FASHION
‘เต๋า-MEMORIESBRAND’ กับ ความทรงจำถึง Japanese Vintage Fashion
By: GEESUCH May 24, 2024 231002
ขึ้นชื่อว่าเป็นเสื้อผ้ามือ 2 แฟชั่นเก่าจากอดีตก็จะมีชั้นเลเยอร์มากมายบนเนื้อผ้าให้เราเห็นเต็มไปหมด รอยเปื้อนจากไอติมของแฟนตอนมัธยม เขี้ยวของน้องหมาที่บ้านกระชากเพราะคิดว่าขนม หรือรอยน้ำมันจากการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่หลบยังไงก็ไม่พ้น บางคนรวมถึงคุณเองอาจจะเรียกว่า ‘ความสกปรก’ หรือจะรอยตำหนิในรูปแบบไหนก็ตาม แต่สำหรับ ‘เต๋า–นพเก้า เหมวิจิตร’ สิ่งนี้คือเรื่องราวอันน่าหลงใหลเสมอ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เราได้มาคุยกับเต๋า และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำหนึ่งของเขา ซึ่งเต๋าบอกว่าการได้เจอกับผู้คนใหม่ ๆ คือหมุดหมายในใจที่เขาเลือกเปิดร้านเสื้อผ้าวินเทจชื่อ Memoriesbrand ร้านในรัชดาภิเษกซอย 10 ที่ไม่ได้มีเพื่อแค่อ้าแขนรับคนรักของวินไทยในไทย แต่ชาวต่างชาติก็ถึงขั้นต้องบินมาเลือกของจากที่แห่งนี้อยู่เสมอ
และบทสัมภาษณ์ในครั้งนี้จะเป็นการคุยกับเต๋าเรื่องที่ยังไม่ค่อยเห็นใครคุยกับชายหนุ่มคนนี้มากนัก Japanese Vintage Fashion เสื้อผ้าวินเทจญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์ความประณีตระดับที่เรามักใช้คำว่า “โคตรญี่ปุ่น” กันได้แบบไม่รู้จักเบื่อ แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Memoriesbrand มาก่อน อย่าเอานิ้วเลื่อนไวจนเกินไป ค่อย ๆ อ่านบรรทัดถัดไป ให้ UNLOCKMEN ได้พาคุณไปรู้จักกับชีวิตของผู้ชายคนนี้กัน
ทุกคนเชื่อเรื่องโชคชะตาที่ชีวิตพร้อมจะเหวี่ยงเราไปเจออะไรก็ตามที่คาดไม่ถึงมั้ยครับ หลังจากคำพูดข้างบนที่มีความทรงจำในวันเก่า ๆ ปนออกมากับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเต๋า เขาบอกเราว่าวันหนึ่งตัวเองก็ต้องการเสื้อผ้าที่ใส่แล้วรู้สึกได้แสดงออกถึงความเป็นตัวเองชัดเจนมากขึ้น
ในตอนนั้นเอง ณ ตลาดนัดรถไฟ ร้านเสื้อเวินเทจแห่งหนึ่งได้ต้อนรับชีวิต (แฟชั่น) บทใหม่ของเต๋า ด้วย French Workwear Jacket ตัวหนึ่งที่แขวนอยู่ เขาจำได้ทุกดีเทลเหมือนว่าเพิ่งเดินกลับไปสัมผัสเสื้อบนราวแขวนตัวนั้นมาเมื่อวาน เสื้อ 3 กระเป๋า Indigo Blue โทนสีน้ำเงินครามแบบฝรั่งเศส การตัดเย็บในลักษณะของคอบัว จากตรงนั้น ความหลงใหลในแฟชั่นวินเทจก็ได้เริ่มต้น
UNLOCKMEN : การนิยามว่า ‘เต๋า Memoriesbrand’ แต่งตัวแบบไหนเลยเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะว่าไอเท็มแต่ละชิ้นประกบมาจากหลายประเภทหรือต่างช่วงเวลากันทั้งหมด
จริง ๆ มันคืออย่างนั้นเลยครับ ผมไม่สามารถตัดสินตัวเองได้ว่า “ผมเป็นวินเทจ” บางทีผมก็ใส่ Apple Watch ที่ใหม่มาก ๆ คู่กับเสื้อผ้าวินเทจ ต้องบอกว่าเราชอบคาแรคเตอร์ของของไอเท็มต่าง ๆ มากกว่า ที่มันถูกดีไซน์ให้มีความเป็นตัวเองสูง
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเต๋าได้เจอ French Workwear ตัวนั้น เด็กหนุ่มวัย 20 ต้น ๆ ที่เพิ่งเรียนจบใหม่และกำลังทำงานเป็นพนักงานดูแลเรื่อง Shipment ของบริษัท Logistic ชีวิตทำงานในวันจันทร์-ศุกร์ของเขาก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย เพราะนอกเหนือจากเวลาทำงาน เวลาที่เหลือเป็นการค้นคว้า จับของ และทุ่มเทให้กับความหลงใหลในวินเทจแฟชั่นทั้งหมด
ด้วยความที่งานที่ผมทำเป็นบริษัทเยอรมันที่ไม่ได้มี Uniform บังคับตายตัว ผมก็ใส่เสื้อผ้าตามสไตล์ แล้วเราก็เริ่มสนุกกับการแต่งตัว Workwear มากขึ้น ถลำลึกเข้าไปสู่ฝั่งของ Military แตกแขนงออกไปในสายอื่น ๆ ของเสื้อผ้าที่เรียกว่าวินเทจ
โดยตอนแรกเริ่มจากเป็นคนซื้อใส่และเสพก่อน จากนั้น บางตัวที่เรารู้สึกเบื่อแล้วเราก็เริ่มโพสต์ขายใน Facebook เริ่มขายเหมือนคนทั่ว ๆ ไปปกติเลยครับ หรือเปิดบูธตามอีเวนต์ในสถานที่ต่าง ๆ แล้วมันก็เริ่มมีรายได้เข้ามา ผมก็ค่อย ๆ ปั้นจากตรงนั้น หล่อหลอมประสบการณ์จากตรงนั้น ตอนหลังเราก็เริ่มซื้อไซส์ที่ไม่ใช่ไซส์ตัวเองเพื่อเอามาขายจริงจัง ซึ่งเราก็ขายควบคู่กับงานประจำมาเรื่อย ๆ
สิ่งที่เต๋าใช้เวลาเล่าไปไม่ถึง 2 นาทีในบรรทัดก่อน มันคือชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 4-5 ปี เด็กหนุ่มในตอนนั้นเข้าออฟฟิศทำงานประจำในวันจันทร์-ศุกร์ พอเข้าเสาร์-อาทิตย์ก็ไปเดินสวนจตุจักร พกแพชชั่นเต็มกระเป๋าเพื่อที่จะได้ศึกษาแฟชั่นวินเทจที่ตัวเองหลงใหลอย่างจริงจัง แล้วหลังจากที่ทำไปได้สักพัก ก็เริ่มสะสมฐานลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติเพราะว่าการ Selected ของที่แม่นยำมากขึ้น
หน้าร้าน Memoriesbrand สาขาแรกที่เราสัมภาษณ์กันอยู่คือบ้านที่เต๋าเคยใช้อยู่อาศัย ก่อนจะดีไซน์ Display จนเป็นภาพคุ้นตาอย่างทุกวันนี้ เต๋าเล่าต่อว่า การที่ใช้เวลาในงานประจำมากกว่างานอดิเรกแต่อย่างหลังกลับได้เงินมากกว่าทำให้เขากลับมาคุยกับตัวเองอย่างจริงจัง แล้วพบว่าสุดท้ายต้องเลือกสักทาง เพราะถ้ายังทำอยู่อย่างนี้ เขาจะไม่มีวันก้าวหน้าในงานประจำ และกับความฝันในวินเทจเองก็คงไปได้ไม่ไกลนัก ด้วยความที่อายุเพียง 20 ต้น ๆ เต๋าพบว่าเสี่ยงตอนนี้ล่ะเหมาะสุดแล้ว
UNLOCKMEN : การที่เราใช้เวลาไปกับงานอดิเรกในเสื้อผ้าวินเทจได้แค่ 2 วัน จนมันทำให้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ ก็แสดงว่าเวลา 2 วันตัวนั้นต้องมี Life Routine ที่เข้มข้นมาก ๆ
แล้วมันไม่ใช่แค่ 2 วันด้วยนะ หลังจากที่เลิกงานประจำเสร็จเราก็กลับมาทำงานอดิเรกต่อด้วย มันเป็น 5 ปี ที่เหมือนว่าเราลืมเวลาไปเลย เพราะใช้ 7 วัน 24 ชั่วโมงครบกับทั้ง 2 อย่าง มันหลงใหลซะจนเราไม่ได้โฟกัสเรื่องเวลา ไม่ได้หยุดพักด้วยซ้ำ ในช่วงเวลา 5 ปีตลอดที่ทำมาผมใช้ชื่อว่า Memoriesman ก่อน ลูกค้าเก่า ๆ ที่รู้จักเราตั้งแต่ช่วงก่อนที่จะมาทำ Memoriesbrand ก็จะรู้จักผมในนามของ ‘เต๋า Memoriesman’
UNLOCKMEN : ตรงทางแยกที่ต้องตัดสินใจเลือกสักอย่างใช้เวลาตัดสินใจนานขนาดไหน
ผมยอมรับเลยว่าตอนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยาก มันไม่ใช่แค่เรื่องความรู้สึกของเรา มันไม่ใช่แค่ความอยากจะทำของเรา มันต้องดูในหลาย ๆ มิติ ต้องดูเรื่องการเงินของตัวเอง ดูเรื่องเศรษฐกิจ ดูไปถึงเรื่องของแนวโน้มต่าง ๆ ซึ่งมันก็เป็นความคิดที่เด็กมาก ๆ จากประสบการณ์ ณ ตอนอายุเท่านั้น แต่ก็ท้าทายมากเหมือนกัน
ผมใช้เวลาคิดกับมันหลายเดือนอยู่ครับ แต่โชคดีที่หัวหน้าเขาเห็นเราตั้งใจทำทั้ง 2 สิ่งนี้มาตลอด ทั้งงานประจำก็ดี ทั้งงานอดิเรกก็ดี เวลาเขาชวนไปปาร์ตี้ ชวนไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เราก็จะบอกว่าผมต้องกลับไปขายของตลอด เราบอกรายได้ของ Memoriesman ให้เขาฟัง ซึ่งมากกว่ารายได้ของงานประจำ 3-4 เท่า เขาก็เข้าใจผมเลย เพราะเขาก็เป็นพี่ที่อยากให้เราได้ดีจริง ๆ ก็บอกผมแค่ว่าออกไปแล้วก็ตั้งใจทำด้วย
จากนั้นเลยตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ทีนี้ผมก็รู้ทางของตัวเองชัดเจนละ ก็เลยมาทำการ Rebrand เป็น Memoriesbrand ขึ้นมา แล้วก็คิดคอนเซปต์ “Everything Has Its Own Story” เพราะทุกอย่างมีเรื่องเล่า มีเรื่องราวของตัวเองเก็บเอาไว้อยู่ เราพยายามแตกไลน์เป็น Men เป็น Women เป็น Outdoor เป็น Home & Gallery
UNLOCKMEN : ในช่วงเวลา 5 ปี ที่เต๋าบอกว่าสะสมฐานลูกทั้งจากไทยก็ดีหรือจากต่างชาติก็ดี ความพิเศษอะไรที่ทำให้ลูกค้าหลงใหลในการ Selected ของ Memoriesman ในตอนนั้น
ถ้าเราพูดถึงตลาดเสื้อผ้ามือสองมันยังกว้างมาก ๆ ครับ ตลาดเสื้อผ้ามือสองมันคือของที่ถูกใช้แล้วเนอะ แต่ในตลาดของเสื้อผ้าวินเทจจริง ๆ มันจะมีเรื่องราวของแต่ละอัน ของแต่ละไอเท็ม ที่มันมีเรื่องราวที่แตกต่างกันมาก ๆ ยกตัวอย่างเช่น เสื้อในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงสงครามโลกมันก็จะมีทหารหลาย ๆ หน่วย หน่วยทหารบก ทหารอากาศ หรือทหารเรือ ในแต่ละหน่วยมันก็จะมีย่อยลงไปอีก หน่วยทหารอากาศจะมีหน่วยรบพิเศษ อย่างหน่วยทหารเรือก็จะมีหน่วย SEAL ซึ่งเราดันหลงใหลในรายละเอียดของเรื่องราวพวกนี้ ก็ศึกษาสิ่งเหล่านี้ถ่ายทอดผ่าน IG ลูกค้าที่เขามีรสนิยมคล้าย ๆ กัน เขาก็เลยตัดสินใจเข้ามาหาเราที่นี่ เพราะสไตล์การเลือกของของเรา
ผมว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเรื่อง Item Knowledge ด้วยความที่เราอินกับของวินเทจจริง ๆ เราเข้าไปศึกษากับมันจริง ๆ เรารู้ว่าทำไมมันถึงมีคุณค่า ทำไมต่างชาติถึงให้คุณค่ากับสิ่งนี้ แล้วก็อาจจะเป็นเรื่องความหลากหลายด้วยครับ
ในโลกของวินเทจจากประสบการณ์ที่ผมเคยเห็น บางคนถ้าเขาชอบฝั่งของอเมริกา เขาก็จะยึดแต่ของฝั่งนั้นอย่างเดียว Levi’s / Lee / U.S. Military แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้จำกัดตัวเองแค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง มันเลยทำให้มันมีความหลากหลายในการเลือกของ เกิดเป็นความพิเศษขึ้นมา
UNLOCKMEN : เหมือน Memoriesbrand เป็น Vintage Shop ที่หาของได้เก่งด้วย
ใช่ครับ ส่วนมากลูกค้าที่มา Memoriesbrand เป็นลูกค้าที่ในภาษาวงการคือ ‘รู้ของ’ แล้วเราสามารถหาของ Type ประมาณนี้ให้เขาได้ เขาเลยตัดสินใจมาในซอยเปลี่ยว ๆ ที่มีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ (หัวเราะ)
จริง ๆ สำหรับเราที่เป็นคนสัมภาษณ์เอง หัวใจหลักของการคุยกับเต๋าในวันนี้ที่อยากรู้ที่สุดเลยตั้งแต่เตรียมตัวทำคำถาม คือการถามเขาออกไปว่า “อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนหลงใหลของวินเทจ” เสื้อผ้าที่เก่าและผ่านอายุการใช้งานมาอย่างยาวนาน แล้วไม่ใช่แค่หลงใหล แต่ยังให้ค่ายิ่งกว่าของใหม่หลาย ๆ ชิ้นด้วยซะอีก
มันก็เป็นพาร์ทของ ‘ของเก่า’ ครับ เป็นเรื่องของคุณค่าทางจิตใจ ความทดแทนกันไม่ได้ ความไม่ซ้ำกับใคร ไม่ต่างจากนาฬิกาเก่า หรือรถเก่า ซึ่งมันก็มีของใหม่ทดแทนแหละ แต่ว่าสิ่งที่สามารถตอบคุณค่าทางจิตใจได้ ผมว่าของเก่าอาจจะตอบตรงนั้นมากกว่า
นี่คือมุมมองของผมเองนะ อย่างรถเก่าบางคนบอกว่าขี่สบาย ผมว่ารถเก่าอาจจะไม่ได้ขี่สบายเท่ารถใหม่แน่นอน แต่ว่าความคลาสสิก Feeling รถใหม่ก็ให้ไม่ได้ เสื้อผ้าเก่าก็คล้าย ๆ กันครับ เป็นคุณค่าทางใจ ซึ่งผมว่าคนเรามันต้องมีบางพาร์ทที่อาจจะต้องการหาบางสิ่งที่สามารถตอบแทนคุณค่าทางใจได้ จะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเท่านั้นเองครับ
และบรรทัดถัดจากนี้ไปคือพาร์ทวินเทจ Made In Japan แบบ 100% สำหรับผู้ที่หลงใหลในเสื้อผ้าเก่าจากประเทศญี่ปุ่นเหมือนเต๋า
สิ่งที่เรียกว่า Japanese Vintage Fashion หรือ ‘เสื้อผ้าวินเทจญี่ปุ่น’ ก็คือเสื้อผ้าเก่าที่ถูกผลิตมาแล้วในอดีต ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเสื้อผ้าวินเทจของแต่ละประเทศก็จะมีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันไป กับเสื้อผ้าวินเทจญี่ปุ่นเองก็จะมีไซส์ วัฒนธรรม วิธีการคิดที่ไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งมันคือความใส่ใจในรายละเอียด ความพิถีพิถันในการเลือกหาวัสดุ ตั้งแต่กระดุม เนื้อผ้า การตัดเย็บ จะแตกต่างจากฝั่งอเมริกา ยุโรป อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเทียบในสไตล์เดียวกันอย่าง Military / Work Wear / Casual Clothing ไปจนถึง Traditional ของตัวเอง
ตัวผมเองมีความหลงใหลในเสื้อผ้าวินเทจญี่ปุ่นตอนช่วงเวลาระหว่างทางที่เริ่มต้นศึกษาเสื้อผ้าวินเทจ เพราะเราก็จะได้เห็นเสื้อผ้า Made In Japan ผ่านเข้ามาตลอด ซึ่งในทีแรกยังไม่เข้าใจหรอกครับ ทำไมมันถึงมีความเป็นสีย้อมคราม Indigo คล้าย ๆ กับฝรั่งเศส มีการใช้กระดุมไม้แบบฝั่งฮาวาย จนเราค่อย ๆ ศึกษาจนพบว่าในฝั่งของญี่ปุ่นเอง จะมีช่วงยุค ๆ นึง เขาก็ใช้วัสดุที่เป็นกระดุมไม้ไผ่เหมือนกัน ซึ่งมันก็เชื่อมโยงกับฝั่งของฮาวาย เพราะฮาวายจริง ๆ มันก็มีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น มันก็คือกระดุมไม้ไผ่ที่ใช้ในยุคใกล้ ๆ กัน หรือแม้แต่กระทั่งการย้อมครามของฝั่งญี่ปุ่นเอง ก็จะมีคาแรคเตอร์ของสี Indigo ที่แตกต่างจากฝั่งของจีน ไทย หรือฝั่งของยุโรป ซึ่งพอเราเห็นผ่าน ๆ มาเรื่อย ๆ ได้สัมผัสมามาก ๆ ก็ทำให้เริ่มแยกออกว่าคาแรคเตอร์ของฝั่งญี่ปุ่นจะมีคาแรคเตอร์ Over all แบบไหน
UNLOCKMEN : มันมีวัฒนธรรมร่วมเยอะแค่ไหนในตอนนั้นที่เสื้อผ้าแนวเดียวกันหยิบยืมวัฒนธรรมของกันและกัน
มันแล้วแต่ช่วงแล้วแต่ยุค ถ้าย้อนกลับไปในอดีตจริง ๆ คำว่า ‘แฟชั่น’ อาจจะยังไม่เกิดด้วยซ้ำ ตอนนั้นเขาอาจจะไม่ได้คิดว่าใส่แล้วต้องเท่ ต้องดูดีขนาดนั้น ยกตัวอย่างเช่น ในยุคของสงคราม ตอนนั้นคนแค่คิดที่จะสามารถอยู่รอดได้ในภาวะสงครามเท่านั้นเอง เป็นเสื้อผ้าที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อฟังก์ชั่นล้วน ๆ อาจจะใช้วัสดุที่ถูกและทนทานที่สุด แล้วก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ หลังจากยุคสงครามก็ยังขาดแคลนอยู่ ก็ยังคงใช้วัสดุที่หลงเหลือจากสงครามแต่ก็เริ่มที่จะพัฒนามาในเรื่องของการใช้งานจริง ๆ พอภาวะสงครามมันคลายไปก็มีการเริ่มมองในเรื่องของแฟชั่นมากขึ้น มีความสวยงามมากขึ้น
แต่ถ้าเราพูดเสื้อผ้าในปัจจุบันก็เรียกว่ามีการหยิบยืมแรงบันดาลใจจากเสื้อผ้าวินเทจญี่ปุ่นเยอะเลย ดีไซเนอร์หลาย ๆ แบรนด์ใหญ่ก็พยายามค้นหา Matrieal ไอเดียหรือวัสดุสิ่งของ แล้วพยายามเบลนด์ให้เป็นตัวเองมากที่สุด อย่างที่เห็นชัด ๆ ก็มีแบรนด์ Kapital ที่หยิบยืม Boro Jacket ผ้าดั้งเดิมญี่ปุ่นมาทำเป็นแจ็คเก็ตของตัวเอง
พาร์ทนี้จะเป็นความทรงจำระหว่างเต๋ากับประเทศญี่ปุ่นที่เขาเคยใช้เวลาช่วงหนึ่งอาศัยและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเพื่อซึมซับความเป็นผู้คนให้เข้าใจว่าทำไม Japanese Vintage Fashion ที่เต็มไปด้วยความประณีตในทุกเรื่องราว
พอผมเริ่มรู้เส้นทางของตัวเองว่าหลงใหลเสื้อผ้าวินเทจ ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ๆ ของโลกที่อยู่ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าวินเทจ ผมเลยคิดว่าการได้ไปเรียนรู้กับปรมาจารย์ที่อยู่กับสิ่งนั้นมาหลักทศวรรษจะเป็นโอกาสที่ดี ไม่ว่าจะทั้งเรื่องทัศนคติ การ Selected รวมถึงความรู้ในดีเทลของต่าง ๆ ของเสื้อผ้าวินเทจ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ผมเข้าไปเรียนรู้ซึมซับวัฒนธรรมตรงนั้น
ผมเรียนภาษาควบคู่กับหาประสบการณ์ 3 เดือน โดยการเลือกอยู่เกียวโตเป็นหลัก เพื่อจะเรียนรู้วัฒนธรรมเก่า ๆ วิถีเก่า ๆ จากผู้คนที่นั่น ผมใช้เวลาของตัวเองแบ่งเป็น 2 พาร์ทเหมือนตอนทำงานประจำ 1.เรียนภาษาอยู่ในห้องเรียน 2.ใช้เวลาเดินทางออกนอกเมืองค้นหาประสบการณ์ โดยปักหมุดไปที่ร้านเสื้อผ้าเก่าทั้งหมด เดินทางตั้งแต่คุมาโมโตะไปถึงเซ็นไดเป็นระยะทางหลายพันกิโล ผมเข้าไปถึง Collector , Dealer และ Wholesale
แล้วจุดแวะพักมีหลายเมืองเลยครับ แต่ว่าก็ค่อย ๆ เดินทางจากใกล้ ๆ ก่อน เริ่มจากในเมืองเกียวโต ค่อย ๆ ขยายมาโอซาก้า เพราะว่ามันต้องเป็นลักษณะเหมือนเดินทางไปกลับเพื่อที่จะกลับมาที่เกียวโตเพื่อเรียนภาษา แต่มันก็จะมีช่วงหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผมก็จะเดินทางไปไกลหน่อย ในช่วงท้าย ๆ ของทริปนั้นก็จะเป็นฟรีละ หมายถึงว่าเราจบคลาส ทีนี้ผมก็เดินทางมาไกลแบบไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้เลย
แต่จริงๆ ผมไม่ได้ไปแต่ร้านเสื้อผ้านะ ด้วยความที่เรามองว่าของวินเทจมันมีเสน่ห์ทุกอย่าง บางทีผมก็ไปหาเฟอร์นิเจอร์เก่า ทั้งฝั่งญี่ปุ่นเองก็ดี หรือเฟอร์นิเจอร์จากฝั่งยุโรปกับอเมริกาก็ตาม
มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังถึง ‘นักสะสม’ คนหนึ่งที่ผมนัดขอเข้าเจอ ที่เก็บของของเขาเป็นโกดังที่เต็มไปด้วยไอเท็มในแบบที่ว่ามีเงินร้อยล้านก็ซื้อได้ไม่หมด เป็นของที่ระดับโลกตามหา แล้วชายคนนี้เป็นคนที่ No Profile มาก ๆ ด้วยนะครับ
นาทีแรกที่เราเจอกัน เขาบอกกับผมว่า “คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงให้คุณเข้ามาที่นี่ ?” ก่อนจะว่าเขาดู Profile ของผม แล้วพบว่าตัวผมตัดสินใจเดินทางมาอยู่ที่ญี่ปุ่น 3 เดือน เพื่อเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งสิ่งนี้เอง มันสะท้อนให้ชายคนนั้นคิดถึงตัวเองในตอนที่อายุเท่ากับผม ในอดีตเจาได้ตัดสินใจไปอยู่ที่อเมริกาเพื่อจุดประสงค์ที่ไม่ต่างกัน มันเป็นการตัดสินใจที่สะท้อนถึงตัวเอง ในความเด็ดเดี่ยวที่จะเลือกเดินทางไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้าน เพื่อออกตามหาบางอย่าง ตาม Passion ตอนที่เจอกันวันนั้นเขาน่าจะอายุประมาณ 50-60 ปี
UNLOCKMEN : ทริปญี่ปุ่น 3 เดือนในตอนนั้น เปลี่ยนแปลงมุมมองที่เต๋ามีต่อของวินเทจไปอย่างไรบ้าง
จริงๆ สำหรับผม Memoriesbrand มันคือการเดินทางอย่างนึงที่เราค่อย ๆ โตกับถนนเส้นนี้ ทุก ๆ การตัดสินใจในทุก ๆ การออกเดินทางในแต่ละครั้งผมจะได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ กลับมาเสมอ
แล้วมันก็จะหล่อหลอมให้ Memoriesbrand เติบโตขึ้น มีองค์ความรู้มากขึ้น มี Knowledge มากขึ้น ซึ่งจากการเดินทางไปญี่ปุ่นในตอนนั้นทำให้ผมได้รู้อะไรหลาย ๆ อย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของญี่ปุ่นก็ดี คุณค่าต่าง ๆ เพราะของบางอย่างเราไม่สามารถรู้ Story มันได้จริง ๆ แต่ว่าพอไปถึงตรงนั้นผมสามารถถามคนญี่ปุ่นได้เลยว่านี่คือเสื้ออะไร มันดูยังไง คำนี้มันแปลว่าอะไร แล้วทำไมมันถึงมี Cutting แบบนี้ ทำไมเขาถึงเลือกใช้วัสดุแบบนั้น
สำหรับผมมันคือพอผมรู้มากขึ้น มันทำให้ความรู้ของเรามันกว้างขึ้น เวลาเราไปหาของมันทำให้เราสนุกมากขึ้นกับการที่เราไปเลือกของ เพราะว่าของบางอย่างมันอาจจะเหมาะกับคนโอซาก้า มันอาจจะเหมาะกับร้านนี้ แต่ของบางอย่างมันอาจจะเหมาะกับโตเกียว หรือของบางอย่างอาจจะเหมาะกับคุมาโมโตะ
ซึ่งอันนั้นคือในเรื่องของความรู้ Product แน่นอนเราได้แล้ว แต่ว่ามันจะมีเรื่องของความรู้ในมิติอื่น ๆ ในเหลี่ยมอื่น ๆ อีก อย่างเช่น เรื่องของวิธีการคิด ว่าทำไมเขาถึงเลือกของสไตล์ประมาณนี้ ทำไมเขาถึงชอบของประเภทนี้ หรือแม้กระทั่งการทำธุรกิจ อย่างที่ผมบอกไปตอนแรกว่าคนญี่ปุ่นเขาทำธุรกิจเสื้อผ้าวินเทจมาตลอด 30 40 ปี สำหรับผมมันคือครึ่งชีวิตของคนคนนึงเลยนะ
เขาต้องผ่านอะไรมามากมาย ทั้งอุปสรรคต่าง ๆ เศรษฐกิจที่ไม่ดี เขาล้มลุกคลุกคลาน แต่ก็ยังอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ ผมชื่นชมกับการดำเนินธุรกิจของคนญี่ปุ่นมาก ๆ แล้วเวลาเดินเข้าไปในร้านของคนที่ทำธุรกิจวินเทจแบบนี้มันเหมือนเดินเข้าไปสู่จิตวิญญาณของเจ้าของร้านจริง ๆ ทุก Display คือความเป็นตัวตน คือรสนิยม และคือ Selection ของเขาจริง ๆ
มีครั้งหนึ่งผมคุยกับเจ้าของร้านวินเทจชาวญี่ปุ่นแล้วจำได้แม่นเลย เขาบอกว่า “ของบางอย่างตลอด 40 ปี เคยเจอแค่ 2 ครั้ง” มันทำให้ผมสะท้อนเลยว่า ของบางอย่างมันคงต้องรอเจ้าของจริง ๆ ในการที่เราจะสามารถส่งต่อให้กับใครบางคนที่ชอบหรือหลงใหลในสิ่งเหล่านี้
ก่อนจบบทสนทนาในครั้งนี้ เราเชื่อว่าทุกคนเข้าใจความรู้สึกของความเป็น Japanese Vintage Fashion ที่ไม่เหมือนกับเสื้อผ้าประเภทอื่นแล้วล่ะ แต่เพื่อให้สามารถให้ได้เห็นภาพที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เราขอให้เต๋าเลือกไอเทมวินเทจ Made In Japan ในสไตล์ที่แตกต่างกัน 3 ชิ้น แล้วคุณจะเข้าใจทันทีเลยว่า อ๋อ ๆ วินเทจญี่ปุ่นนี่มันสุโค่ยดีเทลตัวจริง
ตัวนี้เป็นเสื้อ Military ของ Japanese ในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ความพิถีพิถันในการออกแบบเรียกว่ามีความญี่ปุ่นในหลาย ๆ จุดมาก ด้วยที่แจ็คเก็ตตัวนี้ออกแบบมาเพื่อใช้ในช่วง Summer มันจะมีดีเทลกระเป๋าเล็ก ๆ อยู่ที่สีข้างลำตัว “มีเพื่ออะไร ?” เขาออกแบบมาเพื่อระบายอากาศได้เพิ่มในวันที่ร้อนมาก ๆ ซึ่งจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องคิดดีเทลขนาดนี้ก็ได้แต่นี่คือความเป็นญี่ปุ่น
หรือแม้กระทั่งการตัดเย็บในช่วงข้างในของกระเป๋าข้างมันจะมีลิ้นถึงสองชั้น เขาใส่ใจในเรื่องของรายละเอียดตรงที่ถ้าสมมติว่าพอเราใช้ไปมาก ๆ ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ล้วงเอาของเข้าออกอยู่ตลอดเวลา มันก็อาจจะปลิ้นและขาดได้ ก็เลยดับเบิ้ลผ้าเข้ามาอีกชั้นนึงเพื่อให้มันทนทานมากขึ้น
แล้ว Military Jacket ตัวนี้การตัดเย็บก็จะมีความ Tailor Made อยู่ เขาก็ยังใส่ใจในเรื่องของทรวดทรง ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องแบบชุดทหารก็จริง แต่ว่าลักษณะของทหารที่ใส่เนี่ยมันก็ยังต้องการความดูดีอยู่ด้วย
วัตถุประสงค์ในการผลิต เสื้อ Sukajan คือเสื้อที่เป็นของที่ระลึก ให้คนสามารถซื้อไปสวมใส่ได้และสะท้อนถึงสถานที่ที่ตัวเองไปได้ไปเที่ยวมา ไม่ว่าจะเป็นต่างชาติก็ดี หรือคนญี่ปุ่นก็ดี ในบางตัวอาจจะเขียนถึงชื่อเมืองเลย หรืออาจจะเป็นสถานที่สำคัญ
ตัวนี้เป็น Reversible สามารถใส่ได้ทั้ง 2 ด้าน ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เวลาหนาวก็หนาวเลย เขาเลยมีเสื้อทั้งแบบ Sukajan ที่เป็นแบบเหมือนทรง Bomber ด้วยก็ดี แล้วก็จะมีที่เป็นแบบทรงเชิ้ตด้วยก็ดีในช่วง Summer อย่างตัวนี้ก็ชัดเจนเลยว่าคือ Supparo Japan ส่วนอีกตัวสีออกแดง ๆ ที่ผ้าบางกว่าเรียกว่า 1st Model ครับ
Reversible ตัวนี้แพทเทิร์นจะมีความ Modern แต่อีกตัวจะมีความแบบเป็น Traditional เหมือนญี่ปุ่นเริ่มจากการที่ปักจากเสื้อทรงประมาณนี้ก่อน จะเห็นว่ามันก็ยังมีความสะท้อนถึงความเป็นญี่ปุ่นเก่าอยู่ ด้วยการตัดเย็บที่มันเป็นแบบมีความเป็นเอเชียก็ดี เรื่องกระดุมที่ใช้ไม้แล้วหุ้มด้วยผ้าก็ดี แล้วก็ค่อย ๆ พัฒนา
นอกจากความสวยงามแล้ว ฟังก์ชั่นของ Reversible คือทำให้ผ้ามันหนาขึ้น เพิ่มความอบอุ่น ด้วยการเป็นผ้าสองชิ้นประกบกัน แล้วจากฟังก์ชั่นนี้เขาก็ทำให้มันสามารถใส่ได้ทั้งสองด้าน อย่างซิปเองเขาก็เลือกคิดพิถีพิถันมาว่าพอใส่ได้ทั้งสองด้านมันจะต้องมีหัวซิปทั้งสองฝั่ง มันทำให้ไม่ว่าคุณจะใส่ด้านไหนก็สามารถรูดได้
ต้องบอกว่าในโลกของวินเทจการที่เราจะหาเสื้อผ้าบางอย่างให้มันฟิตกับเราได้เป็นอะไรที่ยากมาก ๆ ยิ่งเป็นกางเกงก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ นอกจากเรื่องไซส์ของเอวแล้ว มันเป็นเรื่องความยาวขาด้วย
ความพิเศษของกางเกงตัวนี้ ด้วยความที่ผมไปอยู่เกียวโตเป็นเวลา 3 เดือน กางเกงตัวนี้ป้ายมันเขียนว่าเกียวโตเลย แล้วตอนที่ลองใส่ผมรู้สึกเซอร์ไพรส์มาก ๆ เพราะว่ามันพอดีทั้งความยาวและเอว เป็นกางเกงที่จะสะท้อนความทรงจำของผมทุกครั้งเวลาที่ผมจับหรือเอามาใส่ สะท้อนว่าครั้งนึงผมเคยอยู่ที่เกียวโตด้วยเหตุผลบางอย่าง ด้วยภารกิจบางอย่าง ด้วยหน้าที่บางอย่าง ความทรงจำต่าง ๆ ผมเคยปั่นจักรยานที่ริมแม่น้ำ ผมเคยไปเจอใครคนหนึ่ง หรือเรียนรู้บางอย่างจากคน ๆ นั้น ความทรงจำมันสะท้อนกลับมาเลยครับ
ซึ่งในตัวของกางเกงเองก็มีเรื่องราวที่เขาเดินทางมาแล้วประมาณหนึ่งอยู่ด้วย กางเกงตัวนี้อยู่ในช่วงประมาณปี 1940s เป็นกางเกง Sport Wear ที่ใช้เกี่ยวกับ Baseball ถ้าดูจากกระดุมที่ดีไซน์มาเป็นรูปเหมือนเบสบอลก็จะรู้ทันที ตัวป้ายเองมันน่าจะเขียนว่า Sport Wear ด้วย ชื่อแบรนด์ที่ป้ายจางลงไปเยอะด้วยอายุของเขา ตัวนี้เป็นกางเกง Cotton 100% สีขาว ตัดเย็บด้วยทรงที่เป็นขาใหญ่นิดนึง มันก็จะใส่สบาย แล้วก็เขาใช้ลักษณะเหมือนเป็นกระดุมเหล็กที่มีสปริงข้างใน
ส่วนที่ทำให้กางเกงตัวนี้มีความเป็นญี่ปุ่นและแตกต่างจากกางเกงของประเทศอื่นคือกระเป๋าที่ค่อนข้างเล็กเป็นพิเศษ อาจจะด้วยสรีระของคนญี่ปุ่นในยุคนั้น มันก็เลยกลายเป็นเสน่ห์ ความแตกต่างที่ไม่มีในเสื้อผ้ายุคเดียวกันกับประเทศอื่น เขาอาจจะคิดมาแล้วว่าคนญี่ปุ่นตอนนั้นมีมือที่ไม่ใหญ่ ดังนั้นแล้วเราทำให้กระเป๋ากางเกงมันเล็ก เพื่อที่เวลาออกกำลังกาย ของข้างในมันจะได้ไม่กระเด็นกระดอนออกมา
นี่อาจจะไม่ใช่ไอเทมตัวที่แพงแหรือคนนิยม พูดว่าไม่ใช่เลยดีกว่า บางคนอาจจะไม่ให้ค่าเลยด้วยซ้ำ ต่อให้คนที่เป็นคนวินเทจจริง ๆ ก็ตาม แต่ส่วนตัวสำหรับผมตัวนี้มันมีค่ามาก ๆ เพราะมันคือ Memories