FASHION

HOW A SUIT SHOULD FIT : วิธีการเลือกสูทอย่างไร? ให้ใส่แล้วพอดี และมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น

By: HYENA June 29, 2021

ความประณีต หรือความ ‘Craft’ สำหรับผู้ชาย ไม่มีอะไรเกินกว่ารายละเอียดของ ‘ชุดสูท’ ที่ถือเป็นเครื่องแต่งกายที่ต้องใช้ความ ‘Craft’  พิถีพิถันในทุกขั้นตอนตั้งแต่วิธีการเลือก วิธีการผลิต และวิธีการสวมใส่ วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปดูวิธีการเลือกสูทให้ดูดีที่สุด เพื่อความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เปรียบเสมือนกุญแจที่ปลดล็อคศักยภาพ และบุคลิกให้ดูดีกว่าที่เคย กับผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตัดสูทโดยเฉพาะ เพื่อการแต่งกายและไลฟ์สไตล์ที่เรียกว่า Craft และ Classic ที่แท้จริง


การใส่สูทนั้นมีต้นกำเนิดมาจากฝั่งตะวันตกนานกว่า 400 ปี เดิมทีการใส่สูทเป็นการแต่งกายของชนชั้นสูง และขุนนางในศาลของฝรั่งเศส ต่อมาจึงขยายอิทธิพลไปสู่ขุนนางชาวอังกฤษ จนกระทั่งเข้าสู่ยุครีเจนซี่ การใส่สูทเร่ิมเป็นที่แพร่หลาย และกลายเป็นชุดที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เป็นตัวแทนของการแต่งกายที่สุภาพ และเริ่มใช้สวมใส่ในงานที่เป็นทางการตั้งแต่นั้นมา

คำว่า ‘Suit’ แปลว่า ‘สอดคล้อง’ ในภาษาฝรั่งเศส มีรากฐานตกทอดมาจากคำว่า ‘Sequor’ ซึ่งเป็นภาษาละติน แปลว่า ‘ I Follow’ เพราะฉะนั้นการใส่สูทจึงหมายความว่า เสื้อผ้าทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็น เสื้อ, กางเกง รองเท้า ทุกอย่างต้องคล้องกันกันทั้งชุด และจะต้องมีความพอดีระหว่างชุดกับขนาดรูปร่างอีกด้วย ถ้าหากการแต่งหน้าของผู้หญิงก่อนออกจากบ้านทำให้ผู้หญิงรู้สึกมั่นใจ การที่ผู้ชายได้ใส่ชุดสูทที่ตัดมาอย่างพิถีพิถันก็ทำให้ผู้ชายเกิดความมั่นใจได้ไม่ต่างกัน เพราะชุดสูทที่ดีนั้น สามารถสะท้อนตัวตน ทั้งรสนิยม และความใส่ใจในรายละเอียดของผู้ชายคนนั้นได้เป็นอย่างดี


วัตถุดิบที่สำคัญที่สุดในการตัดสูทอย่าง ‘ผ้า’ ชนิดของผ้าที่ใช้ตัดชุดสูทส่วนใหญ่จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลัก ๆ ชนิดแรก คือผ้าที่ไม่มีส่วนผสมของขนสัตว์ ได้แก่ Cotton (ผ้าฝ้าย), Linin (ลินิน) เหมาะกับการตัดสูทลำลอง ระบายความร้อนได้ดี แต่ไม่เหมาะกับการตัดเป็นสูททางการ, Polyester (โพลีเอสเตอร์) มีจุดเด่นที่ยับยาก ราคาไม่สูง และสุดท้าย Micro Fiber (ไมโครไฟเบอร์) ผ้าตระกูลเดียวกับ Polyester แต่ให้เนื้อละเอียด และนุ่มกว่า

ต่อมาคือผ้าขนสัตว์ หรือผ้า Wool มีเอกลักษณ์เฉพาะคือ เนื้อเนียน ละเอียด ใส่สบาย มีความเงา ดูหรูหรา โดยแบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่ ผ้า Pure Wool ที่เหมาะกับการตัดสูทที่สุด สามารถใส่ได้ทั้งฤดูร้อน และหนาว หรูหรา และทนทาน ต่อไปคือ ผ้า Blended Wool ที่นำเอา Polyester มาผสมด้วย จุดเด่นคุณภาพใกล้เคียงกับ Pure Wool แต่ดูแลรักษาง่าย  และราคาไม่สูงเท่า ถ้าหากใครมองหาความคุ้มค่าที่ได้ความ Craft ผ้า Pure Wool ก็คือคำตอบ

ต่อมาคือการเลือกสี สูทมาตรฐานอาจจะเลือกจาก 3 สี คือ สีดำ สีเทา และสีกรม สำหรับใครที่ไม่อยากตัดสูทบ่อย หรือมีข้อจำกัด ขอแนะนำให้เลือกสูทสีดำ เพราะสามารถใส่ได้ในทุกโอกาส สำหรับสีเทาอาจจะดูลดความเป็นทางการลงมาหน่อยแต่ยังคงดูเรียบหรูได้ และสีกรม หรือสีน้ำเงินเข้ม สีนี้จะดูมีความ Casual มากกว่า 2 สีก่อนหน้านี้ นอกจากนี้สีของเสื้อสูท และสีของกางเกงควรเป็นสีเดียวกัน เพราชุดสูทเป็นเครื่องแต่งกายที่นิยมใส่แบบเข้าชุด


  ขั้นตอนถัดไปในการตัดสูทก็คือ การวัดตัว เพื่อความ ‘เข้ารูป’ การวัดตัวเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะสูทที่จะใส่แล้วดูดี ดูสง่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้ การวัดตัวนั้นเริ่มจากการวัดความกว้างของ ไหล่ อก และเอว การวัดไหล่เป็นขั้นตอนสำคัญ การเลือกสูทให้พอดีตัวควรเริ่มจากความกว้างพอดีกับช่วงหัวไหล่ เพราะถ้าเล็กเกินไปจะทำให้ไหล่ดูแคบ ทรงเสื้ออาจจะดูผิดเพี้ยน แต่ถ้าหากกว้างเกินไปจะทำให้หลวม ดูไม่สง่า และไหล่ตก

ต่อมาเป็นการวัดรอบอก สำหรับการวัดรอบอกนั้นก็ควรจะให้มีความพอดีไม่หลวม และไม่แน่นไป การวัดตัวออกมาได้พอดิบพอดีตามสรีระจะช่วยให้เวลาใส่สูทแล้วไม่เกิดการรั้งแน่นจนทำอะไรไม่ถนัดอีกด้วย ช่วงเอวก็สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าผู้ใส่เป็นคนที่ไหล่กว้าง อกผาย เพียงแค่เน้นเอวให้กระชับก็จะทำให้สูทที่ตัดออกมาดูเข้ารูปพอดี และมีทรงที่สวยงาม


หลังจากที่วัดความกว้างกันไปแล้ว แต่มาก็มาถึงเรื่องการวัดความยาวกันบ้าง สำหรับความยาวนั้น สามารถทำให้ผู้ใส่ดูดีขึ้นได้ โดยเฉพาะความยาวของแขนเสื้อ ทั้งเสื้อเชิ้ตด้านใน และความยาวของแขนเสื้อสูทที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยปกติแล้วความยาวของแขนเสื้อสูทตามมาตรฐานนั้น ควรมีความยาวเลยกระดูกข้อมือมา 1 นิ้ว และความยาวของปลายแขนเสื้อเชิ้ตด้านในควรยาวโผล่พ้นแขนเสื้อสูทออกมาประมาณครึ่งนิ้ว เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือ ควรที่จะใส่เสื้อเชิ้ตด้านในขณะที่ลองเสื้อสูท
ก็จะได้ความยาวแขนที่เป๊ะแน่นอนมากยิ่งขึ้น


สำหรับกางเกง ขนาดและความพอดีก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเสริมบุคลิกให้ดูดียิ่งขึ้น ดังนั้นควรจะวัดบริเวณเอว สะโพก ก้น เป้า ขนาดขา และความยาวอย่างประณีต สำหรับขนาดรอบเอวนั้น ควรจะให้มีความพอดีไม่แน่นจนเกินไป ใส่แล้วรู้สึกกระชับมั่นใจแม้เวลาที่ไม่ได้ใส่เข็มขัด ตำแหน่งของหูเข็มขัดควรอยู่ที่บริเวณหน้าท้อง หรือต่ำกว่าเล็กน้อย แนะนำว่า เวลาลองให้ติดกระดุม และรูดซิปให้เรียบร้อยเพื่อเช็คความพอดีที่แน่นอน

เป้า และ ก้น ก็สำคัญ เพราะการสวมใส่นอกจากสวยงามแล้ว ต้องมั่นใจ และสะดวกสบายด้วย การที่กางเกงบางตัวเป้ารั้งเกินไปก็จะทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ หรืออึดอัดได้ ในส่วนของก้นก็เช่นกัน ด้านหลังควรที่จะมีส่วนที่โอบอุ้มกับส่วนก้นพอดี ๆ ไม่แน่นและไม่หลวมเกินไป นอกจากจะทำให้ดูไม่ดีแล้ว หากส่วนก้นมีผ้าเหลือเยอะ เวลานั่งจะทำให้เกิดรอยยับได้อีกด้วย สำหรับความยาวของกางเกงนั้น โดยมาตรฐานจะมีแบ่งอยู่ 4 แบบ ได้แก่

  • No Break คือ ระดับความยาวของกางเกงอยู่เหนือรองเท้า จะเหมาะกับกางเกงทรง Slim Fit ดูทันสมัย วัยรุ่น และดูออกแนวลำลองไม่เป็นทางการมากนัก
  • Quarter Break คือ ระดับความยาวของขากางเกงที่เแตะรองเท้าเล็กน้อย เหมาะกับกางเกงทรงกระบอกเล็ก หรือ Slim Fit ทำให้ดูทันสมัย ดูวัยรุ่นคล้าย No Break แต่ดูสุภาพมากกว่า
  • Half Break คือ ระดับความยาวของกางเกงที่คลุมรองเท้าลงมาประมาณ 1/2 นิ้ว หรือ 3/4 นิ้ว เหมาะกับกางเกงเกือบทุกทรง ทำให้ดูมีความภูมิฐานมากขึ้น มักใส่ในโอกาสที่เป็นทางการหรือต้องการความสุภาพเรียบร้อย
  • Full Break คือ ระดับความยาวของขากางเกงที่ปล่อยให้ยาวลงมากองคลุมรองเท้า เหมาะกับกางเกงทรง Regular Fit และ ทรง Classic Fit ที่ดูสุภาพ และเป็นทางการที่สุด มีข้อควรระวังคือไม่ควรให้ปลายขายาวจนไปถึงส้นเท้าด้านหลัง เพราะนอกจากจะดูไม่สวยงาม แล้วอาจจะให้ขากางเกงขาดเสียหายได้อีกด้วย

การเลือกรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างกระดุมก็มีความสำคัญ บางคนอาจจะชอบสีกระดุมที่ตัดกับสีสูท หรือชอบความเรียบก็สามารถเลือกสีที่คุมโทนไปกับตัวสีสูทก็ได้ไม่มีถูกผิด แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดคือ การติดกระดุมมากกว่า เสื้อสูทนั้นมีการออกแบบแถวกระดุมที่หลากหลาย ทั้งแบบแถวเดียว หรือ 2 แถว แต่ตามมารยาทของการใส่สูทแบบสากล เราจะต้องทำการเว้นกระดุมเม็ดสุดท้ายไว้เสมอ โดยเฉพาะสูทที่ใช้กระดุมแบบแถวเดียว นอกจากนี้ยังมีอีกเทคนิคสำคัญคือ ‘กลัดเมื่อยืน ปลดเมื่อนั่ง’ เพราะฉะนั้นก่อนการนั่งทุกครั้ง จึงควรปลดกระดุมเม็ดสุดท้ายออกเสมอ จะทำให้เสื้อสูทช่วงตัวไม่รั้งจนเกินไป ทำให้อึดอัดเคลื่อนไหวไม่ถนัด เกิดบุคลิกภาพที่ไม่สวยงาม

สำหรับเนคไทนั้นก็มีมากมายหลายสีหลายทรงให้เลือก ซึ่งก็แล้วแต่ว่าผู้ใส่จะต้องการให้สีของเนคไทโดดเด่น หรือต้องการให้สีเนคไทดูเรียบคุมโทน ตามความชอบ หรือตามโอกาสต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีอีกสิ่งที่ควรระวังคือ คำว่า ‘Black Tie’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง เนคไทสีดำ แต่ว่าเป็น ‘ธีม Black Tie’ ต่างหาก ธีมที่ว่านี้ไม่ใช่ธีมที่ให้เราผูกเนคไทสีดำไป แต่เป็นธีมของการแต่งกายที่มีความสุภาพขั้นสูง โดยเป็นที่รู้กันว่า จะต้องเป็นการใส่เสื้อเชิ้ต‘ทักซิโด้’ และผูกโบว์หูกระต่ายสีดำเท่านั้น ซึ่งคำว่า ‘Tie’ ที่ว่านี้ มาจากคำว่า ‘Bow Tie’ นั่นเอง


รองเท้า และเข็มขัดที่จะใส่กับชุดสูทส่วนใหญ่ควรมีสีที่แมทช์กัน สำหรับการเลือกสีของรองเท้า และเข็มขัดก็มีสูตรจับคู่กันง่าย ๆ ก็คือ สูทสีดำ, สีเทา สามารถใส่ได้กับ รองเท้า และเข็มขัดสีดำ จะทำให้ดูเรียบร้อย เนี๊ยบ หรูหรา สำหรับสูทสีเทา และสีน้ำเงิน สามารถใส่ได้กับรองเท้า และเข็มขัดสีน้ำตาลเป็นต้น หรือในกรณีที่ต้องการจะใส่สูทไปงานปาร์ตี้ที่ไม่ได้มีความเป็นทางการมากนัก ในปัจจุบันนี้รองเท้า Sneaker สีขาว ก็ทำให้ดูมีความ Casual มากขึ้นได้เช่นกัน


เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับวิธีการเลือกสูทให้เหมาะกับตัวเองนั้นไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนคิดใช่มั้ย แต่สำหรับใครที่เน้นชัวร์ อยากได้สูทเนี๊ยบ ๆ ที่ดีมีคุณภาพรับประกันความหล่อเหลาได้แบบสะดวก ๆ  ก็สามารถเข้าไปปรึกษา หรือเลือกซื้อได้ที่ร้าน SUITCUBE ทั้ง 11 สาขา หรือจะติดต่อผ่านทางเบอร์โทร 02 107 7777 รวมไปถึง Line : @suitcube และ www.suitcube.com ก็ได้เช่นกัน

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line