หัวหน้าทุกคนควรรู้!! วิธีการสร้าง Hybrid Workplace รูปแบบการทำงานที่กำลังมาแรงหลังเกิด COVID-19

พอโลกของเราเจอกับวิกฤต COVID-19 การใช้ชีวิตของเราก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ บางคนที่ไม่เคยใส่หน้ากากอนามัย ก็ต้องใส่หน้ากากอนามัยออกจากบ้านทุกวัน บางคนที่ไม่ค่อยล้างมือ ก็ต้องล้างมือบ่อยขึ้นกว่าเดิม

การทำงานของเราก็เปลี่ยนไปเช่นกัน บางบริษัทได้มีนโยบายให้คนมาทำงานที่ออฟฟิศน้อยลง และให้พนักงานเริ่มทำงานจากบ้าน หรือ work from home กันมากขึ้น จนเกิดเป็นเทรนด์ที่ทำงานแบบใหม่ที่เรียกว่า Hybrid Workplace ขึ้นมา ซึ่งวันนี้ UNLOCKMEN อยากมาแนะนำวิธีการสร้าง Hybird Workplace ที่จะมีประสิทธิภาพเพื่อให้หัวหน้าทุกคนนำไปปรับใช้กับองค์กรของตัวเองกัน

อะไร คือ Hybrid Workplace

Hybrid Workplace คือ รูปแบบของการทำงานที่สมผสานระหว่างการทำงานทางไกลและการทำงานในสถานที่ เช่น ออฟฟิศ หรือ โคเวอร์กิ่งสเปซ ซึ่งองค์กรที่รับแนวคิด Hybrid Workplace อาจให้พนักงานทุกคนทำงานจากบ้านเป็นปกติ แต่มีการกำหนดวันให้คนมาประชุมร่วมกันที่บริษัทเดือนละครั้ง หรือ กำหนดให้มีการประชุมนอกสถานที่อื่น ๆ เช่น ในร้านกาแฟ

อย่างก็ตาม Hybrid Workplace ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย กล่าวคือ แม้มันจะทำให้พนักงานมีความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตและการทำงานมากขึ้น (เช่น ทำให้พวกเขาสามารถดูแลลูกที่ไม่ได้ไปโรงเรียนและเรียนออนไลน์ที่บ้านได้) แต่มันก็ทำให้พนักงานต้องพัฒนาสกิลที่จำเป็นต่อการทำงานทางไกลมากขึ้น เช่น ทักษะในการใช้ Zoom รวมไปถึงสไตล์การทำงานที่แตกต่างกันของพนักงาน

ดังนั้น หัวจึงควรคิดให้รอบคอบก่อนจะสร้าง Hybrid Workplace

5 เรื่องที่เราควรรู้เวลาจะสร้าง Hybrid Workplace

Microsoft บริษัทซอฟท์แวร์ชั้นนำของโลกได้เผยแพร่รายงานที่ชื่อว่า “Work Trend Index report” ซึ่งเกิดจากการศึกษากลุ่มคนจำนวนกว่า 30,000 คนที่อยู่ใน 31 ประเทศทั่วโลก พร้อมกับการวิเคราะห์ข้อมูลจาก Microsoft 365 และ LinkedIn ซึ่งเราพบว่ามี 5 เรื่องที่น่าสนใจที่หัวหน้าทุกคนควรรู้ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น Hybrid Workplace ดังนี้

ใส่ใจในความต้องการของพนักงาน – อ้างอิงจากรายงาน คนทำงานกว่า 46% เปิดเผยว่า หัวหน้าของพวกเขาไม่ช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการทำงานทางไกล ในขณะที่ 37% เปิดเผยว่า องค์กรของพวกเขาถามพวกเขาเยอะกินไปในตอนนี้ การทำงานแบบไม่เห็นหน้ากันย่อมทำให้หัวหน้าเกิดความกังวลเรื่องความโปรดักทีฟในการทำงานของลูกน้อง แต่การที่หัวหน้าแสดงความกังวลมากเกินไปย่อมทำให้ลูกน้องเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ และอาจส่งผลเสียต่อการทำงานได้ ดังนั้น หัวหน้าจึงควรศึกษาความต้องการและความสามารถของพนักงานทุกคนให้ดีก่อนที่จะสร้าง Hybrid Workplace

ให้ความสนใจกับพนักงานที่เป็นคนหนุ่มสาว – พนักงานที่เป็นคน Gen Z มีปัญหากับการมีส่วนร่วมในการประชุมมากที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา ดังนั้น หัวหน้าควรเป็นผู้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกคนรับฟังเสียงของพนักงานที่มีอายุ 18 – 25 ปีมากขึ้น เช่น การพัฒนาทักษะ หรือ การมอบหมายงานที่ทำให้พวกเขามีความรับผิดชอบมากขึ้น

พยายามรักษาความสัมพันธ์ของพนักงานในองค์กร – ข้อเสียของการทำงานจากบ้าน คือ มันทำให้พนักงานแต่ละคนไม่ได้เจอหน้ากัน และเกิดความห่างเหิน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อความสามารถในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับองค์กรได้ ดังนั้น หัวหน้าควรเป็นตัวช่วยให้พนักงานทุกคนสามารถรักษาสายสัมพันธ์ของกันและกันไว้ได้ เช่น การจัดกิจกรรมที่ทำให้ทุกคนได้มาเจอกันหน้ากัน

รักษาความจริงใจเอาไว้ – การรู้จักบ้าน ห้องครัว เด็ก และสัตว์เลี้ยง หรือ เรื่องส่วนตัวของพนักงาน อาจช่วยเพิ่มความขยันและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานได้เหมือนกัน รายงานของ Microsoft เปิดเผยว่า คนกว่า 30% มีแนวโน้มที่จะเป็นตัวของตัวเองในที่ทำงานในอนาคต ในขณะที่คนกว่า 31% รู้สึกอับอายน้อยลงเมื่อชีวิตในบ้านของพวกเขาปรากฎตัวในงาน ดังนั้น หัวหน้าจึงควรรู้จักวิธีการตีสนิทกับพนักงาน เพื่อสร้างความใกล้ชิด และทำให้พนักงานกล้าเป็นตัวของตัวเองในที่ทำงาน

มองหาความสามารถที่หลากหลายมากขึ้น – เมื่อโลกของเราเปลี่ยนมาทำงานแบบทางไกลมากขึ้น ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่องค์กรต่าง ๆ ต้องการมากขึ้น คน Gen Z จึงเป็นกลุ่มหนึ่งที่น่าจับตามอง เพราะพวกเขาเป็นคนที่เติบโตมากับเทคโนโลยี และมักจะตัดสินใจสมัครงานที่ต้องทำงานทางไกลด้วย หัวหน้าจึงควรใส่ใจกับเพื่อนร่วมงานที่มีความในการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วย

การสร้าง Hybrid Workplace อาจเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของหัวหน้าหลายคน เพราะไหนจะต้องมีการฝึกทักษะการใช้เทคโนโลยี การปรับนโยบายในการทำงานใหม่ หรือ มีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าหัวหน้ารู้จักปรับตัวและรู้เท่าทันสถานการณ์อยู่เสมอก็คงไม่มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับพวกเขา

Appendix: 1 / 2