Guide

MUST BE THERE: 10 สิ่งที่ผมประทับใจเมื่อได้มาเที่ยว GERMANY

By: unlockmen October 18, 2015

ผมได้มีโอกาสเดินทางไปในหลากหลายที่และหลากหลายทวีป ปกติผมนั้นจะเลือกประเทศที่ห่างไกลความเจริญ ในมหาสมุทรหรือในป่า เช่น ตามถ่ายสัตว์ใต้น้ำ อย่างฝูงฉลามในประเทศฟิจิหรือเข้าไปดูวิถีการใช้ชีวิตของคนป่าในป่าอเมซอน หรือไปเขียนชีวิตการเดินทางตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุดของประเทศอียิปต์ซึ่งนับได้ว่าได้มีโอกาสไปมาแล้วทั้ง 5 ทวีปทั่วโลก

ส่วนการเดินทางครั้งนี้จะแตกต่างกว่าการเดินทางทุกครั้งที่ผมเคยไปมา คือ ผมจะได้ไปยังทวีปที่ผมยังไม่เคยไปและเป็นทวีปที่ 6 ของผม นั่นคือทวีปยุโรป ซึ่งในทริปนี้เป็นโอกาสดีที่ผมได้ไปร่วมเดินทางกับไส้กรอกบุชเชอร์ และที่ดีใจกว่านั้นคือผมได้ร่วมทริปกับคุณชมพู่ อารยาเอฮาร์เก็ต แถมยังได้เดินทางด้วยการบิน Etihad ในชั้นธุรกิจ โดยในทริปนี้ผมมี 2 สิ่งที่อยากทำ คือ หนึ่งอยากไปดูบ้านเมืองของเยอรมันนีว่ามันสวยเหมือนที่เคยดูหนังหรือเปล่า และอย่างที่สอง คืออยากจะไปปีนเขาซุกสปิทเซ่ (Zugspitze) ยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์เพื่อไปดูยิ่งสูงมันยิ่งสวยจริงไหม

อันดับที่ 1 ล่องเรือในแม่น้ำไรน์

151015-mbtgermany-1

151015-mbtgermany-2

การล่องเรือชมวิวที่แม่น้ำไรน์ซึ่งเป็น 1 ในแม่น้ำที่แปลกที่สุดอีกแห่งหนึ่ง โดยแม่น้ำจะ ไหลจากทิศใต้ขึ้นสู่ทิศเหนือ สองฝั่งข้างทางแม่น้ำไรน์นั้นเป็นวิวที่สวยงามมาก อากาศประมาณ 10 องศา เราสามารถมองเห็นตึก ปราสาทที่สร้างมาตั้งแต่ยุคกลาง และยุคโรมัน เป็นจำนวนมาก และทุ่งไร่องุ่นสำหรับทำไวน์ชั้นดี มันทำให้ วิวแม่น้ำ ภูเขา และสายลม รู้สึก โรแมนติกมากด้วยเหตุนี้ ในเดือนมิถุนายน 2002 เส้นทางล่องเรือในแม่น้ำไรน์ จึงได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมผาหินโลเรอไลน์ (Loreley Rock) ตำนานกันว่าหญิงสาวกระโดดน้ำตายบริเวณนี้ เวลากลางคืนจะได้ยินเสียงโหยหวนของหญิงสาว แต่จิงๆแล้วเป็นเสียงสะท้อนของหน้าผาที่ลมพัด

 

อันดับที่ 2 เมืองไฮเดลเบิร์ก

151015-mbtgermany-3

เมืองไฮเดลเบิร์กคือเมืองเก่าทางตอนใต้ของเมืองแฟรงเฟิร์ต เมื่อผมได้เดินทางมายังที่นี่ รู้สึกได้เลยว่าเมืองนี้คือสถานที่อันดับต้นๆในใจผม ที่ผมจะให้เป็นเมืองที่โรแมนติกเพราะความลงตัวของปราสาทและเมืองที่ซ่อนความเป็นสถาปัตย์ตั้งแต่สมัยก่อนผสมกับสมัยปัจจุบันจึงทำให้ดูลงตัว กลมกลืนแบบแปลกใหม่ และอีกอย่างนั่นคือเมืองที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย มันทำให้รู้สึกถึงความสดชื่นและข้างเมืองเก่ามีแม่น้ำเนกคาร์ ไหลผ่าน หากมองจากมุมสูงเราจะเห็นเป็นฉากประกอบระหว่างแม่น้ำ เมืองเก่า ปราสาท และภูเขา มันคือการลงตัวที่ดูแล้วงดงามมาก จนมีนักกวีที่มีชื่อเสียงของเยอรมันนีได้เดินทางมายังที่นี่แล้วได้แต่งกวีให้กับความงดงามของไฮเดลเบิร์กนี้ว่า “InchabmeinHerz in Heidelberg verloren” I lost my heart in Heidelberg เมื่อผมได้มายังเมืองนี้ผมก็จึงเข้าใจว่า ความโรแมนติกบางระดับ อย่ามาคนเดียว และ ณ ที่เมืองนี้นับว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากเมืองหนึ่งของประเทศไทยเพราะเป็นเมืองที่พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ได้ทรงประราชสมภพ ณ ที่เมืองแห่งนี้
3. ปราสาทไฮเดลเบิร์ก

151015-mbtgermany-4

บนเขาของเมืองไฮเดลเบิร์กนั้นจะมี ปราสาทไฮเดลเบิร์กถูกสร้างขึ้น ในปี ค.ศ.1300 (พ.ศ.1843) ตั้งอยู่บนเนินเขาโดยรอบมีป่าละเมาะแสนสวยให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นได้บริเวณปาร์กของปราสาทจะมีต้นไม้ใหญ่อย่างต้นเบิช ต้นเมเปิ้ล ต้นโอ๊ก เมื่อขึ้นไปอยู่บนเนินเขาที่ตั้งของปราสาทจะมีจุดชมวิวที่จะมองลงไปดูตัวเมืองเก่าไฮเดลเบิร์ก และยังเห็นแม่น้ำเนคคาร์ที่ไหลผ่านตัวเมืองไฮเดลเบิร์กอีกด้วย ปราสาทไฮเดลเบิร์กนี้มีชื่อเสียงมากมีการก่อสร้างต่อเนื่องกว่า 400 ปี ผมจึงเห็นปราสาทที่สร้างต่างยุคต่างสมัยกัน แต่กลับลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ การเข้าชมครั้งนี้ทางบุชเชอร์ได้จัดไกด์พิเศษ มาบรรยายความสำคัญของแต่ละห้องของปราสาททำให้เข้าใจว่า แต่ละอาคารแต่ละตึกมีความเป็นมาอย่างไร

151015-mbtgermany-5

 

4. ถังไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

151015-mbtgermany-6

ในปราสาทไฮเดลเบิร์กนั้นมีห้องหนึ่ง เป็นห้องเก็บไวน์ที่อยู่บริเวณใต้ตึกติดกับเฟรดริชส์บาว เป็นที่เก็บถังไวน์ยักษ์ ที่เรียกว่า Great Tunหรือ Great Barrel ซึ่งเป็นถังไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำจากไม้โอ๊กถึง 130 ต้น สามารถบรรจุไวน์ได้มากกว่า 2.2 แสนลิตร ขนาดของมันใหญ่ยังกับ บ้านสองชั้นเลย และตามประวัติบอกว่า ถังนี้มีไว้เพื่อเก็บรวบรวมไวน์จากที่ต่างๆทั่วทั้งแคว้น โดยเจ้าของไร่ไวน์จะต้องส่งไวน์มาให้เจ้าของปราสาทเหมือนเครื่องบรรณาการ และไวน์ก็จะถูกนำมาเก็บรวมกันไว้ในนี้ แต่เนื่องจากไวน์แต่ละที่รสชาติก็ไม่เหมือนกันมันจึงไม่น่าจะดื่มได้

5.  Heidelberg Student´s Kiss

151015-mbtgermany-8

151015-mbtgermany-7

เมืองไฮเดลเบิร์กนอกจากจะเป็นเมืองที่โรแมนติกแล้วยังเรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งมหาลัยอีกด้วย เพราะเป็นสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก มหาวิทยาลัยแรกของเยอรมัน และเก่าแก่อันดับสองของยุโรป เพราะฉะนั้นเมื่อสมัยปี 1863 นั้น เจ้าของร้านช็อกโกแลต จึงมีไอเดียว่า หากนักศึกษาอยากจะจีบกันหรือส่งของขวัญให้กันก็น่าจะส่งช็อกโกแลตที่มีรูปชายหญิงจูบกันให้กันและกัน จึงตั้งร้านขึ้นมาชื่อ Heidelberg Student´s Kiss ซึ่งกลายเป็นร้านที่โด่งดังมาก เพราะนักศึกษา ต่างมาซื้อสินค้าที่มีสัญลักษณ์ของร้านไปมอบให้กัน

6. เมืองแบมเบิร์ก (Bamberg) 

151015-mbtgermany-9

เมืองแบมเบิร์ก (Bamberg) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของรัฐบาวาเรีย และยังเป็นเมืองที่องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้บรรจุให้เมืองเป็นเมืองมรดกโลกในปี 1993 เมืองแบมเบิร์ก ยังถือว่าเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศเยอรมนี เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองนั้นถือว่าเป็นศูนย์รวมทางประวัติศาสตร์ที่มีความโดดเด่นทางด้าสถาปัตยกรรมและมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีอีกด้วย ทางบุชเชอร์ได้พาผมเดินชมเมืองทั้งบ่าย ตอนแรกผมว่าทำไมให้เวลานานจัง แต่พอได้เดินจริงๆ กลับตะลึงถึงความสวยงามของเมืองนี้ เวลาที่ให้มารู้สึกไม่พอขึ้นมาในทันที สถานที่ผมได้มีโอกาสได้เดินดูนั้นคือ อดีตศาลากลางเก่า (AltesRathaus) ซึ่งตั้งอยู่ในกลางของสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ข้ามแม่น้ำเร็กนิทซ์ (Regnitz River) โดยอาคารถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1386  และที่กลางเมืองแห่งนี้ยังมีมหาวิหารแบมเบิร์กหรือชื่อเป็นทางการว่า มหาวิหารแบมเบิร์กเซนต์ปีเตอร์และเซนต์จอร์จ (Bamberger Dom St. Peter und St. Georg) มีความสำคัญเป็นที่ตั้งของสังฆมณฑลของอัครบาทหลวงแห่งแบมเบิร์กโดยมหาวิหารถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรมานเนสก์สร้างครั้งแรกในปี ค.ศ.1004 โดยจักรพรรดิเฮนรีที่ 2 (Henry II) ซึ่งแล้วเสร็จในปี 1012 

7.  เมืองเรเกนสบวร์ก(Regensbury)

151015-mbtgermany-10

ณ เมืองเรเกนสบวร์กหรือแปลว่าเมืองแห่งสายฝน วันนี้ผมเดินทางมาที่นี่ในตอนค่ำ เมืองนี้มีสิ่งน่าสนใจหลายอย่างโดยเฉพราะ โบสถ์ Regensburg Cathedral เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่มีความประณีตงดงามที่สุดของเยอรมนีตอนใต้  St.Peter’s cathedral ภายในก็มีกระจกประดับ ( stained glass ) ภาพกระจกที่สำคัญ ก็จะเป็นภาพ St.Peterหรือ นักบุญเปโตร ซึ่งในภาพจะถือกุญแจอยู่เป็นกุญแจที่พระเยซูมอบให้ถือเป็นกุญแจสู่คริสตจักร  และให้ขนานนามว่า Rock ซึ่งแปลว่า ฐานที่มั่นคงของคริสตจักร

8. Oktoberfest

151015-mbtgermany-13

151015-mbtgermany-12

151015-mbtgermany-11

การเดินทางมายังประเทศเยอรมันนีครั้งนี้ หนึ่งในไฮไลท์คือการได้มาเทศกาลดื่มและกินไส้กรอกระดับโลกนั้นก็คือเทศกาล Oktoberfest  หรือชาวเยอรมันเรียกว่า Wiesn เป็นงานเทศกาลเบียร์ประจำปีของเมืองมิวนิค จัดขึ้นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ จะจัดขึ้นทุกปี ช่วงปลายเดือน ก.ย – ต้นเดือน ต.ค ของทุกปี นับว่าเป็นงานเทศกาลที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้คนมางานนี้ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน  ภายในงานจะเป็นลานกว้างที่ใหญ่มากๆ และจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งส่วนแรกจะมีเต็นท์ยักษ์ที่สามารถบรรจุคนได้ประมาณ 2 พันคน มีเต็นท์แบบนี้ประมาณ 20 กว่าเต็นท์ซึ่งภายในผมได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสรู้สึกได้ว่าทุกคนสนุกมาก เพราะต่างดื่มเบียร์ที่มีขนาดเดียวคือแก้วละ 1 ลิตรและมีวงดนตรี  ทุกคนต่างสนุกสนานร้องเพลงไป ดื่มเบียร์ไป เต้นตามจังหวะเพลงไป ส่วนอีกโซนหนึ่งคงมีไว้สำหรับคนที่ไม่ดื่มเบียร์ นั้นก็คือ สวนสนุกซึ่งผมได้มีโอกาส เดินดูทั่วงานซึ่งแต่ละเครื่องเล่นนั้นคล้ายบ้านเรามาก มีทั้งรถไฟลอยฟ้า ม้าหมุน เขาได้เอาเครื่องเล่นดังๆของโลกมาลงให้เล่นกันมากมาย แต่ที่บอกว่าเหมือนบ้านเรานั้นคือบ้านผีสิงรถไต่ถัง และเขาวงกต ให้เล่นด้วย เทศกาลนี้มีคนหลายแสนคนเข้ามาเที่ยว มาดื่มเต็มไปหมด ทั้งสนุกและแปลกตาดี

9. พระราชวังแฮเร็นเคียมเซ (Herrenchiemsee)

151015-mbtgermany-14

ลำดับที่เก้านี้ ผมได้มีโอกาสได้เข้าเยี่ยมชมภายในพระราชวังแฮเร็นเคียมเซซึ่งเป็นวังที่แสดงถึงความชื่นชมที่พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ทรงมีต่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ในห้องกระจกบนเพดานเป็นจะภาพเขียนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 ทรงประสงค์จะสร้างวังนี้ให้ทัดเทียมกับพระราชวังแวร์ซายส์ที่ฝรั่งเศษ แต่ทรงสร้างเสร็จเพียงส่วนกลางก่อนที่จะสิ้นพระชนม์โดยเหลืออีก 50 – 70 ห้องที่ยังไม่ได้สร้าง แต่เท่าที่สร้างเสร็จก็นับได้ว่าอลังการสุดๆ 

การสร้างพระราชวังแฮเร็นเคียมเซนั้นพระเจ้าลุดวิกที่ 2 ไม่ได้ทรงตั้งใจจะให้เหมือนไปเสียทุกตารางนิ้วเพราะบางส่วนที่สร้างทรงสร้างเหนือไปจากแวร์ซายส์ ห้องกระจกยาวกว่าต้นฉบับและห้องเลี้ยงรับรองมีโคมระย้ากระเบื้องไมเซ็นที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนั้นตัวสิ่งก่อสร้างยังได้ประโยชน์การใช้วิธีการสร้างที่ใหม่กว่าเมื่อสร้างแวร์ซายส์เมื่อสองร้อยปีก่อนหน้านั้น เช่นพระราชวังแวร์ซายส์ไม่มีห้องน้ำแม้แต่ห้องเดียวและระบบน้ำก็มีเพียงน้ำพุจากภายนอกตัวอาคารเท่านั้น พระเจ้าลุดวิกทรงใช้ระบบสมัยใหม่ที่มีทั้งห้องน้ำและอ่างอาบน้ำอุ่น

แต่ที่วังแฮเร็นเคียมเซไม่ขึ้นชื่อเท่าวังอื่นก็คงเป็นเพราะทางเดียวที่จะเข้าเยี่ยมชมได้คือต้องนั่งเรือข้ามไปดูเพราะวังอยู่บนเกาะภายในตัวพระราชวังสวยมากๆ ตกแต่งอย่างสวยงาม และเนื่องจากเป็นวังที่สร้างได้ไม่นาน จึงยังดูใหม่กว่าทุกวังในเยอรมันนีภายในห้ามบันทึกภาพโดยเด็ดขาดจึงไม่สามารถนำภาพความสวยงามภายในออกมาให้ดูได้

10. ยอดเขาซุกสปิทเซ่ (Zugspitze)

151015-mbtgermany-16

151015-mbtgermany-15

มาถึงลำดับสุดท้ายที่ผมชอบมากที่สุดของการมาทริปเยอรมันกับบุชเชอร์นั้นก็คือการขึ้นไปยังจุดที่สูงที่สุดของประเทศเยอรมันนี ยอดเขาซุกสปิตเซ่เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมนี สูงถึง 2,962 เมตร ชาวเยอรมันและนักท่องเที่ยวนิยมที่จะขึ้นไปเล่นสกีในฤดูหนาวหรือชมทิวทัศน์ชนิด 360 องศาในฤดูร้อน สามารถมองเห็นภูมิประเทศได้ถึง 4 ประเทศ คือ ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และเยอรมนี และทิวทัศน์สวยงามของทะเลสาบไอบ์ (Eibsee) ที่มีสีน้ำเงินเข้มสุด การขึ้นสู่ยอดเขานั้นเราจะนั่งรถไฟ ไต่เขาขึ้นไป ซึ่งใช้เวลาประมาณ เกือบ 30 นาที แต่การนั่งขึ้นนั้น รถไฟจะมีจอดเป็นระยะๆ เพื่อรับคนหรือจอดให้ถ่ายรูปวิวสองข้างทาง นับว่าสวยมากเมื่อมาถึงยอดเขาตรงที่คนส่วนใหญ่ชอบมาเล่นสกีแล้ว วิวนั้นเรียกได้ว่า สวยมากๆ  แต่ทางบุชเชอร์ ได้พาขึ้นไปยังจุดสูงที่สุดของ ยอดเขาซุกสปิดเซ่ด้วย โดยจัดให้เรานั่งกระเช้า ขึ้นไปอีก ประมาณ 5 นาทีก็ถึง บนยอดเขานั้นผมสามารถมองเห็นวิวแบบ 360 องศา เรียกได้ว่าสวยมากๆ ถือได้ว่าคุ้มมากที่ได้ขึ้นมา ณ จุดนี้ แต่มันก็ยังไม่สูงที่สุด ยังขาดอยู่ประมาณ 20 เมตรถึงจะขึ้นไปถึงสูงที่สุด แต่ตรงจุดนั้นจะต้องปีนขึ้นไป ผมได้มีโอกาสปีนขึ้นไป ณ จุดตรงนั้น ใช้เวลาปีนประมาณ 30 นาทีก็ถึงเพราะมีคนจำนวนมากขึ้นลงจึงต้องรอจังหวะปีนด้วยแต่ถึงอย่างนั้นก็คุ้มค่าที่ได้ปีนขึ้นไป เพราะความสวยบางระดับไม่ได้วัดที่ความสูงอย่างเดียว จะต้องวัดที่สถานที่ไปด้วย

151015-mbtgermany-18

ตลอดระยะเวลา 6 วันที่ผมได้เดินทางมายังประเทศเยอรมันนีนี้ ผมรู้สึกว่าโชคดีมาก เพราะสถานที่ที่ได้มานั้นเรียกได้ว่าคัดมาแล้วว่าทั้งสวยงาม และโรแมนติกมาก ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ เทศกาลระดับโลก วิวที่สูงและสวยมาก ทำให้เปิดโลกในแบบใหม่ และผมยังคิดว่า ยังมีอีกหลายที่ในเยอรมันนีที่ยังน่าออกไปค้นหาและน่าออกไปดู แค่ 6 วันในเยอรมันนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงคำที่ได้ฟังในวันที่ไปเที่ยวไฮเดลเบิร์กว่า “I Lost my Heart in Germany.”

Special Thanks:  ขอขอบคุณบุชเชอร์ที่ให้โอกาสผมได้มาเที่ยวครั้งนี้ ได้มาดูเมืองที่เป็นต้นแบบของปราสาทแห่งเทพนิยาย  มาเทศกาลเบียร์และไส้กรอกอันยิ่งใหญ่ของโลกและได้ความรู้ใหม่ๆมากมายทั้งต้นกำเนิดปราสาท ต้นกำเนิดไส้กรอกทุกเรื่องราวล้วนแต่น่าจดจำ ทำให้ผมรู้ว่าโลกนี้สวยงามแค่ไหนอยู่ที่เรา เจอกับอะไรบ้างบนโลกใบนี้

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line