แต่ละประเทศต่างมีธรรมเนียมพิธีสำเร็จการศึกษาต่างกัน ประเทศไทยมีรูปแบบพิธีทางการ ส่วนงานรับปริญญาทางฝั่งอเมริกาให้ความรู้สึกที่เป็นกันเองมากกว่า นักศึกษาอเมริกันสามารถสวมใส่เสื้ออะไรก็ได้ข้างในแล้วจึงสวมชุดครุยทับอีกที แต่สำหรับญี่ปุ่นกลับล้ำกว่าประเทศไหน ๆ เมื่อนักศึกษาทุกคนประชันการแต่งตัวเหมือนอยู่ในงานคอสเพลย์ พิธีรับปริญญาที่ว่าเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านคันไซอย่างมหาวิทยาลัยเกียวโต (Kyoto daigaku) โดยแบ่งช่วงรับปริญญาตามคณะและสาขาวิชาที่เรียน นักศึกษาจากคณะศิลปกรรม คณะดุริยางคศิลป์ รับปริญญาในวันเดียวกัน โดยมหาวิทยาลัยเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและอาจารย์ที่อยู่กับเด็ก ๆ มาตลอด 4 ปี มานั่งในหอประชุมเพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของบัณฑิตใหม่ด้วย บรรยากาศงานดี ๆ แสนอบอุ่นกึ่งทางการที่ใครต่างคิดว่าจะดำเนินไปอย่างเงียบเชียบเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เมื่อนักศึกษาต่างแต่งตัวหลุดโลกเพื่อทำให้งานรับปริญญาของตัวเองเป็นงานที่จะต้องจดจำไม่ลืมไปตลอดชีวิต นายไดซากุ คาโดกาวะ (Daisaku Kadokawa) นายกเทศมนตรีเมืองเกียวโตได้เข้าร่วมงานครั้งนี้ ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์น่าสนใจว่า ตัวเขาก็เป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้เจอเรื่องราวดี ๆ ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนฝูง และถกเถียงด้วยหลักการและเหตุผลในชั้นเรียน “เราต้องมีความสุขก่อน แล้วโลกถึงจะเต็มไปด้วยความสุข” สิ่งที่เราได้ร่ำเรียนอย่างศิลปะ มันสามารถสร้างแรงกระตุ้นที่ทำให้ผู้คนใจเต้น ปลอบโยนจากความเศร้า และสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และเต็มไปด้วยความสนุก ถือเป็นคำพูดที่น่าประทับใจไม่น้อย และในที่สุดพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเกียวโตก็เริ่มต้นขึ้น “เราจะเห็นความสนใจหรือความชอบของแต่ละคนได้จากการแต่งตัว” ประโยคดังกล่าวสามารถยืนยันว่าสไตล์สะท้อนความชอบของคนได้จริงจากงานรับปริญญาครั้งนี้ นักศึกษาจากคณะศิลปะและดนตรีต่างแต่งกายตามใจตัวเอง บางคนมาด้วยชุดกิโมโนซึ่งเป็นชุดประจำชาติที่ใคร ๆ ก็ใส่ บางคนแต่งตัวสไตล์สาวกอธิค บางคนแต่งตัวเป็นสาวแกล ขณะที่นักศึกษาบางคนที่ชอบแอนิเมชันก็แต่งกายตามตัวละครที่ชอบถึงกับใส่หัวแมวขนาดใหญ่มารับปริญญาเลยก็มี มีนักศึกษาสาวคนหนึ่งขึ้นเวทีพร้อมกับชุดแบบจัดเต็ม เธอโปะหน้าขาววอก เกล้าผมขึ้นเป็นมวยใหญ่พร้อมกับเครื่องประดับหลายชิ้นบนศีรษะ แถมยังรำโชว์ทุกคนในหอประชุมก่อนจะรับใบปริญญาด้วย หากเป็นคนที่ชื่นชอบวัฒนธรรมของญี่ปุ่นรวมถึงคนญี่ปุ่นทั่วไปเมื่อเห็นก็จะรู้ทันทีว่าเธอแต่งตัวแบบสาวเกอิชา
เราเชื่อว่าหนุ่ม ๆ นักท่องเที่ยวหลายคนคงไม่พลาดจะที่หาเวลาไปเยือนเมืองเกาะอย่างประเทศญี่ปุ่น เพื่อชื่นชมความงดงามของ ‘มหานครโตเกียว’ ที่เป็นเมืองหลวงและสัมผัสกับกลิ่นอายทางวัฒนธรรมที่สอดแทรกอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยว แต่คงมีผู้ชายน้อยคนที่จะรู้จัก ‘เกียวโต’ อดีตเมืองหลวงของประเทศนี้ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขาของภูมิภาคคันไซ ที่นี่ไม่เพียงเป็นเมืองเก่าแก่ที่รวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และมรดกโลกเอาไว้ หากยังเป็นที่ตั้งของคาเฟ่ช็อกโกแลตแบรนด์ดังใต้ชายคาบ้านเก่าสองชั้นที่มีอายุร่วมร้อยปี Fumihiko Sano Studio ได้สร้างร้านกาแฟควบช็อปช็อกโกแลตภายใต้แบรนด์ ‘Dandelion Chocolate’ ซึ่งถือเป็นบริษัทผลิตช็อกโกแลตอันโด่งดังที่มีสาขากระจายตัวอยู่ทั่วอเมริกาและญี่ปุ่น เมื่อเล็งเห็นเสน่ห์บางอย่างของเมืองเกียวโต แบรนด์ช็อกโกแลตรายนี้จึงเนรมิตบ้านเก่าสองชั้นที่มีอายุกว่าร้อยปี ให้กลายเป็นคาเฟ่บรรยากาศอบอุ่นและถอดแบบรสชาติช็อกโกแลตดั้งเดิมของซานฟรานซิสโกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน Dandelion Chocolate ตั้งอยู่บนนถนนที่เงียบสงบในย่าน Ichinenzaka ของเมืองเกียวโต ภายในพื้นที่ 200 ตารางเมตร มีช็อปช็อกโกแลตขนาดย่อมสำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อกลับบ้าน มีบาร์โกโก้ให้สั่งเครื่องดื่มหรือแอลกอฮอล์แกล้มกับช็อกโกแลตของทางร้าน แถมภายนอกยังรายล้อมไปด้วยบรรยากาศสวนแบบดั้งเดิมสไตล์ญี่ปุ่น การตกแต่งภายในร้านเลือกใช้ไม้ซีดาร์เป็นวัสดุหลักของตัวโครงสร้าง พร้อมวางต้นซีดาร์ไว้บริเวณจุดศูนย์กลางของร้าน เพื่อสะท้อนถึงความสอดรับกันของเมนูช็อกโกแลตและไม้ซีดาร์ ซึ่งต้องใช้ทักษะงานคราฟต์และส่วมผสมที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีจึงจะสร้างทั้งสองสิ่งนี้ขึ้นมาได้ นอกจากนั้นไม้ซีดาร์ที่ประดับประดาตามจุดต่าง ๆ ยังบ่งบอกเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย จากความตั้งใจอยากรื้อฟื้นบรรยากาศเมืองเกียวโตแบบดั้งเดิมและสอดแทรกความเป็นซานฟรานซิสโกเข้าไว้ด้วยกัน ทีมสถาปนิกจึงรีโนเวตพื้นที่ภายให้ดูร่วมสมัย แต่ก็ไม่ทิ้งโครงสร้างเก่าของตัวบ้านอย่างคานและเสา ออกแบบพื้นที่ให้โปร่ง โล่ง สบาย ด้วยบานหน้าต่างกระจกทรงสูงที่ประดับแนบผนังตามทิศต่าง ๆ ของร้าน ช่วยเชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกเข้าด้วยกัน แถมยังเป็นการสร้างสเปซกว้างขวางในพื้นที่ขนาดย่อมได้อย่างไร้ที่ติ Dandelion Chocolate