Business

4 Steps ที่ทำให้อัตราการลาออกของเด็ก Gen Y พุ่งกระฉูด

By: unlockmen March 26, 2016

หลังจากที่เราได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของธุรกิจหลายๆคน พบว่าตอนนี้หลายๆ ที่มีปัญหาเดียวกัน คือ การที่เด็กรุ่นใหม่มีความมั่นใจสูงมาก จนทำให้มีการลาออกจากการทำงานสูงขึ้นและส่วนใหญ่จะให้สาเหตุว่า อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งความจริงแล้วการมีเป้าหมายการมีธุรกิจส่วนตัวนั้นเป็นสิ่งที่ดี  และในทางกลับกัน เทรนด์นี้ก็เป็นแนวโน้มที่อาจเป็นผลเสียต่อเด็กที่มีความมั่นใจสูงเช่นกัน เพราะอาจจะตัดสินใจอะไรเร็วเกินไป และอันตรายต่อบริษัทที่เสี่ยงต่อการไม่สามารถบริหาร Human Resource ได้

ในเมื่อมันเป็นเทรนด์ที่ชัดเจน เราจึงคิดว่าน่าจะวิเคราะห์ถึงสาเหตุ ที่เราได้รวบรวมจากการพูดคุยกับหลายๆ ธุรกิจ สำหรับคนที่กำลังรุ่งจะได้นำไปปรับใช้ หรือให้เจ้าของธุรกิจได้เตรียมวางแผนรับมือเทรนด์ที่นับวันจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ

160326-overcinfidence-1

Level 1 – ความมั่นใจสูงเกินไป

จริงๆ แล้วมันไม่แปลกถ้าเราเป็นคนเก่งแล้วเกิดมีความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำไป เพราะคนที่ทำอะไรอย่างมั่นใจจะดูน่าเชื่อถือตามไปด้วย น่าเสียดายที่ในบางครั้ง ความมั่นใจอันสูงมากเกินไปของดาวรุ่งอันเกิดจากการทำตามคำสั่งหรือเป้าหมายแรกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งว่ากันตามตรง เป้าหมายแรกเป็นเป้าหมายที่ง่ายที่สุด สุดท้ายความมั่นใจมากเกินไปอาจมาบดบังสายตา จนมองว่าทุกอย่างมันช่างง่ายเหลือเกิน และเริ่มมีความรู้สึกว่าคนอื่นรอบตัวช่างอ่อนหัด รู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ จนความมั่นใจกลายเป็น Ego  เช่นเดียวกับบริษัทที่คิดว่าผลงานของตัวเองดี และไม่เปิดใจรับฟัง comment ของทีมงานและลูกค้า

160326-overcinfidence-2

Level 2 – ขาดฉันไปแล้วเธอจะรู้สึก

เมื่อดาวรุ่งประสบความสำเร็จในเวลาอันสั้น ทำให้บางคนรู้สึกเก่ง รู้สึกพิเศษ เริ่มมีความคาดหวังอยากได้รับการปฏิบัติที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่าใครๆ เพราะลึกๆ รู้สึกมั่นใจว่าบริษัทหรือหัวหน้าจะต้องให้ความสนใจมาก ทำให้เริ่มกล้าพูดสิ่งที่คิดออกมาง่ายขึ้น เช่น ขอลา ขอมาสาย เดี๋ยวใกล้ๆค่อยทำก็ได้ไม่ต้องเซ้าซี้ จุดนี้มักจะเริ่มอยากต่อรองเรื่องเงินเดือน และพร้อมจะย้ายบริษัททันทีถ้าได้ข้อเสนอที่ดีกว่า

160326-overcinfidence-3

Level 3 – ทางเลือกมีเยอะแยะ

อยากได้เงิน ต้องย้ายงาน นี่คือสูตรสำเร็จที่ดาวรุ่งจำนวนมากเลือกที่จะใช้เป็นท่าไม้ตายในการขอบริษัทขึ้นเงินเดือน หลังจากเริ่มมีโอกาสได้สัมภาษณ์งานในบริษัทอื่น ส่วนหนึ่งเป็นช่องว่างจากการขาดบุคลากรเฉพาะด้าน ทำให้ต้องมีการใช้เงินต่อสู้กันเพื่อแย่งตัว แต่สิ่งที่ดาวรุ่งหลายคนมองข้ามไปคือ นอกจากเรื่องเงิน ความเสี่ยงที่อาจจะเจอจากการย้ายงานรัวๆ คือประสิทธิภาพลดลงจากการเจอความเปลี่ยนแปลงของระบบการทำงาน เช่นเคยทำงานในบริษัทขนาดเล็กกว่า มีโอกาสได้นำเสนอไอเดียและลงมือทำจริง ช่วยให้แข็งแรงด้านประสบการณ์และเก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว มีโอกาสมากมายในการลงสนามจริง ในขณะที่การย้ายไปบริษัทที่ใหญ่กว่า อาจะทำให้ขาดโอกาสในการแสดงผลงานจริงไปอย่างน่าเสียดาย รวมถึงการมีระบบการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องในวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

160326-overcinfidence-cover

Level 4 – ทำเองดีกว่า ไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร

เมื่อย้ายงานไปเรื่อยๆ สักพัก ดาวรุ่งจะพบกับอาการเบื่อหน่ายความซ้ำซากจำเจของชีวิตการทำงานประจำ จนมีคำถามผุดขึ้นในหัวว่า ทำไมตัวเราไม่สามารถใช้เวลาตามที่ต้องการได้ ทำไมตัวเราที่เก่งขนาดนี้ ต้องทำงานให้คนอื่นด้วย คำถามเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการอยากทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Freelance หรือเปิดบริษัทเองก็ตาม แต่น่าเสียดายหลายคนมองข้ามการสะสมประสบการณ์ที่มากพอ และความพร้อมของระบบต่างๆ ในการทำธุรกิจ เช่น การหาลูกค้าขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่แค่เดินดุ่มๆ เข้าไปพรีเซนต์งานได้ การหาเงินหมุนระหว่างรอ Credit Term จากลูกค้า บางราย 30 วัน บางราย 90 วัน หรือนานกว่านั้น ระบบบัญชี การวางเอกสาร การวางบิล การเก็บเช็ค และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นสาเหตุหลักที่ดาวรุ่งใจถึงหลายคนต้องม้วนเสื่อไปในเวลาไม่นาน

ทั้งหมดนี้เป็นการย่อยสรุปจากการพูดคุยกับทั้ง HR และเจ้าของธุรกิจหลายๆ คน แม้หลายคนยังคิดว่าถ้าอยากทำงานแล้วรวย ต้องลาออกไปเปิดบริษัทเท่านั้น เป็นเจ้าของธุรกิจแล้วสบาย โดยที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์หรือรวบรวมข้อมูลได้มากพอต่างจินตนาการไปในทางเดียวกัน จริงๆ แล้วการทำงานออฟฟิศแบบมีแผนการที่ดี ก็สามารถเติบโตขึ้นเป็นผู้บริหาร ที่สามารถทำรายได้จากการเป็น Consultant หรือเปิด Workshop และไม่ต้องแบกรับความเสี่ยง ความเครียดของการทำธุรกิจด้วยเงินตัวเอง ดังนั้นก่อนจะลาออกมาเป็นเจ้านายตัวเอง ลองนั่งคิดดูให้ดีว่าตัวเองเหมาะกับการทำงานในบทบาทไหนมากกว่ากันครับ

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line