Entertainment

Razzie Awards รางวัลออสการ์ของหนังห่วยที่คนชิงไม่ภูมิใจ คนได้ไม่กล้ารับ

By: unlockmen March 26, 2021

บนโลกใบนี้ มีขาวย่อมมีดำ มีมืดย่อมมีสว่าง มีดีก็ย่อมมีห่วย ดังนั้นเรามีเวทีชื่นชมหนังยอดเยี่ยมประจำปีอย่างรางวัล Oscars แล้ว ไฉนเลยเราจะมีรางวัลที่มอบให้หนังยอดแย่ไม่ได้

และรางวัล Golden Raspberry Awards หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Razzie Awards จึงมีมาเพื่อสรุปความยอดแย่ของหนังในแต่ละปี เพื่อแซ่ซ้องโห่ฮาถึงหนังในแต่ละปีที่ที่เหลือทนจนต้องมอบรางวัลให้ ซึ่งรางวัลนี้ไม่ได้เพิ่งมาจัด แต่จัดกันมาแล้วถึง 40 ครั้ง และครั้งล่าสุดก็ถือเป็นครั้งที่ 41 แล้ว

เรามาทำความรู้จักรางวัลของหนังแสนห่วยนี้ มาดูกันว่าที่ผ่านมาได้บันทึกความห่วยในแง่ไหน และปีล่าสุดนี้มีมีหนังเรื่องไหนที่ได้รับการเข้าชิงกันบ้าง

 

ค่ำคืนปาร์ตี้เกรียน ๆ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแจกรางวัลหนังโคตรห่วย

รางวัล Golden Raspberry Awards เริ่มต้นแบบไม่ตั้งใจในปี 1981 เมื่อ Copy Writer และ นักประชาสัมพันธ์ที่ชื่อ John J. B. Wilson จัดปาร์ตี้ดูถ่ายทอดสดคืนประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 53 กับเพื่อน ๆ ที่บ้านของเขาในย่านฮอลลีวู้ด เมื่อดูจบ จากนั้น John ก็นึกสนุกหยิบชุดทักซิโด้ห่วย ๆ มาใส่ เอากระดาษแข็งมาทำแท่นแจกรางวัล และเอาลูกบอลไปติดที่ด้ามไม้กวาดทำเป็นไมโครโฟนแบบปลอม ๆ และเชิญชวนเพื่อนฝูงมาร่วมโหวดรางวัลหนังห่วยแตกด้วยกัน และในค่ำคืนนั้น หนังเพลงสุดเห่ยของวง Village People เจ้าของเพลงฮิตอมตะ YMCA แต่ทำหนังได้ห่วยเกินจะรับไหวอย่าง Can’t Stop the Music ก็ประเดิมคว้ารางวัลหนังสุดห่วยยอดเยี่ยมอย่างสมเกลียด…เอ๊ยเกียรติไป

และเหตุการณ์เล็ก ๆ จากเพื่อนฝูงจำนวน 30 กว่าคน ก็ถูกพูดถึงในสัปดาห์ถัดมา เมื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นได้ลงเรื่องราวปาร์ตี้แจกรางวัลหนังห่วยในค่ำคืนนั้นกันอย่างคึกโครม จนทุกคนต่างรอคอยที่จะร่วมปาร์ตี้สุดสนุกครั้งนี้ในปีต่อ ๆ ไป จากแค่ 30 กว่าคน เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในปีต่อมา และปัจจุบันก็มีคณะกรรมการจำนวนถึง 750 คนจากทั่วโลกเพื่อร่วมพิจารณาตบรางวัลให้หนังห่วยแตกเหล่านี้ และโยกการประกาศผู้เข้าชิงและแจกรางวัลตัดหน้ารางวัลออสการ์เพียงวันเดียว

ซึ่งการตัดสินใจใช้ราสเบอร์รี่มาเป็นชื่อของรางวัลมาจากสำนวน “Blowing a Raspberry” คือเสียงที่มาจากการห่อปากแลบลิ้นอย่างโห่ฮานั่นเอง โดยรางวัลที่ทำมาอย่างลวก ๆ มูลค่า 4.97 เหรียญนั้นดาราหรือทีมงานน้อยคนนักที่จะภูมิใจมารับรางวัลนี้

 


5 หนังห่วยที่คว้ารางวัลมากที่สุด

จากประวัติศาสตร์กว่า 40 ปี ที่รางวัลนี้ได้มอบให้กับหนังสุดเห่ยมากมาย จนเกิดเป็นสถิติที่น่าสนใจที่บ่งชี้ว่า “เหนือหนังเห่ยยังมีหนังห่วย” ด้วยการคว้ารางวัลมากมายเป็นประวัติการณ์ จนได้รับการบันทึกว่านี่คือที่สุดแห่ง หนังยอดแย่ที่ต้องหามาตำก่อนตาย

5. The Twilight Saga: Breaking Dawn — Part 2 (2012)
คว้าไป 7 รางวัล

แรกเริ่มเดิมที หนังแวมไพร์ทไวไลท์ดูเป็นความหวังของหมู่บ้านในฐานะว่าที่แฮรรี่ พอตเตอร์ของเหล่าเด็กสาว Young Adult ทั้งหลาย แต่กลับกลายยิ่งฉายก็คล้าย ๆ ผิวของ Robert Pattinson ในหนังที่ซีดจางไร้สีสัน จนกระทั่งภาคสุดท้ายมันกลับกลายเป็นการสั่งลาอันน่าเศร้าใจ น้ำตาของแฟนที่หลั่งไหลไม่ได้มาจากการสั่งลาในตัวละครที่เขารัก แต่มันกลับเป็นการสั่งลาที่รู้สึกว่า “เราจะเสียเวลาหลายต่อหลายปีเพื่อมาดูบทสรุปของหนังห่วยแบบนี้ไปเพื่ออะไร”

หนังได้เข้าชิงไปถึง 11 รางวัล และสุดท้ายก็คว้าไปถึง 7 รางวัล ตั้งแต่หนังยอดแย่ / การแสดงสุดเอือมของ Kristen Stewart และ Taylor Lautner ส่วน Robert Pattinson รอดไปอย่างหวุดหวิดแค่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง รวมไปถึงรางวัลอย่างบทยอดแย่ / คู่ขวัญยอดแย่ ไปจนถึงกลุ่มนักแสดงที่ห่วยยกทีม

แน่นอนว่าการได้ทั้งรางวัลและการเช้าชิง ก็เป็นแผลเป็นที่ 2 คู่ขวัญต่างพยายามที่จะเลือกหนังที่แสดงฝีไม้ลายมือ โดยเฉพาะ Robert ที่ไปเอาดีทางหนังอินดี้และเป็น Batman คนล่าสุด และให้ภาคสุดท้ายของหนังแวมไพร์สุดห่วยนี้เป็นบทเรียนสำคัญของชีวิตไปตราบนานเท่านาน

 


4. Showgirl (1995)
คว้าไป 7+1 รางวัล

แรกเริ่มเดิมทีก่อนที่จะฉาย หนัง Showgirl ได้รับการกล่าวขวัญถึงในความกล้าหาญของผู้กำกับ Paul Verhoeven ที่ช่วงนั้นเพิ่งจะมือขึ้นจากการทำหนังพิศวาสฆาตกรรมอย่าง Basic Instinct มาหมาด ๆ ที่จะทำหนังเรท NC-17 ที่นาน ๆ ทีจะมีให้เห็นในสตูดิโอฮอลลีวู้ดที่กล้าทำหนังเรทแรง ๆ ขนาดนี้

แต่เมื่อหนังได้ออกฉาย มันไม่เพียงเป็นหายนะของนายทุนที่เจ๊งระเนระนาดเท่านั้น แต่มันยังเป็นที่สุดแห่งความทรมานทรกรรมที่คนดูหนังต้องเผชิญตลอดการรับชม เรื่องราวของสาวนักเต้นระบำเปลื้องผ้า เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ ความรุนแรงวาบหวิวที่ไร้รสนิยม ขอยกตัวอย่างซีนสุดทนอย่าง ตัวละครตัวหนึ่งกำลังจะขอมีอะไรกับผู้หญิง แต่ผู้หญิงบอกว่ามีประจำเดือน ผู้ชายจึงทำการพิสูจน์ด้วยการล้วงไปตรงนั้นแล้วชิมมัน…อวสานของคนเอาน้ำแดงไปทานในโรงหนังกันเลย จากความหวังเลยกลายเป็นความพังที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์

หนังคว้าไป 7 รางวัล จากการเข้าชิง 13 รางวัล เท่า The Twilight Saga: Breaking Dawn — Part 2 แต่เหนือกว่าเมื่อมีการแจกรางวัลเกียรติยศหนังเห่ยแห่งทศวรรษที่ 90s หนัง Showgirl ก็คว้ารางวัลแห่งความอัปยศนี้ไปได้อีกหนึ่งรางวัล

แต่ถึงกระนั่นมันกลับห่วยจนดัง เพราะหนังกลับทำรายได้ดียามเมื่อออกขายในรูปแบบของโฮมวิดีโอ ซึ่งน่าจะมาจากหนุ่ม ๆ กลัดมันที่ไม่กล้าจะเข้าโรงแต่แอบดูในบ้านยามวิกาล มันจึงกลายเป็นหนังครูสำหรับเด็กหนุ่มที่อยากมีประสบการณ์โลดโผนทางเพศแต่ยังไม่กล้าถึงขนาดดูหนังผู้ใหญ่จริง ๆ จังก็เป็นได้

 


3. I Know Who Killed Me (2007)
คว้าไป 8 รางวัล

จงลืมสาว Mean Girls ที่น่ารักน่าชังอย่าง Lindsay Lohan เมื่อชาติก่อนไปให้หมดสิ้น เมื่อพบว่าแสงสี ชื่อเสียง และยา ได้นำพาให้เธอเสียผู้เสียคน แต่ฮอลลีวู้ดก็ถือเป็นสถานที่แห่งโอกาสสำหรับคนกลับตัวอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ว่าจะเปิดโอกาสให้เธอไปรับแสดงหนังที่พร้อมจะฆ่าเธออีกรอบกับหนังแบบนี้

หนังดราม่าจิตวิทยาสุดระทึกที่นายทุนน่าจะพยายามหว่านล้อมให้เด็กน้อยที่เคยรับบทฝาแฝดในวัยเด็กอย่าง The Parent Trap ให้ลองรับบทฝาแฝดอีกรอบที่ท้าทายกว่าเดิม โดยให้เธอรับบทเป็นสาวระบำเปลื้องผ้าเสียเลย ซึ่งหนังเรื่องนี้นอกจากเป็นการไล่ล่าของฝาแฝดที่สุดแห้งแล้งแล้ว ยังสามารถฆ่าตัวละครแห่งความทรงจำเก่า ๆ ของเธอจนหมดสิ้น หนังคว้ารางวัลไปถึง 8 รางวัลจากการเข้าชิง 9 รางวัล โดยแค่ Lindsay ก็เหมารางวัลไป 3 รางวัล ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ส่งผลให้เธอในระยะยาวจนปัจจุบันก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเธอจะกลับมาเฉิดฉายในวงการได้อีกเหมือนสมัยเข้าวงการใหม่ ๆ ได้เลย

 


2. Battlefield Earth (2000)
คว้าไป 7+2 รางวัล

คงไม่มีหนังไซไฟเรื่องไหนที่เต็มไปด้วยความอิหยังวะเท่าหนังเรื่องนี้ ที่แมว 9 ชีวิตอย่าง John Travolta ที่เคยชุบชีวิตตัวเองหลังจาก Pulp Fiction ไปทีนึงแล้วอยากลองดับอนาคตตัวเองอีกครั้ง แต่หนังเรื่องนี้มันมากกว่าคำว่าหายนะในทุกภาคส่วน

ตั้งแต่ที่มันสร้างจากนิยายไซไฟของเจ้าพ่อลัทธิไซเอ็นโทโลจี้ ซึ่ง Travolta นับถือลัทธินี้อยู่ เขาจึงเป็น 1 ในโปรดิวเซอร์ที่พยายามผลักดันหนังเรื่องนี้อย่างออกนอกหน้า โดยไม่รู้เลยว่าหายนะมันมาเยือนตั้งแต่บทร่างแรก ที่ Travolta ยกย่องตั้งแต่อ่านบทเลยว่า “มันคือ Schindler’s List เวอร์ชั่นหนังอวกาศ” (โอ้โห) เท่านั้นยังไม่พอระหว่างถ่ายทำด้วยความที่ Travolta ครอบงำทุอย่างในกองถ่ายมันจึงกลายเป็นหนังที่คอสตูมสุดห่วย ซีจีสุดเห่ย ไปจนถึงการแสดงเข้าขั้นเลวร้าย ซึ่งเมื่อหนังฉายมันได้ถูกสาปส่งโดยทั้งนักวิจารณ์และคนดูต่างพากันประณามหนังเรื่องนี้ว่ามันเป็นหนังไซไฟที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดมาบนโลกเลย จนรางวัล Razzie ไม่พลาดที่จะตบรางวัล 7 รางวัลจากการเข้าชิง 8 รางวัล ให้หนังเรื่องนี้อย่างเป็นเอกฉันท์ รวมไปถึงหลายสำนักที่พร้อมยัดหนังเรื่องนี้เข้าสู่ทำเนียบหนังเลวร้ายตลาดกาล

แต่เมื่อไปถาม Travolta ว่ารู้สึกอย่างไรกับหนังเรื่องนี้ เขากลับหัวเราะหึ ๆ ว่า “หนังเรื่องนี้มันก็เหมือนกับหนังหลายเรื่องที่นักวิจารณ์ชังแต่คนดูหนังชอบ เขารู้สึกดีมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้ได้สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับคนดู และมันเป็นหนังแนวใหม่ที่ไม่เคยมีใครเคยทำ” (แหงล่ะใครจะกล้าทำหนังห่วย ๆ แบบนี้ล่ะ)

และด้วยความมั่นหน้ามั่นโหนกของ Travolta คณะกรรมการจึงตบรางวัลเกียรติยศให้อีก 2 วาระ นั่นก็คือ “หนังสุดเห่ยในรอบ 25 ปีตั้งแต่มีการมอบรางวัลมา” และ “หนังยอดแย่แห่งยุค 2000s” เอาให้จุกกันไปข้างนึงเลยนะคุณพี่

 


1. Jack and Jill (2011)
คว้าไป 10 รางวัล

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือ Travolta ยังมี Adam Sandler และหนังเรื่องนี้ก็สร้างสถิติอันยิ่งใหญ่ นั่นก็คือคว้า 10 รางวัลจากการเข้าชิงไป 12 รางวัล

หนังฝาแฝดที่ Adam Sandler ทุ่มใจแสดงเพื่อรับบทเป็นทั้งแฝดพี่เป็นผู้ชาย และแฝดหญิงที่นิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง (ทั้งสองรับบทโดย Sandler) แน่นอนว่ามันควรจะตลกในแบบที่หนัง Sandler พึงมี แต่มันกลับกลายเป็นหายนะสำหรับคนแสดง คนดูสร้าง และคนดู เมื่อมันรวมช่วงเวลาอันทุกข์ทรมานกับการทนดูความฝืดที่กลายเป็นมลพิษทางสายตา และมันพร้อมนำพานักแสดงคุณภาพอย่าง Al Pacino และ Katie Holmes ที่ถึงคราวเคราะห์ต้องโดนจับลงถังขยะเปียกไปพร้อม ๆ กัน

ซึ่งเว็บไซท์อย่าง rottentomatoes.com ก็ให้เรตติ้งหนังเรื่องนี้เพียง 3 % นักวิจารณ์หลายคนพากันสาปส่งหนังเรื่องนี้ในฐานะ “ความโง่เขลาที่ไม่ควรให้อภัย” ซึ่งรงอาฆาต และคำสาปแช่งที่มีต่อหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้ Adam Sandler มีหนังขึ้น ๆ ลง ๆ และกลายเป็นราชาของหนัง Netflix ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนักในฐานะของนักแสดงที่เคยเป็นดาราทำเงินเมื่อในอดีตที่ผ่านมา


จับตาดูหนังห่วยแห่งปี 2020

แม้ปีที่ผ่านมาหนังจะน้อยลงจนน่าใจหาย แต่มิวายที่ยังมีหนังเหลือทนที่แม้จะกักตัวอยู่ในบ้านช่วงล็อคดาวน์ยังต้องทรมานกับหนังเหล่านี้ที่พร้อมประเคนให้ชมถึงบ้าน โดยที่คุณไม่สามารถไปไหนได้อีกด้วย โดยเฉพาะปีนี้ไม่ได้มีเพียงหนังที่ห่วย แต่ยังมีหนังที่ก่อมลพิษร้ายแก่สังคมหลุดเข้ามาชิงชัยอีกด้วย ซึ่งหนังที่เข้ารอบสูงสุดในฐานะหนังยอดแย่ประจำปีมีดังต่อไปนี้

 

365 Days

หนังอิโรติกสัญชาติโปแลนด์ ที่ทำให้หนัง Fifty Shades of Grey กลายเป็นหนังขึ้นหิ้งไปเลยทีเดียว เรื่องราวของมาเฟียหนุ่มกล้ามแน่น ที่แอบรักสาวที่พึงใจด้วยการลักพาตัวไปกักขังและบังคับให้เธอรักพระเอก ด้วยองค์ประกอบที่พร้อมจะลงเหวไม่ว่าจะเป็นเลิฟซีนอันแสนจอมปลอม เนื้อเรื่องที่น้ำเน่าสุดกู่ และพร้อมมอบความรุนแรงของการคุกคามทางเพศให้กับเพศหญิง ทำให้เกิดความสงสัยว่า หนังแบบนี้ที่สร้างจากหนังสือเบสต์ เซลเลอร์ 3 เล่มจบ มันกลยเป็นหนังที่คนชื่นชมได้ยังไงวะ แถมยังมีโครงการจะทำหนังภาค 2 และ 3 ให้ครบจนจบด้วย ว่ากันว่าจะเป็นหนังที่เข้าวินคว้ารางวัลหนังยอดแย่ของปีนี้ไปครอง แถมยังสามารถรับชมได้ที่ Netflix บ้านคุณอีกด้วย


Absolute Proof

ไม่ใช่หนังฉายโรง ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรค่าแก่การเรียกมันว่าสารคดี เพราะมันคือรายการที่จัดฉากเพื่อสนับสนุน Donald Trump หลังจากแพ้การเลือกตั้งไป สารคดีชุดนี้ที่ตั้งใจจะล้มผลการเลือกตั้งด้วยการสาดเสียฝั่งการเมืองขั้วตรงข้ามด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ จึงกลายเป็นหายนะของผู้จัดทำ นั่นก็คือ Mike Lindell ที่ปรึกษาของ Donald Trump ที่โดนตั้งแต่ Twitter แบนตลอดชีพเนื่องจากไปปล่อยข่าวในทวิตเตอร์ว่าทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง รวมไปถึงสารคดีเรื่องนี้ที่กลายเป็นความอัปยศทันทีที่ฉาย ซึ่งเราอาจจะหาดูได้ยากหน่อยเนื่องจาก YouTube เองก็ยังถอดสารคดีชุดนี้ออกไปฐานบิดเบือนข้อมูล


Dolittle

หนึ่งในหนังไร้พิษภัยของ Iron Man Robert Downey Jr. ที่หลายปีที่ผ่านมาอาจจะรับบทหนักจนเกินไปในฐานะฮีโร่เกราะเหล็ก เมื่อเขารีไทร์จากทีม Avengers ไปแล้วเลย ขอรับบทผ่อนคลายที่มันเบา ๆ เสียหน่อย แต่มันก็ไม่ควรจะเบาโหวงขนาดที่จับอะไรไม่ได้เลยขนาดนี้ แถมยังเป็นหนังเฉิ่มเชยที่ไม่รู้ว่าทำไมพ่อหนุ่มโทนี่ สตาร์คถึงรับหนังที่ช่อง YouTube สำหรับเด็กบางช่องยังดูสนุกกว่าได้อย่างไร

 


Fantasy Island

หนังเรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่า ต่อให้คุณปะชื่อว่า “จากผู้สร้าง Get Out” ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสามารถดีได้ ตรงกันข้ามมันอาจจะทำให้คนตั้งความหวังแล้วเกิดผิดหวังจนโมโหมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะตามเนื้อผ้า Fantasy Island นั้นก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด แตเพราะสตูดิโอที่เคยมีงานระดับมาสเตอร์พีซขนาดนั้นปล่อยหนังบ๊ง ๆ แบบนี้มาได้อย่างไร

 


Music

หนังที่ได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาหนังยอดเยี่ยมแนวเพลงและตลกก็ไม่รอด เมื่อมีคนแสดงความไม่พอใจที่หนังเรื่องนี้มองเรื่องราวของคนเป็นออทิสติกแบบโลกสวยโดยไม่ใส่ใจว่าสังคมนั้นมองคนเป็นออทิสติกเลวร้ายขนาดไหน ไม่พอยังมีคนแฉเบื้องหลังความเลวร้ายของหนังเรื่องนี้ที่นำนักแสดงที่เป็นออทิสติกมาเล่นแล้วทำร้ายจิตใจขนาดไหน มันจึงทำให้ผลงานการกำกับของ Sia กลายเป็นหายนะอย่างไม่คาดคิดไปเลย

แต่ถึงแม้รางวัลจะตั้งใจมอบให้ความห่วย แต่โดยเนื้อแท้แล้วผู้จัดก็ไม่ได้ต้องการสาปส่งหนังเหล่านี้ให้จมดินขนาดนั้น John J. B. Wilson เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC ว่า “แม้ Razzie Awards จะเป็นการแจกรางวัลหนังห่วย แต่มันไม่ใช่เวทีแห่งการแสดงความเกลียดชัง”

“พ่อและแม่ผมปลูกฝังการรักหนังอย่างมาก ดังนั้นมันจึงมีมิติอันหลากหลายไม่ว่าหนังเรื่องนั้นจะห่วยขนาดไหนก็ตาม แม้ใน 100 คนจะมองหนังเรื่องหนึ่งห่วย 99 คน แต่การที่มีคนเพียงคนเดียวรักหนังเรื่องนั้นๆ  มันก็มีคุณค่าแล้วสำหรับคนทำงาน …รางวัลออสการ์เสียอีกที่เพ่งมองแต่สิ่งสวยงาม และเสนอแต่ความหรูหราเพียงด้านเดียว ไม่เปิดรับความสนุกอันหลากหลายที่คนทำหนังตั้งใจจะเสนอ”

และการติเพื่อก่อ ยังคงทำงานอยู่เสมอหากพบความจริงใจในแง่ของผู้วิจารณ์ รางวัล Razzie จึงตั้งรางวัล The Razzie Redeemer Award หรือแปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า “รางวัลไถ่บาปยอดเยี่ยม” สำหรับเหล่านักแสดงที่เคยได้เข้าชิงรางวัลแต่กลับเนื้อกลับตัวสร้างผลงานดี ๆ ซึ่งถือเป็นสาสน์สำคัญว่าทุกคนพร้อมจะให้โอกาสเสมอหากคุณกลับเนื้อกลับตัว

ดังนั้นจากการแจกรางวัลขำ ๆ ในหมู่เพื่อนฝูงที่ต่อยอดจนกลายเป็นสถาบันการแจกรางวัลที่น่ารักน่าชังนี้ จึงไม่ใช่แค่การแซะถึงหนังยอดแย่เท่านั้น แต่ยังเป็นบทบันทึกอีกด้านที่กลายเป็นปรากฏการณ์ให้คนได้พูดถึง แม้หนังจะย่ำแย่ แต่หนังเหล่านี้ก็ยังถือว่าเป็นบทหนึ่งแห่งตำนานเช่นกัน

Source: BBC News / The Delite / Razzie Awards

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line