Business

ชอบต้องลงมือทำ: เคล็ดลับที่ไม่ลับการทำธุรกิจด้านกีฬาครบวงจรกับ “เอ็กซ์-ศิวัช ผู้ก่อตั้งร้าน Ari”

By: Thada July 12, 2017

หากพูดถึงร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่ไม่ใช่แบรนด์สโตร์แล้วละก็ ในประเทศไทยคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Ari (อาริ) ร้านคอนเซ็ปต์สโตร์ที่เปิดขึ้นมารองรับสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องของกีฬา รวมถึงไลฟ์สไตล์แบบสปอร์ต

จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ต้องการสานฝันความชอบของตัวเอง จนเป็นแรงผลักดันถึงปัจจุบันทำให้ Ari (อาริ) สามารถขยับขยายร้านจนกลายเป็นแถวหน้าในเรื่องอุปกรณ์กีฬา

เพื่อล้วงเบื้องหลังความสำเร็จของพวกเขา วันนี้ UNLOCKMEN จึงได้ติดต่อขอสัมภาษณ์แบบ Exclusive กับ คุณ เอ็กซ์ – ศิวัช วสันตสิงห์ ผู้ก่อตั้ง Ari (อาริ) ที่จะมาบอกเล่าเคล็ดลับความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจที่ทุกท่านสามารถนำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเองได้

UNLOCKMEN : ขอถาม background คุณเอ็กซ์ก่อนมาเริ่มทำร้าน Ari หน่อย?

จริง ๆ  ที่บ้านเป็นข้าราชการเกือบหมด คุณแม่ทำออฟฟิศ ส่วนคุณพ่อก็เป็นข้าราชการ ท่านก็ตั้งเป้าอยากให้เราเป็นข้าราชการเหมือนท่าน  ก่อนหน้านี้ผมเลยทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศ แต่คือมันไม่ไหว มันไม่ใช่ตัวเองก็เลยอยากออกมาทำธุรกิจของตัวเอง 

UNLOCKMEN : แล้วจุดเริ่มต้นของร้าน Ari มันมาจากไหน?

เริ่มจากว่าเราชอบเตะฟุตบอล เราชอบรองเท้าสตั้ด อุปกรณ์กีฬาอะไรเงี้ย แต่เมื่อก่อนเมืองไทยมันไม่มีร้านขาย เราก็ต้องฝากเพื่อนซื้อจากต่างประเทศ หรือไม่ก็ต้องวิ่งไปตามร้านที่เขาหิ้วมาขาย

เรารู้สึกว่า เอ้ย ทำไมมันไม่มีร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวฟุตบอลอย่างเดียว ก็เลยเหมือนแบบอยากทำ เพราะว่าจริง ๆ เรารู้สึกว่าคนอยากไปซื้อรองเท้าบอล เขาไม่ได้อยากไปดูไม้แบด ไม้เทนนิส จึงเกิดเป็นไอเดีย ทำไมไม่มีร้านขายอุปกรณ์กีฬาเฉพาะทางไปเลย

จากนั้นลองไปคุยกับเพื่อน จนเป็นที่มาของร้านแรกที่ทองหล่อ ซึ่งเป็นร้านเล็ก ๆ ทำเหมือนเป็นงานอดิเรกมากกว่าเป็นอาชีพหลักด้วยซ้ำ แต่เราทำแล้วสนุกชอบมีความสุข  สุดท้ายมันมีคนที่ชอบเหมือนเราเยอะกว่าที่คิด ฟุตบอลมันเป็นกีฬาหลักของประเทศไทยอยู่แล้ว ก็เลยโชคดีสิ่งที่เราชอบมันเป็นสิ่งที่คนอื่นชอบด้วย ก็เลยต่อยอดมาได้

UNLOCKMEN : ตอนเริ่มแรกเป็นอย่างไรบ้างสำหรับร้าน Ari?

ผมหุ้นกับเพื่อนสองคนเปิดร้านเล็ก ๆ  20 กว่าตารางเมตรเอง อยู่อารีน่าเท็นทองหล่อ คือแบบเล็กมากร้าน เอาจริง ๆ ก็ทำกับเพื่อนสองคนแบบเป็นปีสองปีเหมือนกัน กว่าจะได้เริ่มขยับขยายขนาดร้าน และเริ่มเป็นที่รู้จัก  จนได้ย้ายมาที่สยามนี่ซักสี่ปีที่แล้ว  เหตุผลที่ย้ายมาเราอยากจะทำให้ร้านมันครบวงจร คนรู้จักมากขึ้น มันก็เลยเหมือนอยากต่อยอดเติบโตทางธุรกิจจึงย้ายมาที่นี่

UNLOCKMEN : หลายคนสงสัยที่มาของชื่อ Ari (อาริ) มาจากอะไร?

Ari จริง ๆ ไม่มีความหมายอะไรเลย ณ ตอนนั้น เราอยากได้ชื่อที่มันไม่ได้มีความหมาย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพราะว่าอีกหน่อยถ้าเราตั้งชื่อแบบที่มันเกี่ยวกับฟุตบอล สมมุติเราไปทำอย่างอื่นต่อ มันยาก เราก็เลยตั้งชื่อแบบที่มันไม่มีความหมาย แต่เน้นจำง่าย ก็เลยเป็น Ari  แล้วลองดูพอเราเปิดร้านวิ่ง มันก็เป็น Ari Running ร้านฟุตบอล Ari Football  เห็นไหมว่าเราสามารถทำอะไรกับมันได้เยอะ

UNLOCKMEN  :  แล้ว คุณ เอ็กซ์ มองเห็นอะไรในธุรกิจกีฬา หรือว่ามันเป็นแค่ความชอบเฉย ๆ เลย?

จริง ๆ มันเป็นความชอบเกือบ 100% แต่เราโชคดีมากกว่า ถ้าถามผมว่าอะไรสำคัญที่สุดในการทำร้าน Ari คือ ช่วงเวลา ถ้าเราทำสัก 20 ปีที่แล้วมันก็คงอยู่ไม่ได้ ถ้าเรามาทำตอนนี้มันอาจจะช้าเกินไป เราทำในช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดี  และพฤติกรรมคนที่เลือกเสพเฉพาะทางกำลังเกิดขึ้นพอดี ไม่ใช่แค่ร้านกีฬาอาจจะเป็นร้านอาหารก็ได้ ลองดูเดี๋ยวนี้เป็นร้านเฉพาะทางหมดแล้ว จะกินหมูทอดก็หมูทอดอย่างเดียวไม่ค่อยมีร้านที่ทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกันแล้ว

อีกทั้งเราโตมาพร้อมกับโซเชียลมีเดีย คือเราเปิดร้านนี้มันเริ่มมีเฟสบุ๊คมีอินสตาแกรมกำลังบูม และเราใช้มันค่อนข้างเยอะ สุดท้ายเหมือนเราโตไปพร้อมกับมันอะครับ จะบอกว่าเราเองก็โชคดีที่เลือกช่วงเวลาเริ่มธุรกิจค่อนข้างดี เพราะถ้าเราทำตอนนี้ การจะโตกับโซเชียลมีเดียก็อาจจะยากหน่อยเพราะเมื่อก่อนมันค่อนข้างเปิดให้ใช้ง่าย และอิสระ

UNLOCKMEN : แล้ว Ari นี่คือเจ้าแรกที่ทำเกี่ยวกับอุปกรณ์กีฬาโดยเฉพาะ หรือว่ามันมีคนทำมาก่อน?

จริง ๆ มันคงมีคนทำอยู่แล้วแหละ ผมว่าสิ่งที่มันแตกต่างคือเราทำด้วย passion คือคนอื่นเขาอาจจะทำเพราะมันต้องทำ แต่เราทำเพราะเราชอบอย่างเดียว เราอยากให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ

ณ ตอนนั้นเราชอบเราอยู่กับมันทุกวันเราเจอลูกค้า แล้วเราก็คุยกับลูกค้าเอง ทุกคนชอบเหมือนเรา ความคิดเห็นของคนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน มาเจอกันทำให้เป็นเรื่องง่ายที่จะต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ

UNLOCKMEN :  ในช่วงเริ่มแรกหน้าที่ของคุณเอ็กซ์ คืออะไรบ้างสำหรับร้าน Ari?

ผมคือทุกอย่างในร้าน เก็บร้าน ขาย ส่งของ ทำความสะอาด ทำเองทุกอย่าง ซึ่งตรงนี้สำคัญนะ ถ้าเราจะสามารถสอนคนอื่นได้ ผมว่าเราก็ต้องทำเองทั้งหมดก่อน ไม่ใช่ว่าเปิดร้านจ้างลูกน้อง 20 คน ให้มาทำมันก็ไม่ใช่เรา เราทำเองทุกอย่าง คือขายเองทุกคู่ อยู่หลายปีกว่าจะเริ่มมีคนอื่นมาช่วย

UNLOCKMEN : วิธีการแบบนี้มันทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพัน และกลับมาซื้อด้วยใช่ไหม?

ก็เป็นไปได้ จริง ๆ การที่เราได้คุยกับลูกค้า ได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เราค่อนข้างจริงใจกับลูกค้า อะไรดีก็บอกดี อะไรไม่ดีเราก็บอกไม่ดี มันอาจเป็นจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่ามันน่าจะช่วยให้ลูกค้ากลับมาหาเรา เพราะส่วนตัวคิดว่าการที่ให้ข้อมูลผิดเพื่อให้ขายของได้ มันไม่ช่วยอะไรเพราะสุดท้ายเขาก็ไม่กลับมาหาเรา แต่ถ้าเกิดเราให้ข้อมูลถูกอาจจะขายยากหน่อย หรือลูกค้าอาจจะไม่ซื้อแต่สุดท้ายถ้าเขาจะซื้อ เขาจะกลับมาหาเราเอง

UNLOCKMEN : แต่ก่อน Ari จะเน้นเลือกของมาขาย ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงเริ่มทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง?

แบรนด์เสื้อผ้าตัวเองเนี่ย ทุกคนจะถามตลอดเวลาว่าทำทำไม โจทย์คือเราทำเพื่อให้เป็นภาพในแง่มาร์เก็ตติ้ง ถามว่ามันขายได้มั้ยมันก็ขายได้ แต่เราอยากให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น  เมื่อคนใส่เสื้อแบรนด์ Ari มันก็จะกลับมาที่ร้านโดยปริยาย

จริง ๆ ธุรกิจหลักเราคือการขายรองเท้าสตั้ด แต่บางทีคนยังไม่รู้จัก การที่เราใช้เสื้อผ้าให้คนใส่ คนอาจจะมองกลับมาว่า Ari คืออะไร จนไปค้นหาต่อ เหมือนก่อนหน้านี้เราโตเฉพาะในกลุ่มคนซื้อรองเท้า  แต่คนส่วนใหญ่คนทั่วไปอาจจะยังไม่รู้จักเรา เราก็ตีโจทย์ว่าจะทำยังไงให้คนรู้จักมากขึ้น เราจึงเริ่มทำเสื้อผ้าแบรนด์ Ari และลองไปสปอนเซอร์ทีมบอลต่าง ๆ ดู ซึ่งก็ได้ผลนะ คนก็รู้จักเรามากขึ้นได้ฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นตามมา

UNLOCKMEN  : ขอถามหน่อยครับ ตอนนี้ Ari มีไลน์ธุรกิจทั้งหมดกี่ไลน์?

พอเราโตมากับฟุตบอล จุด ๆ หนึ่ง ตลาดมันค่อนข้างสวิง มันมีช่วงขายดีขายไม่ดี เรารู้สึกว่าเราอาจจะต้องกระจายความเสี่ยงออกไป เราจึงเริ่มเปิดทำธุรกิจอื่น ถ้าเอาธุรกิจทั้งหมดอย่างแรก คือ แม็กกาซีนชื่อ Hatrick  เป็นฟรีแม็กกาซีน แล้วก็มีร้านเกี่ยวกับกีฬาวิ่งที่ชื่อ Ari Running  แล้วเราก็เริ่มทำแบรนด์ตัวเองนิดหน่อยเพื่อให้มีสีสัน

สำหรับล่าสุดตอนนี้ใหม่สุดก็คือเราทำร้านตัดผมขึ้นมาที่ Ari สาขา สยาม เราอยากให้มีกิมมิก และเราก็อยากให้ร้านตัดผมมันอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง

UNLOCKMEN : ทำไมต้องร้านตัดผม ทั้งที่ตอนนี้ร้านตัดผมก็เยอะ แล้วอะไรคือคอนเซ็ปต์ของร้าน Off- side?

ณ ตอนนั้นที่เราคิดร้านตัดผมเนี่ย โจทย์มันคือ เรามองว่านักเตะที่ลงสนามฟุตบอลทุกคนโดนสวมโดยยูนิฟอร์มหมด มีแค่สองอย่างที่สามารถบอกความเป็นตัวเองได้ คือรองเท้ากับทรงผม ดังนั้นเหมือนเราขายรองเท้าอยู่แล้ว จึงเป็นไอเดียว่าทำไมเราไม่ทำร้านตัดผมขึ้นมาเองเลย

อย่างที่เราบอกว่าร้านตัดผมมันเนี่ย ผมเป็นอย่างหนึ่งที่นักบอลเปลี่ยนได้ก่อนลงสนามหรือใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้ เราก็เลยอยากทำ และ ณ ตอนนั้นจริง ๆ นักฟุตบอล หรือว่านักกีฬาทุกคนก็ตัดผมเยอะอยู่แล้ว เราเลยทำร้านในสไตล์บาร์เบอร์ แต่เราใส่ในเรื่องของการทำสีผมเข้าไป มันจึงเป็นเหมือนการมิกซ์บาร์เบอร์แอนด์ซาลอน ที่แตกต่างจากร้านอื่น ๆ

UNLOCKMEN : ถ้าเกิดจะบอกว่า ตอนนี้ที่บอกว่าร้าน Ari เป็นเบอร์หนึ่งเรื่องอุปกรณ์กีฬาคุณเอ็กซ์รู้สึกอย่างไร?

คงไม่เบอร์หนึ่งหรอก เราก็คงเป็นคนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในตลาดมากกว่า  คือเรารู้สึกว่าเมื่อก่อนขายอุปกรณ์กีฬาชนิดเดียวมันขายไม่ได้ เราก็พยายามดันไปเรื่อย ๆ ให้มันสามารถทำได้ ลองคิดดูหากถามว่าร้านขายอุปกรณ์กีฬาชนิดเดียวจะสามารถเปิดร้านใหญ่ขนาดนี้ได้มั้ย ถ้าพูดกันเมื่อสิบปีที่ก่อน ต้องไม่มีใครเชื่อว่าขายอุปกรณ์ฟุตบอลเพียงอย่างเดียวจะทำสามสี่ชั้นได้ แต่เราก็พยายามดันของออกไปเรื่อยๆ ก็คือ Pushing Boundaries ทำแบรนด์เกินขอบเขตการทำร้านกีฬาให้ไกลไปเรื่อย ๆ

UNLOCKMEN : การที่ร้าน Ari เริ่มมีชื่อเสียงเคยรู้สึกมีแรงกดดันในการทำงานบ้างไหม?

จะเบอร์หนึ่งเบอร์สองเบอร์สามเบอร์สี่ ทำงานมันมีแรงกดดันอยู่แล้วหละ แต่ว่าความกดดันมันต่างกันแค่นั้นเอง ถ้าเรายังเล็กอยู่เราก็กดดันเวลาโดนคนอื่นว่าทำไมสู้เขาไม่ได้ เวลาอยู่ในจุดที่เราพอสู้คนอื่นได้ มันก็มีแรงกดดันอีกแบบ

แต่เรารู้สึกว่าถ้าเราไม่หยุดซะอย่าง เราก็ยังไปต่อได้เรื่อย ๆ ถามว่ากลัวคนตามเราทันมั้ย ถ้าร้าน Ari ไม่หยุดซะอย่าง คนอื่นก็ยากที่จะตามทัน แค่นั้นเองเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่ามันดีแล้ว และหยุดอยู่แค่นี้ ไม่ทำอะไรต่อละ มันก็เป็นธรรมดาที่สักวันจะต้องโดนคนแซงนั้นก็คือธุรกิจทั่วไปที่มันเกิดขึ้น แต่สำหรับ Ari เราจะไม่หยุดอย่างแน่นอน เรายังพยายามเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลา

UNLOCKMEN  : แล้วคุณเอ็กซ์ผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มาได้อย่างไร เคยอยากเลิกบ้างไหม?

แน่นอนเป็นธรรมดา  ครั้งแรกที่อยากเลิกเพราะเคยมีคนสบประมาทว่า ขายสตั้ดอย่างเดียวอยู่ไม่ได้หรอก พร้อมบอกว่าอย่าเอางานอดิเรกกับอาชีพมารวมกัน ทำให้เรารู้สึกอยากจะพิสูจน์ว่ามันสามารถทำได้จริง แต่ ณ ตอนนี้มันต่างออกไป อุปสรรค คือเราต้องทำต่อ เพราะมีลูกน้องคนที่มีส่วนรวม ตั้งความฝันเชื่อมั่น และอยู่กับเรามานาน เราไม่สามารถทิ้งพวกเขาได้หรอกมันก็ต้องไปต่อให้ได้ ต่อให้ท้อแค่ไหน

UNLOCKMEN  : แล้วคุณเอ็กซ์มีหลักในการทำธุรกิจอย่างไรบ้าง?

ถ้ามีคนมาบอกหลักการตามตำรา ผมว่าผมน่าจะตกหมด เพราะเรามาด้วยความชอบเพียงอย่างเดียว ซึ่งเราคิดว่าอย่างน้อยต่อให้มันเจ๊งเราก็ได้ลองทำ มันต่างจากคนอื่น ถ้าถามว่า Ari มีหลักการไหม จริง ๆ ไม่มีเลย เพราะอย่างผมจบ Finance กับ กฎหมายถามว่าได้ใช้ไหมในการทำร้าน Ari บอกเลยว่าน้อยมาก ๆ

UNLOCKMEN  : พอมาถึงตอนนี้ย้อนกลับไปตอนทำร้านที่ทองหล่อ คุณ เอ็กซ์ รู้สึกว่าตอนนี้มาถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้มั้ย

โหยังไม่ใกล้เลยครับ  ตอนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งในห้าที่เราตั้งใจไว้ เพราะเรายังรู้สึกว่าร้าน Ari ยังไปได้ไกลกว่านี้ ในหัวของเรายังมีอีกหลายสิบอย่างที่อยากทำ แต่ด้วยความจำกัดหลาย ๆ อย่าง ทำเราไม่สามารถทำตามที่เราคิด แต่ก็ต้องยอมรับนะว่ามันมาไกลกว่าที่เราตั้งเป้าเอาไว้ 

UNLOCKMEN  : สุดท้ายอยากให้คุณ เอ็กซ์ ฝากถึงชาว UNLOCKMEN ที่มีฝันอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง

ถ้าชอบอะไร อย่าบ่นอย่างเดียวว่าอยากทำ ต้องลงมือทำ ซึ่งผมก็ไม่สามารถการันตีได้ว่า เมื่อคุณทำในสิ่งที่ชอบแล้วมันจะประสบความสำเร็จไหม แต่อย่างน้อยคุณก็เคยได้ลองทำในสิ่งที่ชอบ ผมเคยเจอคนที่อายุเท่ากันมาบ่นเมื่อก่อนน่าจะได้ทำโน่น นี่ ตอนอายุเท่ากัน ซึ่งการมาบ่นอีก 5 ปี 10 ปี ต่อมามันไม่ได้อะไร

โอเคผมรู้ว่าทุกคนมันมีความยากง่ายในการใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน แต่ผมเชื่อว่าถ้ามันได้ลองทำในสิ่งที่ชอบ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย สุดท้ายมันจะจบยังไงไม่รู้ล่ะ แต่เราได้สนุกกับช่วงเวลาของมันแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

นี่ก็เป็นเรื่องราวของ คุณ เอ็กซ์ – ศิวัช วสันตสิงห์ ผู้ก่อตั้งร้าน Ari ที่ได้นำแรงบันดาลใจสำหรับการทำธุรกิจมาฝากเราในวันนี้ ใครที่ชื่นชอบในเรื่องของอุปกรณ์กีฬา รวมถึงร้านตัดผม Off-side ก็สามารถเขาไปที่ร้านตามลิ้งค์นี้ได้ Facebook : Ari Football , Ari Running 

การได้ทำในสิ่งที่รักจนสามารถเลี้ยงดูตัวเองกลายเป็นอาชีพได้ ถือเป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของมนุษย์ทุกคน แต่บางครั้งการจะก้าวข้ามคำสบประมาทของคนรอบข้าง รวมถึงอุปสรรคต่าง ๆ นั้นถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการเอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง หากอยากทำอะไรจงลงมือทำมันซะ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปแล้วจะได้ไม่ต้องมานั่งบ่นกับตัวเองที่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line