Leica CL 24.2-megapixel APS-C mirrorless ดีไซน์หรูหรา คุณค่าที่คู่ควรสะพายบ่าของคุณ

ขึ้นชื่อว่ากล้อง Leica จะสะพายตัวไหนก็ดูกลายเป็นคนมีรสนิยมขึ้นมาได้ทั้งนั้น ถ้าตระกูล M จะหล่อมากเป็นพิเศษ แม้จะโฟกัสเองยากนิดหน่อยก็ตาม ตระกูล Q ก็ดูดี ชีวิตง่าย สำหรับสายยกถ่าย และก่อนหน้านี้ Leica ก็เปิดตัว TL2 กล้อง Mirrorless ตัวเล็ก ราคาย่อมเยา (สำหรับ Leica) ซึ่งก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แน่นอน เพราะมีคนใช้กล้องอยากได้ Leica ไว้ในครอบครองอยู่ไม่น้อย ว่าแล้วก็เลยจัดการแบ่งร่างอัพเกรดไลน์ใหม่ที่เหนือกว่า TL2 อีกขั้นเล็ก ๆ ในชื่อ CL พร้อมความสามารถระดับ 24.2-megapixel APS-C mirrorless เพิ่มเติมคือดีกรีถ่ายวีดีโอ 4K 30p

จุดเด่นของ Leica CL คงเป็นเรื่องของรูปทรง body ที่ดูคลาสสิค สวยงาม ดูใกล้เคียงกับรุ่นพี่ Full Frame อย่าง M มากขึ้น โดยได้แรงบันดาลใจการดีไซน์จาก Leica IIIg (Leica 3) ปุ่ม manual dial ด้านบนใช้ปรับ aperture, shutter speed, ISO, exposure และเลือก shooting mode มีการอัพเกรด EVF (electronic viewfinder) เป็น 2.36 ล้านดอท พร้อมจอ LCD touchscreen ขนาด 3 นิ้ว ที่ให้ touch ได้เฉพาะดูรูปกับ Zoom in-out เท่านั้น กดใช้งานฟังก์ชันอื่นผ่าน D-pad ด้านขวามือเหมือนเดิม

ด้านสเปคก็ไม่ต่างจาก TL2 นัก ถ้าเทียบกับการต้องจ่ายเพิ่มอีกราว ๆ ครึ่งนึง คงต้องอาศัยอารมณ์ความชอบจาก body ล้วน ๆ สเปค 24.2-megapixel APS-C mirrorless, 49-point contrast autofocus ประมวลผลด้วย Maestro II series ISO range 100 – 50,000 แบบเดียวกับใน TL2 เป๊ะ และก็ยังคงไม่มี Image Stabilizer ทั้งในกล้องและ TL เลนส์เหมือนเดิม ทาง Leica บอกว่าถ้าอยากเพิ่มความกันสั่น คงต้องข้ามไปใช้เลนส์ SL ซึ่งใส่กันได้เลย แต่ไม่น่าจะสมเหตุสมผลเท่าไหร่ (แต่ถ้าจะข้ามไปใช้ M lens ต้องพึ่งพา adapter)

สิ่งที่พัฒนาของ CL ก็คือความสามารถในการถ่ายวีดีโอ 4K ได้ถึง 30 fps ถ่าย 1080p ได้ถึง 60 fps แต่น่าเสียดายที่ไม่มีช่องต่อไมค์เสริม ถ้าจะถ่ายวีดีโอจริงจังคงต้องพึ่ง microphone ในกล้อง หรือไม่ก็บันทึกเสียงแยก แต่คงไม่มีใครใช้กล้องแบบนี้ถ่าย footage จริงจังอยู่ดี ข่าวดีคือมี WiFi ให้ส่งภาพถ่ายเข้า smartphone ได้รวดเร็วทันใจมากกว่าเดิม

โดยรวมแล้ว Leica CL ก็ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจ สำหรับคนที่จะพกไปถ่ายรูปเล่น พกไปเที่ยวต่างประเทศสำหรับโพสขึ้น Social Media ด้วยสเปคที่ถือว่าเกินพอ พร้อมการถ่ายวีดีโอที่ทำได้ดีขึ้น ใช้งานได้สะดวกสบาย และที่สำคัญคือรูปทรงที่สวยงาม ซึ่งด้วยราคา body กล้องอย่างเดียวราว ๆ 100,000 บาท ซื้อพร้อม 18mm f2.8 ASPH จะต้องจ่ายทั้งหมดราว ๆ 130,000 บาท ถ้าซื้อพร้อม 18-56 mm f/3.5-5.6 จะต้องจ่ายประมาณ 140,000 บาท

ถ้าเทียบกับสเปคของกล้องแบรนด์อื่น คนซื้อคงต้องมีอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ดีไซน์และความภูมิใจน่าจะสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดอยู่แล้วล่ะครับ