง Audemars Piguet แบรนด์อิสระจาก Le Brassus ที่กำลังถูกคลื่นควอตซ์จากญี่ปุ่นไล่ล่า โทรหา Gerald Genta ด้วยคำสั่งด่วนที่สุดในชีวิต “ออกแบบนาฬิกาสปอร์ตที่ไม่เหมือนใคร ภายในเช้าวันรุ่งขึ้น” Genta ไม่เพียงแต่ทำทัน แต่สิ่งที่เขาส่งมาคือการปฏิวัติวงการครั้งใหญ่ เขาวาดนาฬิกาเหล็กที่กล้าตีราคาสูงกว่านาฬิกาทอง วางโครงสร้างของ bezel ทรง octagon พร้อมสกรูโชว์หัว สาย integrated steel ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และหน้าปัดที่แต่งแต้มด้วยลวดลาย petite tapisserie จากโรงงานที่ใช้วิธีฝังลายด้วยเครื่องจักร guilloche แบบโบราณ
ในโลกที่ Submariner กลายเป็นนาฬิกาหรูสำหรับนักสะสม ใครจะรู้ว่ายุคหนึ่ง Rolex Submariner ถูกสร้างขึ้นเพื่อใส่ใน ‘สงคราม’ สำหรับปฏิบัติการใต้น้ำของทหารอังกฤษจริง ๆ นั่นคือ Rolex Submariner 5513 “MilSub” อีกหนึ่งสุดยอดแห่งความแรร์สำหรับนักสะสมตัวจริง ในช่วงปี 1957 ถึงปลายยุค ‘70s รัฐบาลอังกฤษ โดย Ministry of Defence (MOD) ต้องการนาฬิกาดำน้ำคุณภาพสูงสำหรับหน่วยรบพิเศษ Royal Navy จึงสั่งให้ Rolex ผลิต Submariner ที่ผ่านการดัดแปลงเฉพาะกิจขึ้นมา นาฬิกาเหล่านี้ไม่ได้มีไว้ขาย ไม่เคยอยู่ในแค็ตตาล็อกทั่วไป มันถูกส่งตรงจาก Rolex ไปยัง MOD เท่านั้น โดยมีทั้งหมด 4 รุ่น แต่ที่โด่งดังที่สุดก็คือ Ref. 5513 เรือนนี้ และตามเอกสารยังระบุว่าเป็น standard equipment สำหรับทหารเรืออีกด้วย FUNCTION BEFORE FORM
บนหน้าปัดดำสนิทของนาฬิกาดำน้ำที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเท่เหนือยุคสมัย มีตัวอักษรสีแดงเพียงหนึ่งบรรทัด ที่บอกชัดเจนว่าเรือนเวลานี้ไม่เหมือนใครในโลก มันเขียนว่า “SUBMARINER” และเพียงแค่โลโก้สีแดงหนึ่งบรรทัด… ก็สามารถสร้างตำนานให้เรือนเวลาได้ Rolex เปิดตัว Submariner Ref. 1680 ในปี 1967 Submariner รุ่นแรกที่เพิ่ม ฟังก์ชันวันที่ พร้อมเลนส์ Cyclops และที่สำคัญที่สุดคือ รุ่นพิเศษที่โลกจดจำในชื่อว่า “Red Sub” มันไม่ใช่แค่ Submariner ธรรมดาที่ใส่ตัวหนังสือแดง แต่มันคือสัญลักษณ์ของ ช่วงเปลี่ยนผ่านทางเทคนิคและดีไซน์ ของ Rolex ที่สำคัญมาก เป็น Submariner รุ่นเดียวที่เคยใช้ตัวอักษรแดง เป็น Submariner รุ่นแรกที่มีวันที่พร้อมเลนส์ Cyclops (Sea-Dweller เป็น Dive watch รุ่นแรกที่มี date window แต่ไม่มี Cyclops) เป็น Submariner Date รุ่นเดียวที่ใช้กระจก Acrylic box-shaped พร้อม Cyclops
ย้อนกลับไป 25 ปีก่อน CHANEL สร้างคลื่นลูกใหม่ในวงการเรือนเวลาด้วย J12 สีดำเซรามิก ความสปอร์ตที่พกดีเอ็นเอแฟชั่นเต็มขั้น วัสดุไฮเทคอย่างเซรามิกที่เคยถูกมองเป็นแค่ของทนทาน กลายเป็นวัสดุล้ำค่าขึ้นมาได้อย่างมีคลาสในมือของ CHANEL และในปี 2025 นี้ J12 ยังคงกลายพันธุ์ได้อย่างสง่างาม กับการเปิดตัว J12 BLEU รุ่นลิมิเต็ดที่มาพร้อมกับเฉดสีใหม่ที่ CHANEL ใช้เวลากว่า 5 ปีพัฒนา — “น้ำเงินจนเกือบดำ ดำจนเกือบน้ำเงิน” เฉดสีที่พูดน้อยแต่ทรงพลัง เป็นสีของคนที่ไม่ต้องการเสียงดังเพื่อให้ใครมองเห็น ตัวเรือนขนาด 38 มม. รังสรรค์จากเซรามิกแมตต์สีน้ำเงินผสมเหล็กเคลือบดำด้าน จับคู่กับสายเซรามิกโทนเดียวกัน ให้สัมผัสเบา นุ่ม เย็น ลื่นอย่างประณีต เป็นวัสดุที่ไม่ได้แค่หรู แต่ให้ประสบการณ์สัมผัสที่เหนือชั้นทุกครั้งที่สวมใส่ ขอบตัวเรือน (bezel) ลาย baguette-cut ถูกฝังลงบนเซรามิกแมตต์ได้อย่างกลมกลืน เม็ดมะยม screw-down ฝังหัวด้วยเซรามิกสีน้ำเงิน พร้อม crown guard กันกระแทกเนียนตา รองรับการกันน้ำลึกถึง 200 เมตร
ในโลกของ Panerai ทุกครั้งที่แบรนด์นี้ขยับ มักไม่ใช่แค่เรื่อง “เวลา” แต่มันคือการเล่าเรื่องของตัวตนที่ไม่เหมือนใคร — และที่ Watches & Wonders ปีนี้ PAM01575 ก็เดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ แต่เปล่งรัศมีบางอย่างที่ทำให้คนรักกลไกหยุดมอง นี่คือ Panerai Luminor Perpetual Calendar GMT Platinumtech PAM01575 ภาคต่อของ PAM01269 รุ่น Goldtech สุดเอ็กซ์คลูซีฟเมื่อปี 2022 ที่ออกมาเพียง 33 เรือนทั่วโลก — ครั้งนั้นมันเปิดเกมด้วยหน้าปัด smoked sapphire ที่โปร่งใสจนเผยให้เห็นจักรกลใต้ผิวเรือนเวลาได้อย่างเร้าใจ ขณะเดียวกันก็ยังคง DNA ของ Panerai ไว้อย่างครบถ้วน PAM01575 หยิบแนวคิดเดียวกันกลับมาอีกครั้ง แต่แทนที่จะแต่งทอง ก็เปลี่ยนวัสดุหลักมาเป็น Platinumtech — โลหะผสมเฉพาะของ Panerai ที่ถูกพัฒนาให้แข็งแกร่งกว่าแพลตตินั่มปกติถึง 40% ด้วยกระบวนการบ่มพิเศษภายในแบรนด์เอง ส่งผลให้ตัวเรือนขนาด
หากโลกนี้ความบางคือความสง่างาม ความแม่นยำคือบทกวี และ Tourbillon คือบทสุดท้ายของตำนาน… Bulgari ได้เขียนบทนี้ใหม่อีกครั้ง ด้วย Bulgari Octo Finissimo Ultra Tourbillon – ผู้สร้างสถิตินาฬิกาบางที่สุดในโลกถึง 10 ครั้งในทศวรรษเดียว ย้ำสถานะราชาแห่งความบางของวงการ haute horlogerie อย่างแท้จริง Octo Finissimo Ultra Tourbillon มาพร้อมตัวเรือนไทเทเนียมขนาด 40mm x 1.85mm ที่หล่อขึ้นพร้อมกับฐานกลไกเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง ด้วยวัสดุ ultra-hard tungsten carbide mainplate/caseback แข็งแรงและบางในเวลาเดียวกัน กลไก BVF 900 ที่จาก BVL 180 ของ Octo Finissimo Ultra COSC 2024 พัฒนาร่วมกับ movement specialist Concepto ทำลายขีดจำกัดของคำว่า ultra-thin ทุกฟังก์ชันต้องอยู่บนระนาบเดียวกัน
ย้อนกลับไปแค่สองปีก่อน Rolex เคยทำให้โลกต้องตั้งคำถามกับ “Destro” หรือ GMT-Master II ที่ถูกออกแบบให้คนถนัดซ้ายใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการย้ายเม็ดมะยม วันที่ และ Cyclops ไปอยู่ฝั่งซ้ายทั้งหมด ในตอนนั้นหลายคนว่าแปลก บางคนว่าท้าทาย วันนี้ Rolex กลับมาเล่าเรื่องนั้นอีกครั้ง — แต่ในโทนที่หรูหรากว่า หนักแน่นกว่า และเขียวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย นี่คือ GMT-Master II Ref. 126729VTNR ในเวอร์ชั่น ทองคำขาว พร้อมหน้าปัด “เซรามิกเขียว” Cerachrom รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ถ้าคุณเป็นคนที่คุ้นชินกับ Rolex แบบเดิม คุณอาจคิดว่ามันแค่เปลี่ยนสี เปลี่ยนวัสดุ แล้วขายใหม่ในราคาที่แพงขึ้น แต่ในความจริง มันมีอะไรมากกว่านั้น โดยเฉพาะ “เนื้อของหน้าปัด” ที่ไม่ได้ใช้การพ่นสีแบบ lacquer เหมือนที่ผ่านมา แต่ใช้วัสดุ Cerachrom (เซรามิกชนิดพิเศษที่แบรนด์พัฒนาขึ้นเอง) ที่ต้องใช้ฝีมือและการควบคุมเฉดสีอย่างแม่นยำ และในรุ่นนี้ Rolex จงใจเลือกสีเขียวให้แมตช์กับขอบหน้าปัดครึ่งล่างได้อย่างแนบเนียน ซึ่งถือว่า rare
ในโลกที่นาฬิกาจักรกลถูกนิยามด้วยคำว่า “คลาสสิก” Rolex กลับเลือกจะเขียนคำว่า “อนาคต” ให้ชัดขึ้นกว่าที่เคย และ Land-Dweller คือการประกาศทิศทางใหม่ของแบรนด์ที่ไม่ต้องประกาศ แต่เริ่มจากกลไกที่เดินอยู่เงียบ ๆ ใต้หน้าปัด ชื่อ Land-Dweller ถูกจดทะเบียนตั้งแต่กลางปี 2023 การกลับมาอีกครั้งของแนวทางการออกแบบ ตัวเรือนแบบ integrated Flat Jubilee bracelet รื้อฟื้นภาพจำของยุค Oysterquartz ดีไซน์จาก Datejust ref. 1530 ในปี 1975 เป็นแกนกลางในการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยตัวเรือนทรง barrel เปิดตัวพร้อมกันถึง 10 references โดยมีทั้งตัวเรือน steel, Everose gold และ platinum ในขนาด 36mm และ 40mm บางเพียง 9.7mm กับหน้าปัด honeycomb ลายรังผึ้ง ประกบด้วยกระจก sapphire ทั้งหน้าและหลัง —
Collaboration ครั้งสำคัญที่ชาวสตรีทแวร์ทุกคนห้ามพลาด JAMESON X Awake NY Capsule Collection ที่ Jameson จับมือกับ Awake NY สตรีทแวร์แบรนด์สุดเก๋าที่ขับเคลื่อนวงการสตรีทแฟชั่นทั่วโลกด้วยจิตวิญญาณของมหานครนิวยอร์ก Jameson X Awake NY Collection เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ Jameson Distilled Sounds แพลตฟอร์มดนตรีระดับโลกที่สร้างขึ้นเพื่อ connects ผู้คนผ่านดนตรี ซึ่ง Awake NY ได้นำวัฒนธรรมดนตรีของ Jameson มาตีความและถ่ายทอดผ่าน 5-piece Streewear collection เฉลิมฉลองจิตวิญญาณแห่งการทำงานร่วมกันของชุมชนดนตรีทั่วโลก ประกอบไปด้วย Cap, Jersey, T-Shirt, Track Jacket และ Hoodie โดยมีไฮไลต์ที่เสื้อยืด “Jameson x Awake NY T-Shirt “ ดีไซน์โลโก้ Distilled Sounds กลางหลัง
เพราะคำว่า Classic ไม่ได้แปลว่าเก่า แต่คือความเก๋าที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นสะท้อนตัวตนที่ชัดเจนจากอดีตสู่ปัจจุบัน ทั้งหมดนี้คือคำนิยามที่เราขอมอบให้กับนาฬิกา Orient Bambino Classic Collection ล่าสุด ที่ยังคงสะท้อนภาพงานดีไซน์สุดคลาสสิกของแบรนด์ Orient ออกมาได้อย่างร่วมสมัยไม่ตกยุค เป็นไอเทมที่พร้อมเติมเต็ม Total Look ให้กับทุกสไตล์แบบไร้ข้อจำกัด ด้วยหน้าปัด 2 ดีไซน์ ทั้งหน้าปัดคลาสสิก และหน้าปัด Sun & Moon รวมถึงสีสันที่มีให้เลือกแมทช์กับการแต่งตัวได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าปัดสีเขียว, สีน้ำเงินกรมท่า และสีแดงบอร์โดซ์ ที่ใช้เทคนิคการตกแต่งแบบซันเบิร์สต์ถ่ายทอดมิติแสงเงาที่ตกกระทบออกมาได้อย่างสวยงาม นอกจากนี้สำหรับรุ่นคลาสสิกยังมีหน้าปัดสีเบจเรียบหรูที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในคอลเลกชั่นนี้ พร้อมไฮไลต์สำคัญอย่างรุ่นพิเศษเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี สุด Limited ที่เต็มไปด้วยความโดดเด่นด้านงานดีไซน์ในแบบฉบับของนาฬิกา Orient ซีรีส์ยอดนิยมอย่าง “Classic and Simply Style” ผสานอยู่ในทุกรายละเอียด ทั้งหน้าปัดโค้ง และกระจกทรงโดมแบบคลาสสิกดั้งเดิม รวมไปถึงดีไซน์ตัวเรือนที่ละเอียดอ่อนพร้อมขาตัวเรือนที่เพรียวบาง สวมใส่ได้ทั้งชายและหญิง ยกระดับความเป็นเครื่องบอกเวลาสู่แฟชั่นไอเทมที่ลงตัวกับทุกสไตล์ และแน่นอนว่า Orient Bambino
ในยุคที่เทคโนโลยีและสไตล์ต้องมาพร้อมกัน เวสป้าพร้อมที่จะนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับด้วย Vespa Sprint Tech 150 i-Get ABS ยานพาหนะที่ผสานความคลาสสิกเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์ที่โดดเด่นในด้านการดีไซน์ เวสป้าไม่เคยหยุดที่จะพัฒนา Vespa Sprint Tech รุ่นใหม่นี้จึงเป็นการผสานเทคโนโลยีเข้ากับความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของเวสป้าดีไซน์ที่สะกดทุกสายตา ดีไซน์ที่สะกดทุกสายตา โฉมใหม่ของ Vespa Sprint Tech 150 i-Get ABS มาพร้อมการผสมผสานสีที่สื่อถึงความทันสมัย ด้วยโทนสีดำ Black Convinto (Matt) สีเทา Grey Entusiasta และจุดเด่นด้วยสีเขียวฟลูออเรสเซนต์ที่เพิ่มความมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ส่วนไฟ LED ดีไซน์ใหม่บนแผ่นบังโคลนทั้งสองข้างไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังสร้างความโดดเด่นในทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการกดปุ่ม “ค้นหารถ” หรือขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ หน้าจอ TFT ก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วยหน้าจอ TFT ขนาด 5 นิ้ว ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในทุกสภาวะ ด้วยการแสดงผลสีคมชัดทั้งในโหมดกลางวันและกลางคืน พร้อมฟังก์ชันอัจฉริยะที่ช่วยให้การเดินทางของคุณสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยเเชื่อมต่อกับ Vespa MIA** และ Vespa
เพราะว่าโตมากับหนังของ Adrien Brody ก็เลยดีใจมาก ๆ กับออสการ์ตัวที่ 2 ของเขาใน The Brutalist หลังจากที่ได้ครั้งสุดท้ายย้อนกลับไปไกลถึง 2003 พร้อมบันทึกประวัติศาสตร์เป็นนักแสดงชายอายุน้อยที่สุดที่ได้ Best Actor (อายุแค่ 29) จาก The Pianist ปรบมือ ! หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ นอกจากเป็นนักแสดงฮอลลิวูดแล้ว เอเดรียนยังเป็น Watch Collector ตัวยง คอลเลกชั่นส่วนตัวของเขามีทั้งนาฬิกา High-End ดีไซน์สุดประณีต ไปจนถึงนาฬิกาคลาสสิก โพสต์นี้ UNLOCKMEN ก็เลยมารวมคอลเลกชั่นนาฬิกาที่น่าสนใจของหนุ่มนิวยอร์กเกอร์วัย 51 ที่เขาให้คำนิยามความชอบนาฬิกาของตัวเองเอาไว้ว่า “I Like Really Masculine Watches.” รหัส 5539G-010 หรูหราด้วยการเป็นนาฬิกาที่ทำขึ้นจากทองคำขาว 18ct White Gold สำหรับผู้ชาย ตัวเรือนไซส์ 37mm นับว่าเป็นขนาดที่ไม่ได้กระทัดรัดหรือเทอะทะจนเกินไป หน้าปัดสีน้ำเงินมากับหลักเวลา