Style

ชื่อรุ่นนี้…ได้แต่ใดมา! เผยที่มาของชื่อ 7 Sneakers ดังให้หายสงสัยว่าเพราะอะไร และใครที่เป็นคนตั้ง

By: HYENA March 13, 2016

สำหรับคนส่วนใหญ่ เมื่อได้ Sneakers คู่ใหม่ที่กว่าจะเก็บเงินซื้อมาได้ทั้งที มันก็ต้องมีอาการเห่อของใหม่กันเป็นธรรมดา เรียกได้ว่าพอกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ ก็คว้ารองเท้าออกมาจากกล่องแทบจะทันที เอามาลองใส่เดินไปเดินมาอยู่ในบ้านกันเลยก็มี แต่มีสิ่งนึงที่ขา Sneakers ทั้งหลายน่าจะอยากรู้ นั่นก็คือ ชื่อของรุ่น ต่างๆ ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร ใครกันที่เป็นคิดชื่อเท่ๆ ให้กับรองเท้าพวกนี้ แต่ก็ลืมที่จะไปค้นหาที่มาของชื่อพวกนี้ไปซะสนิท ในความเป็นจริงแล้ว กว่าที่ Sneakers ชื่อดังรุ่นต่างๆ จะมีชื่อให้เราเรียกกันนั้น มันมีที่มาที่ไปแทบทั้งสิ้น วันนี้ UNLOCKMEN ก็ได้นำเอา Sneakers ที่หลายๆ คนคงจะรู้จักชื่อ และหน้าตาของมันเป็นอย่างดี มาเล่าถึงที่มาที่ไปของมัน ให้หลายๆ คนได้หายข้องใจและเก็บไว้เป็นความรู้รอบตัว 

160313-how-legendary-sneakers-got-their-names-1

Converse Chuck Taylor

Chuck Taylor รุ่นที่มีความคลาสสิค และโดดเด่นที่สุดรุ่นนึงจาก Converse อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเคยได้ยินกันมาก่อนหรือไม่ว่า Chuck Taloy เป็นรองเท้าสำหรับนักกีฬาบาสเกตบอล โดยที่มาของมันมาจากสมัยที่ Taylor อายุได้ยี่สิบกว่าๆ เค้าเดินทางไปที่โรงงานของ Converse ใน Chicago เพื่อจะหางานทำตามภาษาวัยรุ่น ในที่สุดฝันเป็นจริง Taylor ถูกว่าจ้างให้เข้าไปเป็นพนักงาน Converse สมใจ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี ชื่อของ Chuck Taylor ก็ถูกนำไปตั้งเป็นชื่อรุ่นของรองเท้าที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมากับมือ และมีสถิติการขายสูงถึง 25,000 คู่ต่อวัน

160313-how-legendary-sneakers-got-their-names-2

Adidas Stan Smith

รองเท้าสีขาวคู่นี้ถูกตั้งชื่อตามนักเทนนิสชาวอเมริกันในช่วงยุค 1960-1980 โดยรองเท้ารุ่นนี้เดิมมีชื่อว่า Adidas  HAILLET ซึ่งที่มาของ HAILLET นั่นก็มาจากชื่อของนักเทนนิสชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า Robert Haillet จนมาถึงปี 1970, Robert Haillet ตัดสินใจที่จะรีไทร์จากอาชีพนักเทนนิส Adidas จึงเดินหน้าทาบทาม Stanley Roger หรือ Stan Smith เข้ามาทำหน้าที่แทน Robert Haillet  ต่อมาเมื่อสัญญาเรียบร้อยลงตัว Adidas ประกาศการเปลี่ยนชื่อจาก HAILLET เป็น Stan Smith พร้อมกับยอดขายช็อคโลกด้วยจำนวนตัวเลข 22 ล้านคู่ทั่วโลก

160313-how-legendary-sneakers-got-their-names-3

Nike Roshe Run

ชื่อของรองเท้าจากค่าย Nike คู่นี้ มาจากดีไซเนอร์ Dylan Raasch ซึ่งได้รับมอบหมายให้สร้างรองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ของ Nike จนเกิดเป็น Sneakers ที่มีราคาปานกลางแต่ อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่ง Dylan นั้นได้ฝึกฝนการทำสมาธิตั้งแต่เด็ก จึงทำให้แนวคิดของนิกายเซนในพุทธศาสนามีบทบาทสำคัญในชีวิตของเค้า แรงบันดาลใจของชื่อรองเท้าจึงมาจากคำว่า Roshi ซึ่งเป็นชื่อที่พระในนิกายเซนมอบให้ แต่ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงตัว i เป็นตัว e หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงตัวสะกดเสร็จเรียบร้อยแล้ว รองเท้าที่มีน้ำหนักเบา และระบายอากาศได้ดีจนเกือบจะให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังใส่รองเท้าแตะคู่นี้ก็ได้บังเกิดขึ้น

160313-how-legendary-sneakers-got-their-names-4

Converse Jack Purcell

Converse Jack Purcell มีความแตกต่างที่ชัดเจนจาก Chuck Taylor เพราะมันไม่ใช่รองเท้าสำหรับนักกีฬาบาสเกตบอล แต่มันก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลกไม่น้อยกว่ากันเท่าไหร่ ด้วยคุณภาพ และความอมตะของดีไซน์ โดย John Edward “Jack” Purcell ชายผู้อยู่เบื้องหลังรองเท้าคู่นี้เป็นถึงนักแบดมินตันระดับโลก จาก Ontario ใน Canada ผู้ที่ก้าวขึ้นไปถึงตำแหน่งแชมป์โลกในปี 1933 กับสถิติที่น่าประทับใจแบบไม่เคยแพ้ใคร จนกระทั่งตัดสินใจยุติอาชีพนักกีฬาในปี 1945 เดิมที Purcell ได้ออกแบบรองเท้าสำหรับกีฬาแบดมินตัน และบริษัท BF Goodrich ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบด้วย จนกระทั้งปี 1970  Converse ได้ซื้อต่อลิขสิทธ์มาเก็บไว้ในครอบครอง

160313-how-legendary-sneakers-got-their-names-5

ASICS Kayano

ในปี 1992 ซึ่งเป็นเพียงปีที่ 5ในการทำงานให้กับ บริษัทรองเท้าจากประเทศญี่ปุ่น นักออกแบบหนุ่มที่ชื่อว่า Toshikazu Kayano ได้มีความตั้งใจที่จะพัฒนารองเท้าวิ่งที่มีประสิทธิภาพสูงในสไตล์ที่แตกต่างจากเดิม โดนคอนเซ็ปต์ของเค้า คือการออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยใช้เทคโนโลยีล่าสุด หลังจากพยายามออกแบบ และลองผิดลองถูกอยู่นานจนความหวังเริ่มริบหรี่ ที่มงาน ASICS ตัดสินใจส่ง Kayano ไปหาแรงบันดาลใจถึงประเทศอเมริกา สุดท้ายการลงทุนได้ผล Kayano เกิดไอเดียที่ได้แรงบันดาลใจจากทีม Product Marketing ของอเมริกาในระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำ เค้าเขียนไอเดีย และร่างแบบที่อยู่ในหัวลงบนผ้าเช็ดปาก ในที่สุด ASICS ก็คลอดรองเท้าที่ชื่อว่า Kayano ออกมาได้อย่างสวยงาม

160313-how-legendary-sneakers-got-their-names-6

Puma Clyde

อีกหนึ่งรองเท้าที่เป็นที่ชื่นชอบของคนที่เล่นบาสเกตบอล หรือไม่ว่าจะเป็นเหล่าวัยรุ่นที่ชื่นชอบในการเล่นสเก็ต และวัฒนธรรมฮิปฮอปก็เช่นกัน ที่ได้นำเอารองเท้าอย่าง  Puma Clyde กลับมานิยมอีกครั้ง จนทำให้นึกย้อนไปถึงยุคที่ Puma รุ่งเรืองสุดๆ อย่างในปี 1973 ที่มีนักบาสเกตบอลมืออาชีพชื่อว่า Walt Frazier ได้ถามกับ Puma สำหรับการทำรองเท้า Custom โดยเค้าเป็นผู้กำหนดเองทั้งหมด ซึ่งจะทำให้น้ำหนักโดยรวมลดลง แต่มีลูกเล่นมากขึ้น Puma จึงได้ผลิตรองเท้ารุ่นที่ชื่อว่า “Clyde” ออกมา ซึ่ง “Clyde” นั้นมาจากชื่อเล่นของ Frazier ที่ได้รับโดยโค้ชคนนึงของเค้า

160313-how-legendary-sneakers-got-their-names-7

Nike Cortez

Nike Cortez กับสัญลักษณ์ Nike สีแดงสดใส ถูกปล่อยออกมาครั้งแรกในช่วงของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคปี 1972 เดิมทีจุดประสงค์ที่ตั้งใจผลิต Cortez ออกมานั้นก็เพื่อให้มันเป็นรองเท้าวิ่งที่มีความนุ่มสบาย และมีความทนทาน แต่ด้วยความนุ่มสบายของมันนี่แหละ ที่คนจึงนิยมนำมาใส่เป็นรองเท้าลำลองให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ โดยที่มาของชื่อ Cortez นั้น เป็นการตั้งชื่อตาม Hernando Cortez ชาวสเปนผู้พิชิตอาณาจักร Aztec หรือที่เรารู้จักในชื่อ Mexico นั่นเอง

แต่ละชื่อไม่ได้ตั้งเอาแค่เท่อย่างเดียว แต่มันยังมีที่มาที่ไปของชื่อที่ได้มาอีกด้วย แต่จะว่าไปแล้วถ้าลองคิดดูดีๆ การตั้งชื่อรุ่นรองเท้าแต่ละรุ่นที่จะผลิตออกมาวางจำหน่ายนั้น ไม่ง่ายเลย เพราะไหนจะต้องเป็นชื่อที่ฟังแล้วเข้ากับรูปลักษณ์ ต้องเท่ ต้องติดหู นู่นนั่นนี่เต็มไปหมด เพราฉะนั้นลองสังเกตุรองเท้าคู่ที่คุณมี หรือคู่ต่อไปที่กำลังจะซื้อดูนเล่นๆ ก็ได้ เผื่อชื่อของมันจะทำให้คุณชอบรองเท้าคู่นั้นมากขึ้นเพราะเข้าใจความหมาย และที่มาของชื่อรองเท้าของคุณก็เป็นได้

Source

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line