Life

Christopher Nolan พ่อมดคนใหม่แห่งวงการหนัง Hollywood

By: Thada November 2, 2015

หลังจากเว็บไซต์จัดเรต และรวบรวมข้อมูลภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง IMDb ได้จัดอันดับหนังยอดเยี่ยมในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา เชื่อหรือไม่ มีผู้กำกับคนนึงที่สามารถนำหนังเข้าไปอยู่ในลิสได้ถึง 5 เรื่องจากทั้งหมด 25 เรื่องซึ่งถือว่ามากที่สุด และเค้าคนนั้นก็ไม่ใช่ใคร เขาคือ Christopher Nolan พ่อมดคนใหม่ของวงการ Hollywood

151102-Nolan-11

เรื่องชื่อเสียง และชั้นเชิงในการทำหนังของ Nolan คงไม่ต้องบรรยายใดๆอีกแล้ว เพราะเหมือนว่าชื่อของเขา จะเป็นใบรับประกันคุณภาพชั้นดีว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ห่วยอย่างแน่นอน เพราะผลงานที่ผ่านๆมาก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วถึงความอัจฉริยะของเขา จนทำให้มีแฟนคลับชาวไทยมากมายเสนอตัวเป็นติ่ง Nolan

วันนี้เราจะขอมาเล่าประวัติ และวิธีคิดในการสร้างสรรค์ผลงานของ Nolan ให้ชาว Unlockmen ว่าเขามีความคิดอย่างไรถึงได้ผลิตผลงานที่เรียกได้ว่าเป็น Masterpiece ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง

Christopher Nolan เกิดวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 1970 โดยพ่อเป็นชาวอังกฤษ มีอาชีพเป็น Advertising Copywriter แม่เป็นชาวอเมริกัน ทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ดังนั้นเลยทำให้เขาเป็นคนสองสัญชาตินั้นคือ อเมริกัน อังกฤษ Nolan มีน้องชายที่มักจะร่วมงานกันอยู่เสมอๆ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นนักเขียนบทภาพยนตร์หลักเสมอ ชื่อ Jonathan Nolan

151102-Nolan-8

Christopher Nolan และน้องชายของเขา Jonathan Nolan

Nolan ใช้ชีวิตในวัยเด็กของเขาทั้งใน London และ Chicago Nolan ค้นพบว่าเขามีความสนใจทาง พฤกษศาสตร์ และหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาผ่านกล้องจุลทรรศน์ แต่สิ่งที่ทำให้ Nolan หันมาสนใจเรื่องภาพยนตร์ และถ่ายภาพคือเมื่อตอนเขาอายุได้ 7 ขวบ โดยเขาไปเจอกล้องขนาด 8 มม. ของพ่อของเขา เลยทำให้ Nolan เริ่มถ่ายหนังเล่นเองตั้งแต่ตอนนั้น

เขาเข้ารับการศึกษาที่ Haileybury And Imperial Service College,โรงเรียนเอกชนที่ Hertford Heath ที่ Hertford อังกฤษ และเรียนต่อที่ University College London ขณะที่ศึกษาอยู่เขาได้ทำหนังสั้นเรื่องแรกคือ Tarantella ในปี 1989 และหนังสั้นเรื่อง Laceny ฉายที่ Cambridge Film Fastival ในปี 1996 และหนังสั้นความยาว 3 นาทีเรื่อง Doodlebug ซึ่งเป็นหนังแบบ Surreal

สำหรับหนังภาพยนตร์เรื่องแรกของ Nolan คือเรื่อง Following ในปี 1996 ซึ่งเขาสร้างมันร่วมกับเพื่อนในชมรมภาพยนตร์ของ University of London โดยใช้งบไปเพียง $6,000 โดยหนังได้รับกระแสการตอบรับที่ดีสำหรับหนังอินดี้

151102-Nolan-14

ทำให้ชื่อเสียงของ Nolan เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะในหนังมีการนำเสนอเรื่องโดยใช้การตัดสลับฉากไปมาระหว่างเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่กับเหตุการณ์ก่อนนั้น ซึ่งการเล่าเรื่องแบบนี้เรียกได้ว่าเป็น Signature ของตัวเขาเองไปแล้ว

จากความสำเร็จนั้นเองทำให้ Newmarket Films เสนอโอกาสให้เขากำกับหนังใน scale ที่ใหญ่ขึ้นโดยเขานำเรื่องสั้นที่ชื่อว่า Memento Mori ที่แต่งโดย Jonathan น้องชายของเขาเองมาพัตนาจนเป็นหนังเรื่อง Memento ในปี 2000 โดยหนังเรื่องนี้มีพล๊อตเรื่องที่แสนจะธรรมดา แต่ด้วยวิธีการนำเสนอ และเล่าเรื่องสุดบรรเจิดของเขา ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับความชื่นชมในทางบวกอย่างมาก ส่งผลให้หนังเรื่องนี้ได้เข้าชิงทั้งรางวัลลูกโลกทองคำ และออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

151102-Nolan-12

หลังจากนั้นเหมือนกราฟชีวิตของ Nolan จะพุ่งขึ้นเรื่อยๆโดยในปี 2002 เขากลับมากับหนังเรื่อง Insomnia ซึ่งได้นักแสดงแถวหน้าอย่าง Al Pacino และ Robin William มาร่วมแสดงซึ่งก็ได้รับเสียงวิจารณ์ไปในเชิงบวกอีกเช่นเคย

Nolan มีความใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากกำกับหนังระดับบ๊อกซ์ ออฟฟิศ แต่กระนั้นเขาก็ต้องเก็บสะสมประสบการณ์ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนายทุนให้ได้ก่อนจะพร้อมเสี่ยงกับผู้กำกับหน้าใหม่อย่างเขา และเหมือนเวลานั้นก็มาถึงเมื่อเขาสามารถดึงตัว David S. Goyer คนเขียนบทแนวหน้าของ Hollywood มาร่วมงานได้จึงทำให้ Warner Bros. อนุมัติโปรเจค Batman Series ให้กับ Nolan เป็นผู้กำกับ

151102-Nolan-2

โดย Nolan จับ Batman มาปัดฝุ่นใหม่ทั้งหมดด้วยการเพิ่มโทนมืดหม่น ตัวละครที่สมจริงน่าเชื่อถือ ซึ่งต่างจาก Superheroes เดิมๆที่จะเน้นไปทาง Fantasy จนได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก โดยที่คนส่วนใหญ่เทใจให้ว่าเป็นหนัง Superheroes ที่ดีสุดที่เคยมีมา

151102-Nolan-6

จากรายรับรวมบวกกับเสียงวิจารณ์ Warner Bros. ก็ไม่รอช้าต่อสัญญากับ Nolan ดังนั้นเขาจึงมีโอกาสได้กำกับหนังจากบทที่เขาพัฒนากับน้องเขาใน scale ระดับบ๊อกซ์ออฟฟิศ จึงทำให้เกิดผลงานที่พิสูจน์ว่า Nolan คือผู้กำกับแนวหน้าของวงการ Hollywood ในยุคปัจจุบัน เช่น The Prestige , Inception และ Interstellar

151102-Nolan-4

จากความสำเร็จทั้งหมดของ Nolan ทำให้เว็บไซต์Screenrant สรุปปัจจัยสำคัญของความสำเร็จของเขามาดังนี้

เขาให้ความสำคัญกับเรื่องการตัดต่อ

151102-Nolan-15

เพราะการตัดต่อคือหัวใจหลักในการกำหนดทิศทางของหนังว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี และดูเหมือน Nolan จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น เพราะหนังหลายๆเรื่องของเขามักได้รับคำชมเรื่องเทคนิคการตัดต่ออยู่เสมอ โดยเทคนิคของเขาอย่างเช่นในเรื่อง Memento ที่เล่าเรื่องสลับไปสลับมาหน้าหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก และซับซ้อน และมีโอกาสที่จะพังได้ง่ายๆ แต่ผลงานของเขาก็ออกมาได้ประณีตอย่างไม่มีที่ติ และกลายเป็นวิถีการเล่าเรื่องที่ล้ำสมัยจนเป็นต้นแบบให้ใครหลายๆคนในปัจจุบันนี้

เขาใช้มันสมองในการทำหนัง 

151102-Nolan-13

Christopher Nolan ไม่เคยกำกับหนังโดยปราศจากข้อมูล เขาค้นคว้าข้อมูลอย่างหนักเพื่อรากฐานที่สมจริงของหนัง โดยเขา และน้องชายใช้เวลาอย่างมากเพื่อพัฒนาบท และกว่าจะเป็นบทที่สมบูรณ์แบบบางทีเขาใช้เวลาถึงสองปีกว่าจะสำเร็จออกมา อย่างตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง Interstellar หนังที่ยัดรวมทฤษฎีวิทยาศาสตร์แบบเจาะลึก จนทำให้คนดูถึงกับอึ้งละงงกับทฎษฎีเหล่านั้น แต่ด้วยความสนุกของหนัง และปมให้คิดต่อต่างๆ ทำให้คนดูต้องกับมาค้นคว้าเพราะอาจไม่รู้ที่มาที่ไป และเหตุผลของเรื่องราวเหล่านั้น

หนังของเขามักเต็มไปด้วยปริศนา 

151102-Nolan-7

เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Nolan อีกหนึ่งอย่างตลอดระยะเวลาการเป็นผู้กำกับของเขาคือ หนังของเขาจะเต็มไปด้วยปริศนาหรือจะมีเซอรไพรส์ให้คนดูลุ้นตลอดเวลา และถ้าเกิดไม่เฉลยแบบหักมุม ก็จะเล่าโดยการเปิดเผยความลับทีละนิดให้คนดูได้ลุ้นตามตลอดทั้งเรื่องเปรียบเสมือนกำลังอยู่ในเหตุการณ์จริงร่วมกับตัวละคร

เขาคือเจ้าพ่อทฤษฎี 

151102-Nolan-16

 

หนังส่วนใหญ่อาจจะจบโดยการให้แง่คิดหรือแรงบันดาลใจให้คนเรียนรู้ และเอาไปใช้ในการดำเนินชีวิต แต่กับ Nolan แล้วไม่ใช่ เขามักทิ้งปริศนาและทฤษฎีอันใหญ่หลวงให้คนดูไปคิดต่อ และก็เคยเกิดเป็นกระแสตามเว็บบอร์ดให้ชาวเน็ตได้ถกเถียง เพราะการที่เขาไม่ได้เฉลยทำให้คนสามารถไปคิดต่อยังไงก็ได้ เช่นเรื่อง Inception ตกลงแล้วฉากลูกข่างตอนจบนั้นหมายถึงเหตุการณ์ไหนกันแน่

 คิดการใหญ่เสมอ 

151102-Nolan-3

Christopher Nolan นั้นมีหลักในการทำหนังออกมาในสไตล์ของตัวเอง คือ การสร้างเอฟเฟกต์ และฉากที่ใหญ่โตอลังการ เขานำเสนอการถ่ายโดยใช้กล้องคุณภาพสูงสุดเทพในการถ่ายทำ เพื่อให้ได้ภาพที่สมจริงและมโหฬาร โดยเขาใช้เทคโนโลยี Imax ในการถ่ายทำหนังของเขา ซึ่งเรียกความสนใจจากผู้ชมได้อย่างมาก

151102-Nolan-1

ทั้งหมดนี้ก็คือประวัติ และหลักการความสำเร็จของ Christopher Nolan โดยจะเห็นได้ว่าเขาเป็นคนที่ทำงานโดยมองถึงสภาวะความเป็นจริง และศักยภาพของตัวเอง ความสำเร็จของเขาไม่ได้มาอย่างเปรี้ยงปร้างทีเดียว เขาค่อยๆสะสมประสบการณ์ จากหนัง Scale เล็กมาจนถึง Scale ใหญ่ๆ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือเขาไม่เคยทิ้งเอกลักษณ์ และ Signature ของตัวเขาจึงทำให้เวลาคนเข้าไปดูหนังถึงไม่บอกว่าเป็นหนังของเขา แต่พอดูจบก็สามารถเดาได้ไม่ยากว่าเป็นหนังของเขา

ดังนั้นหากจะบอก Christopher Nolan คือพ่อมดคนใหม่ต่อจาก Steven Spielberg ก็คงจะไม่เกินจริงเกินไปอีกแล้ว

Source Screenrant

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line