Life

LIKE FATHER, LIKE SON เปิดใจ ‘เคนจิ-วันสว่าง’ กับเรื่องราวความผูกพันของสองพ่อลูกสุดเฟี้ยว

By: NTman December 4, 2021

เชื่อว่า ณ ช่วงเวลานี้ ในขณะที่หลายคนต่างมุ่งมั่นกับการฝ่าฟันเส้นทางชีวิตเพื่อไปให้ถึงฝั่งฝัน คงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เผลอมองข้ามการให้เวลากับครอบครัวไปโดยไม่ได้ตั้งใจ 

และเนื่องในโอกาสวันพ่อ UNLOCKMEN x NISSAN TERRA จึงอยากหยิบยกเรื่องราวของ ‘เคนจิ-วันสว่าง’ หนุ่มนักธุรกิจมากไอเดีย ที่กำลังสนุกอยู่กับแบรนด์เสื้อผ้า RYLL & CO ที่เป็นพื้นที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณพ่อผ่านภาพถ่ายแฟชั่นเสื้อผ้าเซ็ตพ่อลูกสุดเฟี้ยวชนิดที่ไม่ต้องสืบว่าความเท่นี้ได้จากใครมา

กับไอเดียเริ่มต้นที่มีเหตุผลง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เพราะแค่อยากชวนคุณพ่อมาหาอะไรทำแก้เหงา และอยากทำลายขอบเขตเส้นแบ่งการใช้ชีวิตระหว่างการทำธุรกิจที่วุ่นวาย ไปพร้อม ๆ กับการได้ใช้เวลากับคุณพ่อให้มากที่สุดก็เท่านั้น ซึ่งแนวคิดของผู้ชายคนนี้เป็นอีกหนึ่งมุมมองดี ๆ ที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายลุกขึ้นมาวางแผนจัดสรรตารางชีวิตใหม่เพื่อใช้เวลากับคนสำคัญข้างกายได้มากขึ้น

ติดตามเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกสุดมันส์ ที่สะท้อนนิยามคำว่า LIKE  FATHER, LIKE SON ออกมาได้อย่างเข้มข้นชัดเจนไปพร้อม ๆ กันได้เลย


 

:: ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ::

“จริง ๆ แล้วตอนวัยรุ่นอายุ 20 กว่า ๆ เราก็ไม่ค่อยอยู่กับพ่อหรอก เราเที่ยวเยอะ ปาร์ตี้บ่อย แต่พอเริ่มเข้า 30 ก็ให้ความสำคัญกับครอบครัวมากขึ้น เพราะเราอยู่บ้านกับพ่อแค่ 2 คน ก่อนหน้านี้มีพี่ชายพี่สาวอยู่ด้วยกัน แต่เขาย้ายออกไปสร้างครอบครัวของเขา ส่วนคุณแม่ก็เสียแล้ว 

ในขณะที่ตอนเราเด็ก ๆ พ่อเองก็จะไม่ค่อยอยู่บ้าน ไปทำงานต่างจังหวัดตลอด พอเราโตมาก็รับรู้ได้ว่าพ่อเค้าก็พยายามจะชดเชยให้ลูก ๆ พยายามให้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้นเหมือนกัน มันก็เปลี่ยนตามอายุนะ ตอนเด็ก ๆ เราจะมองแบบนึง โตมาก็มองอีกแบบนึง มันอยู่ที่ความเข้าใจตอนนั้นด้วย เราเองก็เคยไม่เข้าใจเขา เขาเองก็เคยไม่เข้าใจเรา

เคยมีช่วงนึงที่เคยทะเลาะกับคุณพ่อบ่อย ๆ น่าจะประมาณ 10 กว่าปีก่อน ช่วงที่เรายังช่วยทำงานของที่บ้าน ขับรถพาพ่อไปทำงานที่ออฟฟิศทุกวัน ก็นั่งทะเลาะกันในรถทุกวัน เพราะตอนนั้นเราเริ่มทำธุรกิจของตัวเองควบคู่ไปด้วย แต่พ่อเขาไม่เข้าใจคิดว่าเราไม่สนใจทำงาน เอาแต่เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมา 

จนวันนึงมานั่งทบทวนว่าทำไมเรามันแย่จัง ใจร้ายจัง ไปทะเลากับเขาทำไม ก็แค่อธิบายให้ครอบครัวรู้ว่าเรากำลังพยายามทำอะไรอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ด้วยอารมณ์วัยรุ่น เราก็จะโต้ตอบแบบแอนตี้ ไม่บอก ไม่ทำให้เขาเห็น ไม่เปิดอกคุยกันทำให้เขาไม่รู้ว่าเรากำลังพยายามอยู่นะ 

สุดท้ายพอคิดได้ ก็ได้มาเปิดอกคุยกันว่าชีวิตเราตอนนี้มันเป็นแบบนี้นะ กำลังทำแบบนี้นะ เรากำลังพยายามทำอะไรอยู่ ผลลัพธ์มันเป็นยังไง พ่อเขาก็เข้าใจว่ามันเป็นแบบนี้นี่เอง แล้วพอมานั่งนึกดูดี ๆ จากที่เคยไม่เข้าใจเขา กลายเป็นว่าหลาย ๆ อย่างเราก็จะได้มาจากพ่อแบบไม่รู้ตัว ตอนเด็กเราจะคิดว่าเราไม่เหมือนใคร แต่พอโตมาเหมือนทุกอย่าง หน้าตา คำพูด พูดจาเหมือนหมด มันเหมือนได้รับอิทธิพลโดยที่เราไม่รู้ตัว มันค่อย ๆ ซึมซับไปเรื่อย ๆ

พอมาช่วง 6 – 7 ปีหลัง ก็ยิ่งได้อยู่กับพ่อมากขึ้น ด้วยความที่เหลือกันอยู่ที่บ้าน 2 คน ก็เลยได้กลับมาใช้เวลาด้วยกันแทบทุกวัน อย่างวันไหนออกไปทำงาน แล้วต้องมีปาร์ตี้ต่อดึกดื่น หรือต้องไปค้างต่างจังหวัด เราจะกลับบ้านก่อนทุกครั้ง บางทีไม่ได้ต้องทำอะไรนะ กลับมาแค่เปลี่ยนชุดเพื่อให้รู้ว่ากลับบ้านนะ บางทีก็ไม่ได้กินข้าว กินอะไร แค่อยากกลับมาเช็คว่าที่บ้านว่าพ่อเป็นยังไงแล้วค่อยออก”

เคนจิเล่าย้อนถึงอดีตที่อาจไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับคุณพ่อมากมายสักเท่าไหร่ แต่ก็สามารถผ่านปัญหาความไม่เข้าใจ อาศัยการปรับจูนความสัมพันธ์ จนปัจจุบันกลายเป็นพ่อลูกคู่ซี้ที่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา


 

:: ROAD TRIP ในความทรงจำ ::

แม้จะออกตัวว่าในวัยเด็กเขาไม่ค่อยจะได้ใช้เวลาร่วมกับคุณพ่อมากมายสักเท่าไหร่ แต่เมื่อพูดคุยถึงเรื่องราวความทรงจำแสนประทับใจที่มีร่วมกับคุณพ่อ เคนจิเลือกที่จะเล่าถึงสมัยวัยเยาว์ กับการได้ไป Long Road Trip ร่วมกับคุณพ่อในทันที ชนิดที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน

“อย่างที่เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อน พ่อจะขับรถไปทำงานต่างจังหวัดตลอด แล้วมีอยู่วันนึงช่วงปิดเทอมพอดี เราฝันร้ายมาก ๆ ฝันว่าพ่อเราจะเสีย แล้ววันรุ่งขึ้นพ่อเราต้องขับรถไปต่างจังหวัด เราตื่นมาก็เลยตัดสินใจขอไปด้วย ก็เลยนั่งรถลงใต้ ไปสุราษฎร์ หาดใหญ่ ตรัง คือไปทั่ว ตอนนั้นพ่อขับรถ NISSAN สี่ประตูสีเลือดหมู พ่อซื้อมือสองมาจำได้เลย เราก็ใช้เวลาอยู่ในรถคันนั้นด้วยกัน ขับรถตะลอนตลอดเกือบเดือน คือเรายังเด็กฝันร้ายแบบนั้นแล้วไม่รู้จะทำยังไง ก็ขอไปด้วยเลยแล้วกัน”

เมื่อเริ่มไขก๊อกความทรงจำ ภาพความประทับใจในอดีตก็ทยอยกันโผล่มาให้เราได้รับรู้ถึงโมเมนต์น่ารักของพ่อลูกคู่นี้ เพราะนอกจากเรื่อง Road Trip เคนจิยังเล่าถึงของขวัญสุดเซอร์ไพรส์ที่คุณพ่อเคยมอบให้เขาในวัยเด็ก

“พูดถึงเรื่องตอนเด็ก ๆ แล้วมีอีกเรื่องนึงที่ยังจำได้ไม่เคยลืม คือเมื่อก่อนเราเคยไปดิ้นกลางห้างงอแงจะเอาหุ่นฟิกเกอร์เซนต์เซย่าที่มันใส่ชุดเกราะอะ แต่ที่บ้านเราไม่ได้ร่ำรวยไง พ่อก็เพิ่งเริ่มธุรกิจใหม่ ๆ รถที่ขับก็ซื้อมือสองมา เราก็จะไม่ค่อยได้ของเล่นเหมือนเด็กคนอื่น ของขวัญวันเกิดก็ไม่เคยมี

จากนั้นเรื่องมันก็ผ่านไปสักพัก แล้วอยู่ดี ๆ วันเกิดเราปีนึง เรากำลังเล่นอยู่กับเพื่อนหน้าบ้าน พ่อก็กลับมาจากทำงานขับรถเข้ามา NISSAN สีเลือดหมูคันเดิมนั่นแหละ แล้วพ่อก็เปิดกระจกลงมามีของเล่นยื่นออกมาจากหน้าต่างรถ อันนั้นเป็นภาพที่จำได้มาตลอด เป็นตัวโพไซดอนในเซนต์เซย่า ซึ่งมันเป็นตัวที่โหดกว่าตัวที่เราเล็งไว้อีกอะ เราอยากได้แค่ตัวธรรมดาไม่แพงมากมายเพราะรู้ว่าเซ็ตนี้มันเกินเอื้อม แต่นี่มาชุดใหญ่มีบัลลังก์มาเต็ม 

คือเราก็งงว่าพ่อรู้ได้ไงวะ ไม่มีทางที่พ่อจะรู้เรื่องพวกนี้ จำวันเกิดได้ก็อเมซิ่งแล้ว เพราะพ่อเป็นคนที่เฉย ๆ กับพวกวันเกิด วันครบรอบอะไรต่าง ๆ แต่นี่เปิดกระจกมามีของเล่นมาให้ แถมเป็นตัวพิเศษกว่าที่อยากได้อีก มันก็เลยเป็นความประทับใจ เป็นภาพติดตาเรามาตลอด”


 

:: สมดุลชีวิต ::

ด้วยความที่เป็นคนเจ้าไอเดีย ทุ่มเทลุยธุรกิจหลายโปรเจ็กต์ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ ‘เวลา’ ซึ่งเคยตั้งใจจะมีให้กับคุณพ่ออย่างเต็มที่นั้นลดน้อยลง แต่สุดท้ายผู้ชายคนนี้ก็หาทางออกให้กับสมดุลชีวิตระหว่างธุรกิจ และครอบครัวได้อย่างลงตัว 

“ก็มีห่างบ้างครับ เริ่ม ๆ ช่วงที่เริ่มทำธุรกิจแรก ช่วงนั้นก็ยังซ่าอยู่ ไม่ค่อยอยู่กับพ่อกับครอบครัว แต่ว่ามาเริ่มประมาณ 6-7 ปี ที่ผมมีไปเปิดร้านเสื้อยืดที่จตุจักร แล้วก็เห็นว่าพ่ออยู่บ้านคนเดียวต้องเหงาแน่ ๆ เลย ก็เลยชวนพ่อไปร้าน ไปนั่งขายด้วยกัน เพราะคุณพ่อผมพูดได้หลายภาษา จีนก็ได้ อังกฤษก็ได้ มาเลก็ได้

พอเราเอาพ่อไปอยู่ด้วยมันก็สนุกไง ซึ่งใจความสำคัญคือเราไม่อยากให้พ่ออยู่เฉย ๆ เดี๋ยวจะแก่ จะเฉาซะก่อน คืออย่างน้อยได้เดินทาง ได้พูดคุยกับผู้คนจะได้ไม่เฉา มันก็เลยมีความสัมพันธ์มากขึ้น ได้พูดคุยกันมากขึ้น”


 

:: เดบิวต์นายแบบรุ่นเก๋า ::

“พอมาถึงช่วงที่เริ่มขยายกิจการไปเปิดร้านเสื้อที่ตลาดรถไฟช่วง 5 ปีก่อน ตอนนั้นก็เริ่มห่าง ๆ กับพ่ออีกแล้วเพราะพ่อนอนเร็วจะพาไปอยู่ร้านด้วยก็ไม่ได้ เวลาอยู่ด้วยกันก็น้อยลง ทีนี้ก็มานั่งคิดว่าจะทำยังไงให้เราอยู่กับพ่อได้นานขึ้น เลยตั้งเป้าจะพาพ่อไปถ่ายรูปตามที่ต่าง ๆ น่าจะดี 

คือตอนนั้นคุณพ่อไว้หนวดไว้เครา คือเราชอบสไตล์นั้นพอดี ตอนแรก ๆ เราก็ไม่คิดขนาดว่าจะเอามาถ่ายเป็นนายแบบให้ที่ร้านนะ ประเด็นคือเหมือนกับตอนที่ชวนไปขายเสื้อ เพราะเราไม่อยากให้เขาเหงานั่งเฉาอยู่เฉย ๆ ที่บ้าน เลยพาไปถ่ายรูปข้างนอกบ้าง ได้ออกกำลังกายด้วย แต่พอจับมาแต่งตัวปุ๊บ โอโห ดูดีเว้ย แถมตอนที่มาทำที่ตลาดนัดรถไฟทุกอาทิตย์ ก็ทำแบบนั้นทุกอาทิตย์ ได้รูปสวย ๆ คนก็ชอบ ฟีดแบ็คดี ก็เลยใช้พ่อเป็นนายแบบไปด้วยเลย ทีนี้รูปที่ถ่ายคู่กับพ่อเอามาติดที่ร้านก็ทำให้โปรดิวเซอร์ที่เป็นเพื่อนเรามาเห็น เขาก็แบบไอจิมันใช้ได้เว้ย เราก็เลยมีโอกาสได้ไปทำรายการท่องเที่ยว 

ส่วนพ่อเองก็ไม่ธรรมดา มีผู้กำกับจาก GTH ติดต่อมาให้ไปเล่นหนังด้วยนะ แซงลูกไปอีก บทเด่นด้วย แต่ว่าประเด็นคือพ่อเราตาเสียข้างนึงจากเบาหวานสุดท้ายก็เลยไม่ได้เล่น”

เคนจิเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณพ่อกลายเป็นที่รู้จักในฐานะนายแบบรุ่นเก๋า ที่กาลเวลาก็ไม่อาจพรากความเฟี้ยวให้ลดน้อยลงได้จริง ๆ


 

:: RYLL & CO ::

นอกจากคุณพ่อจะรับหน้าที่เป็นนายแบบบังเกิดเกล้า ซึ่งปรากฎกายในแทบทุกธุรกิจของผู้ชายคนนี้แล้ว เชื่อว่าหลายคนอาจคุ้นตากับภาพคุณพ่อในเสื้อฮาวายลายสวย ซึ่งเป็นเสื้อผ้าจากแบรนด์ RYLL & CO ของเคนจิ และเพื่อน ๆ ซึ่งเจ้าตัวยังเป็นหนึ่งใน Artist ที่จรดปากกาวาดลวยลายเสื้อเองกับมือ

“ย้อนไปเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน ตอนนั้นเราทำธุรกิจหลายอย่างมาก ทั้งร้านเสื้อยืด ค่ายมวย คาเฟ่สัตว์ ลุยเปิดทุกอย่างเร็วมาก ต้นปีเปิดค่ายมวย ปลายปีเปิดคาเฟ่สัตว์ กลางปีถัดไปขยายไปเปิดที่ตลาดนัดรถไฟอีก ใส่ ๆๆๆ เงิน จนเงินมันมาไม่ทัน คือตอนนั้นธุรกิจมันก็ยังรันของมันอยู่นะ มันไม่ได้ล้มแต่ธุรกิจมันต้องใช้เวลา ผลตอบแทนมันก็ไม่ได้กลับมาทันที  ซึ่งในมือมีเงินกู้เหลืออยู่ 50,000 สุดท้ายละ เราก็คิดว่าทำไงดีวะถึงจะหา Cash Flow มาเพิ่มได้

ก็เลยไปคุยกับร้านสัก เพราะมีพื้นฐานเรื่องวาดรูปอยู่แล้ว ตั้งใจไปจะเรียนสักไว้เป็นวิชาชีพ ค่าเรียน 35,000 คือเกือบจะไปเรียนสักอยู่แล้วนะ แต่ระหว่างนั้นมีวันนึงไปเดินที่โซนมือสองที่จตุจักร ไปเจอเสื้อฮาวายที่ส่วนตัวชอบใส่อยู่แล้ว ก็เลยซื้อเสื้อฮาวายมาขายแซม ๆ กับเสื้อยืดที่ร้าน แล้วดันขายดี เสื้อฮาวายแม่งมาว่ะ ก็เลยไปเดินที่โซนที่เขาขายส่ง เอาเงินที่มีอยู่ 50,000 ใส่หมดเลย เหมาเสื้อฮาวายมาใส่ร้าน ปรากฏว่าก้อนสุดท้ายนี่หมดเกลี้ยง หมดคือหมดเลย ปรากฏว่าเสื้อฮาวายที่เหมามาขายดีมาก ๆ ดีแบบดีสุด ๆ 

ก็เลยสืบไปสืบมาจนไปเจอโรงงานผลิต เจอโรงงานที่ทำได้ตามที่เราต้องการก็ขายเสื้อฮาวายหาเงินไปเรื่อย แล้วมีอยู่วันนึงเจอรุ่นพี่ใช้ iPad วาดรูป เราก็เฮ้ย มันทำได้แบบนี้เลยเหรอวะ ทำไมมันง่ายจัง เขาก็สอนเราปุ๊บ เราก็ไปซื้อ iPad มาวาดเลย คิดแล้วว่าจะต้องทำเสื้อฮาวายซึ่งเป็นลายที่ออกแบบเอง วาดเอง ทำแบรนด์จริงจัง

จากนั้นก็ไปคุยกับเพื่อนว่าจะเอาด้วยไหม ให้เพื่อนลงทุน เราลงแรง เพื่อนบอกเอา จนได้เป็นแบรนด์ RYLL & CO ซึ่งมันจะมี 2 อย่าง ผมวาดเอง แต่หลัง ๆ เริ่มไม่ทันงานมันเยอะ ผมก็จ้างดีไซเนอร์วาด มีหลายคน เสื้อผ้างานก็จะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนคนอื่น 

แล้วถ้าถามว่านอกจากมาเป็นนายแบบให้ คุณพ่อมีส่วนในแรงบันดาลใจของเสื้อผ้า RYLL & CO มั้ย จะแอบบอกไว้นิดนึงว่าตอนนี้เรายังคาแรกเตอร์ของพ่อมาแปลงเป็นงานอาร์ตอยู่เลย ตั้งใจจะทำเป็นคอลเลกชั่นนึง แต่ยังไม่เสร็จ ต้องรอติดตาม”


 

:: วันสบาย ๆ ของสองพ่อลูก ::

“จริง ๆ คือเรากับพ่อก็อยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว ตอนนี้พ่อเองก็ชอบที่จะอยู่บ้าน ซึ่งพ่อเคยบอกเราคำนึงว่า เขาออกจากบ้าน ออกไปทำงานไกล ๆ มาตลอดชีวิตแล้ว ตอนนี้ก็เลยอยากอยู่บ้านมากกว่า 

แต่พอดีพี่สาวผมซื้อบ้านไว้ที่หัวหินกับชะอำ วันที่ว่างตรงกันก็จะขับรถพาพ่อไปหาพี่สาว แล้วก็มีคุยกันว่าจะไปไต้หวันคิดว่าเขาน่าจะชอบ แต่ว่ารอหมดโควิดก่อนนะ”

แม้ในตอนนี้จะโปรดปรานกับการอยู่บ้าน แต่คุณพ่อก็ไม่เคยเกี่ยงที่จะออกไปรื้อฟื้นความทรงจำ Road Trip กับลูกชายคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการขับรถออกไปทำงานถ่ายรูปด้วยกัน หรือการเดินทางในวันพักผ่อน เพื่อพบปะพร้อมหน้ากับทุกคนในครอบครัวที่บ้านตากอากาศของพี่สาวเคนจิ


 

:: รถที่ใช่ ไลฟ์สไตล์ที่ลงตัว ::

จากความทรงจำของสองพ่อลูกที่มีรถยนต์เป็นสิ่งเชื่อมความสัมพันธ์มาโดยตลอด เมื่อถึงเวลาที่ลูกชายอย่างเคนจิจะเลือกรถยนต์คู่ใจสักคัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรื่องราวของครอบครัวจะเป็นประเด็นที่สำคัญต่อการตัดสินใจของผู้ชายคนนี้

“เราชอบรถใหญ่ 4WD อะไรงี้ คิดถึงสมัยที่คุณพ่อตะลอนขับรถไปทำงานต่างจังหวัด ถ้าเป็นรถใหญ่น่าจะสะดวกสบายกว่า แล้วตอนนี้เวลาขับรถไปหาโลเคชั่นถ่ายรูปเราไม่ใช่แค่ไปกับพ่อสองคน เพราะต้องพาลูกน้องไปด้วย เอาไปช่วยดูแลพ่อด้วยอีกคนนึง 

จากโจทย์ข้อนี้รถใหญ่ ๆ ก็เลยลงตัวที่สุด พ่อนั่งสบาย ขนคน ขนของได้สะดวก เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนได้ เอาพร็อพไปเปลี่ยนได้ เราเป็นพวกบ้าหอบฟาง ชอบขนของ ไม่ค่อยเอาของออกจากรถด้วย มีรองเท้าหลายคู่, มีเสื้อผ้าหลายตัว, Surfskate หลายแผ่น คือเก็บไว้ในรถทั้งหมด เวลาขับไปเจอโลเคชั่นสวย ๆ จะได้เอาบอร์ดอออกมาเล่น หยิบเสื้อผ้า หยิบกล้องออกมาถ่ายแบบได้ทันที มีทุกอย่างพร้อมใช้ในรถมันสะดวกกว่า”


 

:: ความประทับใจใน NISSAN TERRA ::

“ผมเป็นคนชอบ NISSAN อยู่แล้ว เหมือนเป็นความผูกพันกับรถคันเก่าของพ่อตั้งแต่เด็ก ๆ พอโตขึ้นมาได้เห็นรุ่นอื่น ๆ ก็ชอบในดีไซน์ของเค้านะ พวก FIGARO หรือ CUBE เราว่ารถ NISSAN มีดีไซน์เจ๋ง ๆ เยอะดี 

อย่าง NISSAN TERRA เราก็ชอบดีไซน์เส้นสายที่ลงตัวทั้งคัน และที่สำคัญคือความกว้างขวางคุณพ่อนั่งสบาย ใช้งานได้เอนกประสงค์ พับเบาะออโต้กดง่ายมาก ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของได้เยอะ แถมยังเป็น 4WD ขับไปไหนก็ได้ถึงไหนถึงกัน 

เรื่องเทคโนโลยีก็ไม่แพ้ใคร ทั้งระบบความบันเทิง Apple CarPlay, ระบบชาร์จไร้สายนี่สะดวกสบายทันสมัย ระบบความปลอดภัยก็มาแบบครบครันอุ่นใจ เคยกังวลว่ารถคันใหญ่จะขับเข้าซอย ถอยจอดยาก แต่กล้องรอบคันที่ให้มาคือช่วยให้ขับง่ายขึ้นเยอะ เป็นอีกคันที่เราเลือกเอามาใช้งานบ่อย ๆ เพราะถูกใจในความเอนกประสงค์ของมันนี่แหละ”


 

:: ไม่มีเวลา ไม่มีจริง ::

สำหรับประเด็นสุดท้ายที่ได้พูดคุยกับเคนจิ คงหนีไม่พ้นเรื่องการแบ่งเวลาให้กับครอบครัว ซึ่งมุมมองเกี่ยวกับเวลาที่ผู้ชายคนนี้ฝากเอาไว้น่าจะมีประโยชน์สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาในการสร้างจุดสมดุลระหว่างเรื่องงาน และเรื่องครอบครัว จนอาจไม่มีเวลาไปเจอคุณพ่อในวันพ่อที่กำลังจะมาถึง

“ก็อยากให้ลองดูครับ บางทีเราลืมให้ความสำคัญหรือลืมบางอย่างไป อยากให้ลองจัดลำดับความสำคัญและลองแบ่งเวลาดู เราเข้าใจว่าแต่ละคนนั้นมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตที่ต่างกัน งานของหลายคนอาจไม่สามารถนำมาลิงก์กับครอบครัวได้เหมือนกับเรา ถ้าเป็นแบบนั้นทางออกที่เวิร์กที่สุดก็คือการแบ่งเวลา เราเชื่อว่าพอกางตารางชีวิตออกมาจริง ๆ แล้ว มันไม่มีหรอกครับคำว่าไม่มีเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกจะให้ความสำคัญ เลือกจะให้เวลากับสิ่งไหนมากกว่า

บางคนคิดว่าการจัดสรรเวลาหรือการลำดับความสำคัญเป็นเรื่องวุ่นว่าย แต่จริง ๆ ไม่ยาก เป็นเรื่องง่ายด้วยซ้ำแค่เราไม่อยากทำก็แค่นั้น ลองเริ่มต้นด้วยการไล่ลำดับความสำคัญหรือทำเช็คลิสต์ไว้เลยก็ได้ ผมก็ทำว่าอาทิตย์นึงเราต้องพาพ่อออกไปกินข้าวกี่ครั้ง ถ่ายรูปด้วยกันกี่ครั้ง ซึ่งเอาจริง ๆ มันไม่ได้ต้องทำตามนั้นเป๊ะ ๆ นะ 

เพราะใจความสำคัญจริง ๆ ของการทำเช็คลิสต์ มันจะทำให้คุณได้เริ่มดึงคุณพ่อ เริ่มดึงครอบครัวที่คุณอาจจะเผลอละเลยไปให้กลับมาอยู่ในตารางชีวิตคุณซะก่อน จากนั้นคุณก็จะมองเห็นเวลาที่มีให้พวกเขาเอง อย่างวันพ่อที่จะถึงถ้าไม่สะดวกจริง ๆ ก็อาจจะไม่ต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อไปหาเขาให้ได้ในวันนั้น เพราะไม่ว่าจะวันไหน เวลาที่เราให้ไปมันก็สำคัญสำหรับเขาทั้งนั้น ขอแค่เริ่มต้นจากการแบ่งเวลาให้ได้ก่อน

ส่วนใครที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเวลา แต่บางคนอาจจะเขินเวลาอยู่กับพ่อแม่ เราอยากบอกว่าอย่าไปเขินเลย วันนึงเมื่อนึกย้อนมาจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายเวลาตอนที่เขายังอยู่ ซึ่งตอนนี้ที่เราอยู่กับพ่อก็รู้สึกดีนะ ที่เพื่อน ๆ เห็นเราอยู่กับพ่อ แล้วเขาก็อยากทำบ้างจากที่เขิน ๆ ไม่ค่อยกล้าแสดงออก 

เหมือนภาพที่คนเห็นเราอยู่กับพ่อมันได้ทำให้เขามองว่าเออ ฉันลืมคนที่บ้านไปหรือเปล่า มันก็มีหลายคนนะที่มาพูดกับผมว่าอยากไปทำอะไรสนุก ๆ กับพ่อ อยากขับรถพาพ่อไปไหนมาไหนเหมือนจิบ้าง หรือบางคนก็มาซื้อเสื้อเราแบบแพ็คคู่เอาไปให้พ่อใส่เหมือนกันอะไรแบบนี้”


 


สำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์ได้ทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องงาน, ครอบครัว รวมไปถึงวันพักผ่อน เราแนะนำให้หาโอกาสไปลองสัมผัส NISSAN TERRA ด้วยตัวเอง แล้วคุณอาจได้พบกับรถยนต์คู่ใจที่พร้อมขับเคลื่อนไปในทุกเส้นทางชีวิตที่ไม่ต้องกังวลกับข้อจำกัดใด ๆ อีกต่อไป

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.nissan.co.th/vehicles/new-vehicles/new-terra.html


Photographer: Krittapas Suttikittibut

NTman
WRITER: NTman
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line