จะพูดว่าเป็นเรื่องไกลตัวก็คงไม่ใช่ จะบอกว่าใกล้ก็คงไม่เชิง กับปรากฏการณ์น้ำแข็งขั้วโลกที่หลอมเหลวเร็วกว่าปกติ เนื่องด้วยภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนนักวิทยาศาสตร์เองยังคาดไม่ถึง ในปัจจุบันน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วกว่าเมื่อ 39 ปีก่อนถึง 6 เท่า ซึ่งในช่วงปี 2009 ถึง 2017 น้ำแข็งบริเวณทวีปแอนตาร์กติกาหลอมเหลวกลายเป็นน้ำมากถึง 252,000 ล้านตัน แน่นอนว่ามันส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นตามมา เป็นสัญญาณที่บอกว่าโลกของเราได้เปลี่ยนไปแล้วและความแข็งแกร่งของน้ำแข็งก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยเหตุนี้ทีมนักออกแบบนำโดย Faris Rajak Kotahatuhaha, Denny Lesmana Budi และ Fiera Alifa จึงร่วมคิดค้นโปรเจกต์ ‘RE-FREEZE THE ARCTIC’ สร้างเรือดำน้ำผลิตน้ำแข็งเพื่อแก้วิกฤตน้ำแข็งขั้วโลกหลอมละลายในครั้งนี้ นอกจากผลงานชิ้นนี้จะได้รับรางวัลในการแข่งขันระดับนานาชาติที่จัดขึ้นโดย Association of Siamese Architects เรือดำน้ำของพวกเขายังมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศขั้วโลก ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อภูมิอากาศของทุกประเทศ กึ่งกลางของตัวเรือถูกดีไซน์ให้เป็นช่องว่างหกเหลี่ยมขนาดใหญ่และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 เมตร เมื่อเรือลำนี้ดำดิ่งลงไปใต้ทะเลจะหอบเอาประมาณน้ำ 2,027 ลูกบาศก์เมตรขึ้นมาด้วย และเปลี่ยนสถานะของสสารจากน้ำที่เป็นของเหลวให้กลายเป็นน้ำแข็ง ใช้ระบบ Reverse Osmosis กรองเกลือบางส่วนจากน้ำทะเลทิ้งไปเพื่อเร่งกระบวนการเยือกแข็ง จากนั้นเรือจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำพร้อมกับใช้อุปกรณ์ปกคลุมก้อนน้ำแข็งเพื่อรักษาอุณหภูมิและป้องกันแสงแดด เมื่อน้ำทะเลถูกแช่แข็งและปล่อยก้อนน้ำแข็งทรงหกเหลี่ยมลงสู่ทะเลเรียบร้อยแล้ว
‘ดาวเคราะห์สีน้ําเงิน’ คือชื่อเล่นของโลกเรา ซึ่งที่มาก็ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อนไปกว่าการที่พื้นผิวของโลกกว่า 71% ถูกปกคลุมด้วยน้ำ ส่วนพื้นดินที่มนุษย์อาศัยอยู่และเรารู้สึกว่ากว้างใหญ่มาก ๆ นั้นเป็นเพียงแค่ 29% เท่านั้น ‘แค่พื้นที่ 29% ยังไม่สามารถทำให้สะอาดได้เลย แล้วจะสนใจอะไรกับพื้นที่สีน้ำเงินอีก 71% ที่เหลือ เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะทำให้มันสะอาด’ แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งไม่คิดเช่นนั้น ย้อนไปเมื่อปี 2013 Boyan Slat เด็กหนุ่มจากเนเธอร์แลนด์ซึ่งในขณะนั้นมีอายุเพียง 17 ปี ได้ออกมาประกาศเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ของเขาให้ชาวโลกได้รู้ด้วยการเปิดบริษัท The Ocean Cleanup จุดประสงค์เพื่อกำจัดขยะออกจากมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ในที่สุดหลังจากใช้เวลา 5 ปีในการระดมทุนและศึกษาข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียด ในที่สุด Boyan และบริษัท The Ocean Cleanup ของเขาก็พร้อมสำหรับการทำภารกิจนี้ให้เป็นความจริงแล้ว ความฝันอันทะเยอทะยานของ Boyan ใช้เงินกว่า 20 ล้านเหรียญเพื่อเป้าหมายการกำจัดขยะจำนวน 1.8 ล้านล้านชิ้นออกจาก Great Pacific Garbage Patch ซึ่งเป็นบริเวณที่การไหลเวียนของน้ำมีลักษณะวน จึงทำให้เกิดการสะสมของขยะจำนวนมหาศาลในท้องน้ำระหว่าง California ยาวไปถึง Hawaii อ่าว San Francisco คือจุดเริ่มต้นของภารกิจนี้ก่อนที่จะค่อย ๆ
ก่อนจะเริ่มอ่านคอนเทนต์นี้ เราอยากให้ทุกคนลองมองไปรอบ ๆ ตัวและลองนับจำนวนวัสดุอุปกรณ์ที่ทำมาจากพลาสติกดู คุณจะพบในทันทีว่าพลาสติกมีบทบาทกับชีวิตประจำวันของคนเรามากแค่ไหน โลกใบนี้เต็มไปด้วยพลาสติกจำนวนมหาศาล และอยู่ในทุกที่ทุกสิ่ง คิดภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพลาสติก โลกใบนี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วมันยังไงล่ะ? คุณอาจจะคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะพลาสติกเมื่อใช้เสร็จก็จะมีหน่วยงานเก็บไปรีไซเคิลกลับมาให้ใช้ได้ใหม่อีกครั้ง อาจจะคิดว่าการเพียงแค่แยกขยะให้ถูกต้องก็เพียงพอแล้ว โลกจะไม่โดนทำร้าย โดยไม่รู้ตัวเลยว่าชุดความคิดเหล่านี้กำลังทำร้ายโลกอย่างช้า ๆ จากผลกระทบเล็กน้อยเช่นการปนเปื้อนมลพิษในอากาศ นำไปสู่ภาวะโลกร้อนขั้นหายนะในท้ายที่สุด ถึงแม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลอังกฤษจะเพิ่งประกาศว่ากำลังพิจารณาวิธีรีไซเคิลพลาสติกรูปแบบใหม่ แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยอะไรเลย เหตุผลสำคัญที่การรีไซเคิลค่อนข้างจะไร้ประโยชน์ เนื่องจาก 2 ใน 3 ของพลาสติกรอบตัวคุณนั้นเป็นพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ถ้าคุณสังเกตบนผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะมีข้อความว่า “Not currently recyclable” กำกับเอาไว้ ความเป็นจริงที่ทุกคนไม่อยากรับรู้คือพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้จะมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่การถูกฝังกลบในบ่อขยะ ดังนั้นสำหรับวัตถุอื่นการรีไซเคิลอาจเป็นแนวทางที่ได้ผล แต่นั่นตรงกันข้ามกับพลาสติกโดยสิ้นเชิง ถ้าจะพูดว่าสำหรับพลาสติกแล้วการรีไซเคิลแทบจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงก็ไม่ผิดนัก การรีไซเคิลไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลหรือองค์กรการกุศลทำเพราะความหวังดีห่วงใยสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด แต่มันคืออุตสาหกรรมที่มีมูลค่านับแสนล้านเหรียญทั่วโลก อย่างไรก็ตามการลดลงของราคาน้ำมันหรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศจีนส่งผลให้การรีไซเคิลพลาสติกมีกำไรลดลง ดังนั้นพลาสติกกว่า 70% ในยุโรปจะลงเอยด้วยการถูกฝังกลบในบ่อขยะ พลาสติกแตกต่างจากแก้วหรือโลหะที่สามารถรีไซเคิลได้อย่างไม่จำกัด และนอกจากจะยุ่งยากในการรีไซเคิลแล้ว การย่อยสลายก็ใช้เวลานานหลายศตวรรษ ขวดน้ำพลาสติกขวดหนึ่งสามารถอยู่บนโลกได้ถึง 450 ปีเลยทีเดียว และต่อให้การรีไซเคิลพลาสติกจะทำได้ง่ายเหมือนแก้วหรือโลหะก็ตาม แต่ขั้นตอนในการรีไซเคิลพลาสติกนั้นก็สร้างมลพิษมากมายทั้งกับสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ ดังนั้นจึงค่อนข้างชัดเจนว่าทางออกของปัญหาพลาสติกล้นโลกไม่ใช่การรีไซเคิล แต่คือการหยุดผลิตพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว พลาสติกแบบใช่ครั้งเดียวควรโดนแบนอย่างเด็ดขาดจากทั่วโลก หรืออย่างน้อยก็ตั้งกำแพงภาษีให้สูงสำหรับผู้ผลิต เช่นเดียวกับภาษีสุรา ยาสูบทั้งหลาย
เรารู้จักคำว่า GLOBAL WARMING มานานแล้ว เรารู้จักผลของมัน เรารู้ว่ามันทำให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง พวกเรารู้ว่าแผ่นน้ำแข็งแถว GREENLAND ละลายเร็วขึ้นทุกปีแบบก้าวกระโดด ทั้งหมดนี้อาจจะยังไม่สามารถทำให้พวกเราเห็นความน่ากลัวเป็นรูปธรรมของมันออก ทำให้คนส่วนใหญ่ยังคงรู้สึกห่างไกลจากมัน แต่ภาพของหมีขั้วโลกที่กำลังจะหิวตายเพราะไม่มีอะไรกิน ไม่มีน้ำแข็งซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของมันให้หาอาหาร อาจจะเป็นภาพที่ถ่ายทอดอันตรายของ CLIMATE CHANGE ได้รุนแรงและชัดเจนที่สุด PAUL NICKLEN นักชีววิทยา และช่างภาพประจำของ NATIONAL GEOGRAPHIC เป็นผู้บันทึกภาพวีดีโอของหมีขั้วโลกที่คาดว่ากำลังจะตายในอีกไม่กี่ชั่วโมง สภาพร่างกายผอมโซ กล้ามเนื้อลีบ ไม่มีแม้แต่แรงจะยืน ต้องขุดหาเศษอาหารจากพื้น แต่ทำได้ไม่นานก็หมดแรงอีก เป็นภาพที่ทีมงานของ NICKLEN บอกว่า เห็นแล้วน้ำตามไหลด้วยความสงสาร แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะการให้อาหารเพียงนิดหน่อย ก็เหมือนยืดต่อความทรมานของมันออกไปอีก เพราะโดยปกติหมีขั้วโลกต้องกินสิงโตทะเลหนักราว 4.4 กิโลกรัมต่อมื้อ แต่ยิ่งแผ่นน้ำแข็งที่เป็นเหมือน ECOSYSTEM รวมถึงสิงโตทะเลหายไปแบบนี้ ยิ่งทำให้หมีขั้วโลกต่างประสบปัญหาอดตายกันมากขึ้นเรื่อย ๆ NICKLEN ต้องการให้ FOOTAGE ชิ้นนี้ เป็นสัญลักษณ์อันเป็นรูปธรรมของ GLOBAL WARMING โดยในบทสัมภาษณ์ของเค้านั้น ยิ่งถ่ายทอดเรื่องราวให้วีดีโอนี้มีความน่ากลัวครบถ้วนถึงยิ่งขึ้น “It’s a