Life

TATT – TIRE ALL THE TIME ไม่ทำอะไรก็เหนื่อย โรคดูดพลังที่ไม่ได้เกิดจากความขี้เกียจ

By: unlockmen August 6, 2021

“ความเหนื่อยแม่งเหมือนผี มึงไม่โดนของเข้าสักครั้งก็คงไม่รู้”

ช่วงนี้คนบ่น “เหนื่อย” กันเยอะ และวลี “I hate Monday.” กับ “ Thanks god. It’s Friday” ก็มีให้เห็นบนหน้าสเตตัสบ่อย  ๆ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรามักจะเจอเพื่อนบางคนที่น้ำเสียงเนือย ๆ พูดกับเราแม้จะเป็นคืนศุกร์ที่สังสรรค์กัน เติมทั้งเบียร์ เชียร์ทั้งสาว ๆ ให้แล้วก็ยังคอตก แล้วก็พูดว่า “กูเหนื่อยว่ะมึง”

แต่พอถามว่าเหนื่อยอะไร ช่วงนี้ทำอะไรอยู่ มันดันบอกว่า “กูไม่ได้ทำอะไรเลย แต่กูเหนื่อย” เผลอ ๆ ก็หนักถึงขั้นว่า “กูไม่อยากลืมตาแล้ว” ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนหนึ่งที่พูดประโยคนั้นเสียเองหรือว่าเป็นคนที่ได้ยินมา

ถึงเวลาแล้วที่ UNLOCKMEN จะพาคุณไปหาความจริงว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่บอกได้เลยว่าสิ่งที่คุณได้ยินมันอาจจะไม่ใช่ความขี้เกียจและไม่ใช่สิ่งที่แก้ได้ด้วยคำว่า “นอนแล้วเดี๋ยวก็หาย” อย่างแน่นอน


เหนื่อยแบบไร้สาเหตุ

ว่ากันด้วยคนที่สงสัยว่า กูเหนื่อยอะไรก็ไม่รู้ หรือเพื่อนกูเหนื่อยอะไรนักหนาก็ไม่รู้ก่อน ทั้งที่มันก็ชีวิตดี มีเวลาว่างแท้ ๆ นอนเยอะกว่ากูอีก ฯลฯ บางทีถ้าปัญหามันเกิดจากสิ่งที่ไม่มีปัญหาอะไรอย่างนี้ หรือตรวจร่างกายหมดแล้วแต่ปรากฏว่าผลมันคลีนสุด ๆ อาจเกิดจากโรคยอดฮิตช่วงนี้ที่เขาเรียกว่า TATT ซึ่งมาจาก Tired All the Time แปลไทยว่า “เหนื่อยตลอดเวลา”

ความเหนื่อยอินฟินิตี้ระดับเรื้อรังนี้มันคือ “โรค” ที่ได้รับการรับรองทางการแพทย์แล้วว่าทุกคนสามารถเกิดอาการเหล่านี้ได้ ไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ เพศไหน การศึกษาสูงหรือต่ำก็มีโอกาสเกิดความรู้สึกนี้ทั้งสิ้น

สาเหตุอาจจะเกิดขึ้นจาก ความล้าสะสม (prolonged fatigue) ซึ่งเป็นผลจากจิตสั่งกายหรือสั่งความรู้สึกได้ ซึ่งถ้าเราต้องการจะแก้ มันก็ต้องลิสต์ดูก่อนว่าอะไรคือสาเหตุของสิ่งเหล่านั้น ทั้งสภาพแวดล้อม ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต เพราะมันอาจจะเป็นเงื่อนงำที่ทำให้เกิดความรู้สึกนี้ได้

แต่หลัก ๆ เรื่องที่จะทำให้เรารู้สึกเฟล จนไม่อยากจะลุกไปไหนมันมักจะมาจากสิ่งที่เราใส่เข้าในตัวเองทั้งนั้น และอันที่จริงมันก็แก้ได้ด้วยตัวเองทั้งหมด โดยมาจาก 4 สิ่งหลักต่อไปนี้

  • นอนไม่พอ

นอนไม่พอสมองมันก็ตื้อ ส่งผลกระทบกับร่างกายตรง ๆ เรื่องความเหนื่อยล้าหรือหงุดหงิดเป็นทุนอยู่แล้ว ดังนั้นนอนให้พออย่างน้อยสัก 7 ชั่วโมงก็จะพอช่วยได้ ที่สำคัญยังต้องสลัดร่างตัวเองจากพื้นที่มุมอับไม่โดนแสงแดดด้วย พาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่แดดดี ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายทะสะดวก จะช่วยทำให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น

  • ไม่ออกกำลังกาย

อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องดูแลอย่างหนัก และเป็นปัญหาที่พวกเราต้องเจอในยุค WFH ที่ fitness ก็ปิด ส่วนกลางคอนโดก็ห้ามใช้ เพราะงานวิจัยมันเผยว่าการไม่ออกกำลังกายเลยเป็นระยะเวลานาน ๆ กิน นอน นั่ง นอน ทำให้ร่างกายเราพังได้ไม่แพ้การสูบบุหรี่อีก และร่างกายจะขาดสารเอ็นโดรฟีน หรือสารแห่งความสุข ที่คอยกระตุ้นให้เราสร้างพลังเหลือล้นจากการออกกำลังกาย

  • ไลฟ์สไตล์สุดเหวี่ยง

บางทีความเหนื่อยมันก็มาจากการกรรมเก่า หลายคนใช้ชีวิตหนัก ดื่มหนัก นอนน้อยมาก่อนหน้านี้ เพราะบางทีการที่เราทำอะไรให้มันตึงหรือสุดไปทุกอย่าง พอถึงที่สุดแล้วมักจะขาดผึง ร่างกายง่วงซึม นอนเต็มหนึ่งคืนก็ยังไม่หายง่วง เหมือนเราแบตหมดดื้อ ๆ ชาร์จไม่ติดและไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว ซึ่งทางที่ดีคือต้องบาลานซ์ร่างกายใช้ดี และนอนกักตุนให้เยอะในวันที่มีโอกาส เพราะการนอนยาวแค่คืนเดียวนั้น ไม่เพียงพอต่อการชาร์จพลังให้สดชื่นแน่นอน

  • เครียด

ความรู้สึกกดดันที่ทับถมก็เป็นหนึ่งในสาเหตุ พวกเราควรจะแก้ปัญหาที่ขัดใจด้วยความตรงไปตรงมา แต่บางครั้งมันก็มาจากการวิ่งชนกำแพงเดิม ๆ ที่เราหาทางออกไม่ได้จนรู้สึกว่าความเครียดมันสะสม ซึ่งในกรณีที่เราแก้ปัญหานั้นเองไม่ได้จริง ๆ เช่น นายกไม่ลาออก วัคซีนดี ๆ ไม่มีนำเข้า ทางออกที่ดีที่สุดคือควรปลงกับมันเสีย ปล่อยมันไปบ้าง หรือคลายกฎบางอย่างที่เข้มงวดกับตัวเองลง เช่น ทำในสิ่งที่อยากทำบ้าง อยากกินอะไรกิน อยากเล่นอะไรก็เล่น เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตามเรื่องการใช้ชีวิตก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเราไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่ามันต้องเกิดจากเรื่องนั้นเรื่องนี้แน่ ๆ ก็ลองใช้วิธี Tracking ไลฟ์สไตล์ตัวเองดูผ่านการจดบันทึกรวม ๆ ไว้ ทุกครั้งที่รู้สึกแย่หรือรู้สึกไม่ดี เพราะบางทีมันอาจทำให้เราเจอสาเหตุของปัญหาก็ได้

ทว่าถ้าใครยังไม่ได้ไปหาหมอ แต่วินิจฉัยเองกับแก้อาการเบื้องต้นด้านบนแล้วก็ไม่รอด ผมจุดไฟให้อยากลุกมาทำอะไรสักอย่างไม่ได้เลย บางทีมันอาจจะเกิดจากความเจ็บป่วยอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องก็ได้

เบื้องต้นที่รู้แน่ ๆ คือ 7 โรคต่อไปนี้ ถ้าคุณมีความเสี่ยงเป็นสักโรคหนึ่งในนี้ พวกมันเนี่ยแหละคือตัวดูดพลังงานของเรา

  1. โลหิตจาง หรืออาการขาดธาตุเหล็ก
  2. ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการผิวแห้ง ผลิตฮอร์โมนได้ไม่เพียงพอ
  3. บาหวาน ขาดน้ำตาลในเลือดร่างกายย่อมเหนื่อยและเกิดความรู้สึกล้า
  4. โรคซึมเศร้า โรคที่เรียกได้ว่าเป็นเส้นบาง ๆ ระหว่างเครียดทั่วไปที่หายง่ายหรือความผิดปกติของสมอง แต่บอกได้เลยว่าซึมเศร้ามันเป็นโรคระยะยาวกว่าที่ควรได้รับการรักษาจริงจัง
  5. ลำไส้ผิดปกติ
  6. หยุดหายใจระหว่างนอน เพราะมันทำให้เรานอนน้อยลงเนื่องจากกำจัด CO2 ไม่ได้เหมือนปกติ และทำให้เราหลับไม่สนิท นอนไม่พอ
  7. โรคหัวใจ ความบกพร่องเกี่ยวกับหัวใจที่ทำงานได้ไม่เต็มร้อย เลือดที่ควรสูบฉีดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ทำได้ไม่เต็มที่ จึงทำให้เกิดความรู้สึกเหนื่อยล้า

เอาเป็นว่าไม่ว่าคุณจะเหนื่อยแบบมีสาเหตุไหนก็ตาม อย่าทำเป็นมองข้าม เพราะมันอาจเป็นการส่งสัญญาณของร่างกายที่บอกว่าคุณควรหยุดพักหรือรักษาร่างกายตัวเอง ที่สำคัญคือคนรอบข้าง อย่ามัวมองแง่ลบ หรือตำหนิเพื่อนที่กำลังตัดพ้อ เพราะทุกอย่างมันมีเหตุผลของมัน ไม่มีใครที่อยากดูเป็นคนห่อเหี่ยวในสายตาคนอื่นหรอก

 

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line