จากสมาชิกกว่า 51 คนใน BNK48 จะมีเพียงแค่ 16 คน (จำนวนมาตรฐาน อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับเพลง) เท่านั้นที่จะได้รับโอกาสเป็น ‘เซ็มบัตสึ’ ในแต่ละซิงเกิ้ลหลัก ซึ่งการได้รับเลือกเป็นเซ็มบัตสึนั้นหมายถึงเมมเบอร์ทั้ง 16 คนจะได้เป็นผู้ร้องเพลงนั้น ๆ ,ได้แสดงใน MV, ได้แอร์ไทม์ในการโปรโมตซิงเกิ้ล ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเมมเบอร์คนไหนได้รับเลือกเป็น ‘เซ็นเตอร์’ แสงสปอตไลต์จะยิ่งสาดส่องให้โดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นการได้รับเลือกเป็นเซ็มบัตสึจึงสำคัญมากสำหรับสมาชิกในวง ปกติการเลือกเซ็มบัตสึนั้นทาง Official หรือบริษัทต้นสังกัดจะเป็นผู้เลือก โดยใช้เกณฑ์หลัก ๆ คือความนิยม, ยอดบัตรจับมือ, ความเหมาะสมกับเพลง และปัจจัยอื่น ๆ ที่แฟนคลับไม่อาจล่วงรู้ แน่นอนว่าการเลือกแบบนี้ย่อมไม่ถูกใจทุกคน โดยเฉพาะแฟนคลับของสมาชิกที่ไม่ได้รับเลือกก็จะเกิดคำถามว่าทำไมโอชิของเราไม่ติด ทำไมคนนั้นติด ดังนั้นเพื่อบรรเทาปัญหานี้ ยาซูชิ อากิโมโตะ ผู้ก่อตั้ง 48 Group จึงคิดค้น ‘การเลือกตั้งเซ็มบัตสึ’ ขึ้นมาเพื่อให้บรรดาแฟนคลับมีสิทธิ์เลือกเซ็มบัตสึได้ด้วยตัวเอง ซึ่ง UNLOCKMEN เคยเขียนอธิบายเรื่องนี้ไว้แล้ว (ใครยังไม่เคยทราบรายละเอียดความเป็นมาของการเลือกตั้ง 48 Group มาก่อนสามารถเข้าไปอ่านได้ที่ 48 Election ) ตั้งแต่นั้นมาการเลือกตั้งก็ได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องในระบบ 48 Group ทุกวง
Spoil Alert! เนื้อหาในบทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์บางส่วน หลังจากที่มีทั้ง Trailer และบทสัมภาษณ์มากมายออกมายั่วความอยากตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมา ในที่สุดเราก็ได้ดู Girls Don’t Cry ภาพยนตร์สารคดีเรื่องแรกของวง BNK48 เสียที และเมื่อดูจบเราอยากเขียนถึงมันทันทีเพราะไม่อยากให้อารมณ์ที่ยังตกค้างอยู่ในใจหายไปเสียก่อน Coming of Age อย่างที่เต๋อ นวพล ผู้กำกับบอกไว้ Girls Don’t Cry เป็นสารคดีที่ไม่ว่าคุณจะเป็นโอตะหรือรู้จักเด็กกลุ่มนี้เพียงผิวเผินก็สามารถเข้าถึงสารคดีเรื่องนี้ได้ เพราะนี่ไม่ใช่สารคดีตามติดชีวิตไอดอลแต่คือสารคดี Coming of Age ของวัยรุ่น 26 คนโดยมีคำว่า BNK48 เป็นเพียงฉากหลังเท่านั้น เพียงแต่ Coming of Age ของทั้ง 26 คนนั้นออกจะแตกต่างจากวัยรุ่นทั่ว ๆ ไปสักหน่อย เพราะการก้าวผ่านวัยครั้งนี้ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งราวคลื่นลูกใหญ่ ทุกคนเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเวลาแค่ปีกว่า ๆ ต้องเผชิญกับทุกมิติอารมณ์ที่วัยรุ่นคนหนึ่งจะรับไหว นวพลยังคงร้ายกาจเสมอในการเลือกวิธีการนำเสนอเรื่องราว เขาเล่าเรื่องผ่านมุมมองของทั้ง 26 คนต่อเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่พวกเธอเผชิญทำให้คนดูอย่างเราได้รับรู้ว่าแต่ละคนมีความคิดและทัศคติอย่างไร เป็นการสำรวจตัวตนที่ทำให้คนดูตระหนักว่าพวกเธอแต่ละคนคือ ‘มนุษย์’ คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่กลุ่มก้อนที่เรียกว่า ‘ไอดอล’ โรงเรียนแห่งความฝันเลขที่