Entertainment

10 หนัง LGBT โคตรดีที่อยากแนะนำให้ชาว UNLOCKMEN ดู แล้วจะรู้ว่าความรักไม่เกี่ยวกับเพศ

By: PERLE June 3, 2018

ย้อนไปเมื่อสัก 20 ปีก่อน ถ้าพูดคำว่า LGBT ขึ้นมาเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังงงอยู่เลยว่ามันคืออะไร มีความหมายอะไร แต่สำหรับค.ศ.นี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว LGBT เป็นคำที่ใช้กันอย่างกว้างขวางและเป็นที่ยอมรับในสังคมมากขึ้นแบบก้าวกระโดด เหล่าเพศหลากหลายไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเปิดเผย

เชื่อว่าหลายคนคงเข้าใจกันอยู่แล้วว่า LGBT หมายถึงกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่อาจจะยังไม่เคยรู้ว่าคำว่า LGBT นั้นย่อมาจากอะไร โดย LGBT คือการนำตัวย่อของคำ 4 คำมาไว้รวมกัน

  • L มาจาก Lesbian หรือผู้หญิงที่ชื่นชอบผู้หญิงด้วยกัน
  • G มาจาก Gay หรือผู้ชายที่ชื่นชอบผู้ชายด้วยกัน
  • B มาจาก Bisexual หรือคนที่มีชื่นชอบได้ทั้ง 2 เพศ
  • T มาจาก  Transgender หรือกลุ่มคนข้ามเพศ

จริง ๆ แล้วเพศหลากหลายในโลกนี้ยังมีอีกมากมายหลายความเข้าใจ แต่เพื่อความกระชับจึงนำมาแค่ 4 ตัวอักษรและกลายเป็นคำว่า LGBT นั่นเอง

ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง นอกจากนั้นเดือนมิถุนายนยังเป็นเดือนแห่งชาว LGBT อีกด้วย UNLOCKMEN จึงขอร่วมสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมด้วยการแนะนำ 10 หนัง LGBT โคตรดี ที่ดูแล้วจะรับรู้ได้เลยว่าความรักในรูปแบบอื่น ๆ ก็สวยงามไม่แพ้ความรักต่างเพศเลย จะมีเรื่องไหนกันบ้างไปดูกัน

Dog Day Afternoon (1975)

ขอเรียงลำดับตามปีที่เข้าฉายละกัน เรื่องแรกจึงเก่าหน่อย ย้อนไปเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ซึ่งในยุคนั้นอย่าว่าแต่สิทธิเลย LGBT ยังถือว่าเป็นตัวประหลาดอยู่ด้วยซ้ำ แต่ผู้กำกับ Sidney Lumet กล้าที่จะนำเสนอประเด็นนี้ออกมาตีแผ่อย่างตรงไปตรงมา

ถึงจะเป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับ LGBT แต่ Dog Day Afternoon นำเสนอออกมาในรูปแบบของหนังปล้นธนาคาร ว่าด้วยชายรักชายคู่หนึ่งตัดสินใจปล้นธนาคารใจกลางเมืองในวันที่อากาศร้อนที่สุดในรอบปีเพื่อต้องการหาเงินไปผ่าตัดแปลงเพศ

นำแสดงโดย Al Pacino ซึ่ง 3 ปีก่อนหน้าจะแสดงเรื่องนี้ เขาเพิ่งรับบทเป็น Michael Corleone มาเฟียมาดสุขุมใน The Godfather แต่ในเรื่องนี้เขากลับรับบทเป็นเกย์หนุ่มอารมณ์ร้อน ซึ่งถือว่าเป็นการพลิกบทบาทพออย่างมหาศาล

Dog Day Afternoon ไม่เพียงนำเสนอประเด็น LGBT เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง การเหยียดผิว และปัญหาสังคมในยุคนั้นทุกเรื่องถูกนำมาตีแผ่อย่างเผ็ดร้อน ใครเป็นประธานาธิบดีอเมริกาช่วงนั้นคงหนาว ๆ ร้อน ๆ เพราะหนังเรื่องนี้กันบ้างแหละ

และที่สำคัญที่สุดคือมันดูสนุก! เวลา 2 ชั่วโมงกว่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีหนังก็จบเสียแล้ว เพราะฉะนั้นชาว UNLOCKMEN รีบไปหามาดูโดยด่วน!

Happy Together (1997)

ภาพยนตร์ LGBT จากฝั่งเอเชีย ผลงานของผู้กำกับหว่องกาไว แค่ชื่อผู้กำกับก็แทบจะบอกทุกอย่างของหนังเรื่องนี้ได้แล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่คุณจะได้พบเจอใน Happy Together คือ บรรยากาศเหงา ๆ หรือที่ตอนนี้ในไทยเกิดคำแสลงว่า ‘ความหว่อง’ ก็มีที่มาจากผู้กำกับคนนี้แหละ งานภาพสวยงามที่มีความเหงาแฝงอยู่ในทุกอณู และ Dialogue แสนปวดร้าวแต่ก็คมคาย

Happy Together เล่าเรื่องราวของชายคู่หนึ่งซึ่งเคยคบหากัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้พวกเขาต้องแยกทางกัน จนกระทั่งทั้งคู่ได้โคจรมาพบกันอีกครั้งในประเทศอาเจนติน่า โดยคนหนึ่งทำงานเป็นไกด์ อีกคนขายบริการทางเพศ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือความรู้สึกที่พวกเขามีต่อกัน

รวดร้าว เปลี่ยวเหงา งดงาม นี่คือหนึ่งในหนัง LGBT ที่ดีที่สุด การันตีด้วยชื่อหว่องกาไว

Brokeback Mountain (2005)

แน่นอนว่าต้องมีเรื่องนี้ ถ้าพูดถึงหนัง LGBT แล้วไม่พูดถึงชื่อ Brokeback Mountain คงเป็นเรื่องผิดแบบไม่น่าให้อภัย เพราะภาพยนตร์ฝีมือกำกับของผู้กำกับสัญชาติไต้หวันอย่าง Ang Lee น่าจะเป็นภาพยนตร์ LGBT ที่เป็นที่พูดถึงกันมากที่สุดในโลกแล้ว

เรื่องความดีงามของมันไม่ต้องพูดถึงเพราะคว้าไปถึง 3 รางวัลออสการ์ และเกือบจะได้รางวัลใหญ่อย่างสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วยซ้ำถ้ากรรมการตัดสินในปีนั้นไม่หัวโบราณ

Brokeback Mountain เล่าเรื่องราวของคาวบอยหนุ่ม 2 คนที่มาช่วยกันทำฟาร์มปศุสัตว์ในชนบทห่างไกล และด้วยบรรยากาศเปลี่ยวเหงาความรักต้องห้ามก็ได้เกิดขึ้น

ตลอดเวลาที่คุณดูภาพยนตร์เรื่องนี้คุณจะไม่รู้สึกเลยว่านี่คือความรักร่วมเพศ เพราะมันงดงามไม่ต่างจากความรักหนุ่มสาวทั่วไป ในตอนนี้เองคุณจะตระหนักได้ว่าความรักมันไม่เกี่ยวกับเพศจริง ๆ ด้วย

มาร่วมสัมผัสความรักอันงดงาม โหยหา และร้าวรานไปด้วยกันใน Brokeback Mountain

Insects in the Backyard (2010)

มาถึงคิวของหนังไทยเรื่องเดียวในลิสต์นี้ ขอบอกไว้ก่อนว่าที่เลือกเรื่องนี้มาติดไม่เกี่ยวกับเหตุผลด้านชาตินิยม แต่เราอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองดูจริง ๆ

หลายคนอาจสงสัยว่า Insects in the Backyard เพิ่งเข้าโรงฉายไปเมื่อไม่นานนี่ แล้วทำไมถึงเป็นหนังของปี 2010 ล่ะ? คำตอบง่าย ๆ ก็เพราะว่ามันโดนแบนน่ะสิ! ส่วนเหตุผลว่าทำไม ถ้าคุณดูเรื่องนี้จบคุณจะได้คำตอบทันที

Insects in the Backyard เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องของครอบครัวครอบครัวหนึ่งที่มีสาวประเภทสองทำหน้าที่ดูแลน้องสาวและน้องชายซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับในตัวของเธอเท่าไรนัก

นี่คือหนังที่ทำลายขนบธรรมเนียมดั้งเดิมในสังคมไทยแบบไม่มีชิ้นดี ทั้งการตั้งคำถามเรื่องความเป็นใหญ่ของชายในครอบครัว การนำเสนอเรื่องเพศแบบไม่มีเหนียมอาย และการใช้สัญลักษณ์จำนวนมากในตัวภาพยนตร์

Insects in the Backyard อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับทุกคน แต่ก็เป็นภาพยนตร์ที่อยากให้ทุกคนได้ลองดู

Dallas Buyers Club (2013)

ภาพยนตร์ดีกรีรางวัลออสการ์อีกเรื่องจากฝีมือของ Jean-Marc Vallée ผู้กำกับชาวแคนนาดา ถึงจะเป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วย LGBT เหมือนกัน แต่ Dallas Buyers Club พูดถึงประเด็นนี้ในแง่มุมที่แตกต่างออกไป ไม่ใช่เรื่องความรักร่วมเพศแต่ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย

Dallas Buyers Club สร้างจากเรื่องจริงของ Ron Woodroof  หนุ่มนักสู้วัวกระทิงวัยกลางคนชาวเท็กซัส ที่อยู่ ๆ วันหนึ่งโลกของเขาก็แตกสลายเมื่อเขาติดเชื่อ HIV ซึ่งในยุค 80 (ยุคที่เนื้อเรื่องดำเนิน) โรคเอดส์เป็นโรคในหมู่คนรักร่วมเพศเท่านั้น หมอวินิจฉัยว่า Ron Woodroof  มีชัวิตอยู่ได้ ไม่เกิน 1 เดือนเท่านั้น แต่ด้วยสายเลือดของนักสู้วัวกระทิง เขาไม่ใช่คนที่จะยอมตายง่าย ๆ Ron Woodroof  พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป และเขาก็ได้รับความ Rayon สาวประเภทสองที่เขาเกลียดเข้าไส้ แต่กลับกลายเป็นคนที่ช่วยชีวิตเขา

ใครอยากดูหนังที่ให้กำลังใจในการใช้ชีวิต แนะนำเรื่องนี้เลย

Blue Is the Warmest Color (2013)

ภาพยนตร์สัญชาติฝรั่งเศสดีกรีรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2013 เล่าเรื่องราวของ อเดลเด็กสาวชนชั้นแรงงานที่ชีวิตได้เปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับเอ็มม่าหญิงสาวคนหนึ่งที่มีผมสีฟ้า

นี่คือภาพยนตร์ที่มีทั้งความโรแมนติกและการ Coming of Age ในคราวเดียวกัน เพราะทั้งสองนั้นได้ก้าวผ่านห้วงแห่งความรัก ศรัทธา การจากลา และความเจ็บปวด

ใครที่อยากดูหนังรักดี ๆ สักเรื่องและอยากร้องไห้ไปกับมัน ไม่ควรพลาดเรื่องนี้

Carol (2015)

นี่คือภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวความรักที่หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมหลายประการออกมาได้อย่างนุ่มนวลและอ่อนโยนอย่างที่สุด

Carol เล่าเรื่องราวความรักระหว่าง Carol สาวใหญ่วัยกลางคน ฐานะดี ที่สำคัญคือมีสามีและลูกแล้วกับ Therese ช่างภาพสาววัยแรกรุ่น

ความรักที่ดูเหมือนเป็นไปได้ในความเป็นจริงผลิดอกงอกงามเกินจะหยุดยั้ง ตัวหนังจะนำคนดูไปสู่การตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วความรักนั้นผูกติดกับคำว่าศีลธรรมหรือไม่

Carol ที่ดูแล้วรู้สึกอบอุ่นและเหน็บหนาวในคราวเดียวกัน ใครอยากรู้ว่าความรู้สึกนี้เป็นแบบไหนต้องลองหามาดู

Tangerine (2015)

 

ภาพยนตร์อินดี้ฟอร์มเล็ก ที่มีกิมมิคเด็ดอยู่ที่ใช้แค่ Iphone 5s ในการถ่ายทำตลอดทั้งเรื่อง ซึ่ง Tangerine สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดเจนว่าหนังดีไม่จำเป็นต้องใช้ทุ่มทุนสร้างมหาศาลหรือใช้ดารานำระดับแม่เหล็ก ขอแค่บทและวิธีการนำเสนอที่ยอดเยี่ยมก็เพียงพอแล้ว

Tangerine เล่าเรื่องของสาวประเภทสอง 2 คนในคืนวันคริสมาสต์อีฟกับภารกิจไล่ล่าหาชู้รักของพวกหล่อนและเอาคืนให้สาสมใจ

พล็อตมีแค่นี้แต่วิธีการนำเสนอนั้นเฉียบขาด พร้อมทั้งประเด็นเรื่องเพศซึ่งแฝงไว้ได้อย่างแนบเนียนล้ำหน้าทุนสร้างไปเยอะ

“ชาว LGBT ก็สมควรได้รับความรักดี ๆ เฉกเช่นคนทั่วไป”

และที่สำคัญที่สุดคือมันดูสนุก ไม่แพ้หนัง Blockbuster ดี ๆ เลยทีเดียว

Call Me by Your Name (2017)

หนึ่งในหนังที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในปี 2017 การันตีด้วย 1 รางวัลออสการ์ และเข้าชิงอีก 3 สาขา อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ที่โดดเด่นที่สุดในเทศกาลหนัง Sundance อีกด้วย

Call Me by Your Name เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายขายดี ผลงานจากปลายปากกาของ André Aciman เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ Elio เด็กหนุ่มวัย 17 กับ Oliver นักศึกษาวัย 24 โดยมีฉากหลังเป็นฤดูร้อนในประเทศอิตาลียุค 80

ถึงแม้จะเล่าเรื่องราวความรักเพศเดียวกัน แต่ตัวหนังไม่ได้ชูประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นหลัก แต่กลับเลือกเล่าการก้ามผ่านวัยหรือ Coming of Age ของตัวละครเสียมากกว่า ซึ่งทำออกมาได้ละเมียดและสวยงาม ในขณะเดียวกันก็วาบหวาบและไร้ซึ่งเหตุผล

อีกจุดเด่นที่สำคัญของ Call Me by Your Name คืองานภาพที่ทำออกมาได้ดีและเข้ากับตัวหนังเหลือเกิน ซึ่งนี่ไม่ใช่ผลงานของใครที่ไหน ‘สยมภู มุกดีพร้อม’ ผู้กำกับภาพฝีมือฉกาจชาวไทยนี่เอง

ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมหนังฟอร์มเล็ก ๆ แบบนี้กลับได้รับการพูดถึงมากมายเหลือเกิน ต้องลองหาคำตอบด้วยตัวเอง

Love, Simon (2018)

สด ๆ ร้อนกับภาพยนตร์ LGBT แห่งปี 2018 ที่นำเสนอออกมาในรูปแบบ High School Romantic Comedy ซึ่งเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องแรกที่ทำแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาประเด็น LGBT มักจะอยู่ในหนังแนวดราม่าเสียมากกว่า

Love, Simon ดัดแปลงจากนิยายขายดีชื่อ Simon vs Homosapien Agenda  เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มมัธยมปลายนาม ‘ไซม่อน’ ที่มีชีวิตประจำวันไม่ต่างจากเด็กมัธยมปลายทั่วไป  แต่สิ่งที่เขาแตกต่างจากคนอื่นคือเขาเป็น ‘เกย์’ และเก็บความลับนี้มาโดยตลอดเพราะกลัวสังคมรอบข้างไม่ยอมรับ ดังนั้นสถานที่เดียวที่ไซม่อนจะสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาได้คือในโลกออนไลน์และที่นี่เองเขาได้พบกับ ‘บูล’ เด็กหนุ่มที่เป็นเกย์เหมือนกันกับเขา เมื่อได้พูดคุยผ่านโลกออนไลน์นานวันเข้าไซม่อนก็ตกหลุมรักบูล แต่ปัญหาก็คือบูลเป็นแค่นามแฝง ไซม่อนไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วบูลคือใคร รู้แค่ว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกับเขา ไซม่อนจึงตัดสินใจออกตามหาความจริง

อบอุ่นหัวใจตามสไตล์ภาพยนตร์ Coming of Age แต่ก็นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับ LGBT ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม

ตอนนี้ Love, Simon ยังเข้าฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ ใครอยากดูกดจองตั๋วได้เลย!

นี่คือทั้ง 10 เรื่องที่ UNLOCKMEN อยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้ดู ถ้าคุณดูครบทั้ง 10 เรื่องรับรองได้เลยว่าคุณจะเข้าใจชาว LGBT ขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว

PERLE
WRITER: PERLE
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line