

Life
UNLOCKER 01 : ‘BENZILLA’ วิธีการเป็นศิลปินแบบที่อย่าไปมองความสำเร็จของคนอื่น สนใจแต่สิ่งที่ตัวเองทำก็พอ !
By: GEESUCH January 24, 2025 233668
อย่างที่ในบทสัมภาษณ์หลาย ๆ สื่อมักจะพูดกันเสมอว่า ศิลปินสตรีทอาร์ทชื่อ BENZILLA (เบนซ์-ปริญญา ศิริสินสุข) เป็นตัวตนที่ถูกสะท้อนมาจากคาแรคเตอร์ดีไซน์ของเขาเองที่ชื่อ LOOOK เจ้ามนุษย์ต่างดาว 3 ตาม ที่เป็นคนนอกในสังคม เพราะว่าทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น ซึ่งหลังจากใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงก็ต้องบอกว่าเราไม่ปฎิเสธสิ่งนี้ และต้องขอชื่นชมจริง ๆ ว่าความไม่เหมือนคนอื่นนี้ของพี่เบนซ์ (ด้วยความที่ผู้สัมภาษณ์เด็กกว่าจึงขอเรียกด้วยสรรพนามนี้) ทำให้ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงวันที่ลาออกจากงานประจำเลือกเส้นทางศิลปินน่าสนใจในทุก Level เลยล่ะ
UNLOCKER ตอนที่ 01 เราจะมาคุยกับ BENZILLA ในวันที่เขาได้ UNLOCK ACHIEVEMENT กลายเป็นศิลปินสตรีทอาร์ทที่ได้รับการยอมรับระดับ GLOBAL แต่ ! นี่ไม่ใช่คอนเทนต์ที่จะมาแชร์เคล็ดลับความสำเร็จอะไรแบบหนังสือ HOW TO หรอกนะ แต่เป็นบทสัมภาษณ์ที่คุณจะได้พบกับความ LOSER ความพ่ายแพ้ ความไม่เก่งที่พี่เบนซ์บอกว่ายังพยายามอยู่ทุกวัน เรื่องราวธรรมดาของมนุษย์คนหนึ่งที่มีวันที่ท้อและวันที่ไม่มั่นใจในตัวเองเอาซะเลย แต่ในเรื่องราวเหล่านั้น UNLOCKMEN เชื่อว่าทุกคนจะสามารถอันล็อคตัวเองได้ดีที่สุด ถ้าคุณคิดจะเป็นศิลปิน คิดดี ๆ และอ่านเรื่องราวของพรี่เบนซ์ก่อนล่ะ
ตอนเด็ก ๆ เราเป็นเด็กติดเกมมาก เริ่มจากเราหนีแม่ไปร้านเกมแถว ๆ ถนนจันทร์แล้วก็โดนตี เพราะว่าที่ร้านเกมจะมีเด็กเกเรเยอะ แม่ไม่อยากให้ไปเขาก็เลยซื้อ Game Boy ให้ เป็นการกดดันทางอ้อม ซึ่งแผนก็ได้ผลด้วยนะ พอมี Game Boy เราก็เล่นเกมทั้งวันทั้งคืน เล่นจนสายตาเสียต้องใส่แว่น
พอเวลาผ่านไปโตขึ้นถึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้ชอบเล่นเกม เราชอบ Art Direction ของเกมต่างหาก เพราะว่าเกมเอาจริง ๆ เล่นแค่แปปเดียวก็เบื่อแล้ว เราเลยเล่นจบบ้างไม่จบบ้าง แต่ที่อินกับการเล่นเกมส่วนหนึ่งก็เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เหมือนการ์ตูนแล้วเราสามารถขยับได้ด้วยตัวเอง เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเลยนะตอนนั้น มันเหมือนเป็นช่วงเวลาที่เราได้เริ่มรู้จักงานศิลปะเป็นครั้งแรก ผ่านหน้าปกเกมหรือคาแรกเตอร์ดีไซน์ของเกมเองก็ตาม
แล้วเราก็จะซื้อ Magazine Game มาอ่าน ซึ่งปกติเวลาคนที่ซื้อนิตยสารเกมเขามักจะเอามาดูกันว่าแต่ละเกมมันน่าเล่นยังไงใช่ปะ แต่ว่าของเราจะเป็นอารมณ์แบบว่า “เกมนี้เปลี่ยนคนวาดแล้วว่ะ ไม่ชอบไม่เล่นแล้ว” หรือ “เกมนี้คนวาดเดิมแต่มีเพิ่มตัวละครอยากเล่น”
พอโตขึ้นเราก็ไม่เล่นเกมเท่าไหร่แล้ว ตอนที่ขึ้น ม.ปลาย เรามีเพื่อนคนหนึ่งเป็นเด็กสเกตเก่งระดับมีสปอนเซอร์ ก็จะเล่นสเกตบอร์ดกับเพื่อนคนนั้น นั่งดูวิดีโอสเกตพวกทริคต่าง ๆ ของ Pro Player กัน แต่ต้องบอกว่าเราไม่ได้ชอบสเกตบอร์ดในแง่ของกีฬานะ แต่เป็นเรื่องของสไตล์ แฟชั่น แล้วมันจะมีกราฟิกบน Deck บนรองเท้า บนโลโก้ ศิลปะของ Skateboard Culture มันโดนใจเราไปหมดเลย แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้เลยคืออะไร ก็ชอบมาก ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องยังไง ก็เลยทำได้เป็นแค่งานอดิเรกไป
จนกระทั่งเราขึ้นมหาลัยก็สอบไม่ติดเพราะว่าไม่ตั้งใจเรียน เลยจับพลัดจับผลูไปเรียนที่ ม.กรุงเทพ ซึ่งเป็นการเรียนออกแบบนิเทศศิลป์ ได้ออกแบบโลโก้ซะอย่างนั้น แล้วสิ่งนี้มันคือสิ่งที่เราชอบเลย เพราะย้อนกลับไปตอนเรียนม.ปลาย เราเล่นดนตรี-ตอนเล่นดนตรีก็จะพยายามออกแบบโลโก้วง ทำเสื้อยืด ทำอยู่คนเดียวไม่มีใครสนใจหรอก แต่เราชอบไง ก็พยายามบอกเพื่อนว่ากูออกแบบเสื้อมาแล้ว มึงใส่หน่อย (ยิ้ม)
ถ้าจะให้พูดถึงไทม์ไลน์การวาดรูปของเรา มันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มชอบการ์ตูนตอนเด็ก เราออกแบบตัวละครให้เพื่อนเล่นเป็นเกมกระดาษ แล้วคนสร้างเกมแม่งไม่หนุกเลย ต้องมาคอยคิดตัวใหม่ให้พวกมันอีก แต่มันก็ได้สกิลคาแรกเตอร์ดีไซน์ไปในตัว แล้วพอเข้ามหาลัยเราก็วาดมาเรื่อย ๆ แล้วเราไม่ได้เป็นคนเก่งในแง่เชิงลึก แต่เป็นสายวาดพอได้ ก็เอาตัวรอดด้วยการวาดมาตลอดในตอนเรียน
หลังจากผ่านช่วงวัยเรียนทั้งหมด เราเริ่มจากทำงานดีไซน์ที่บริษัทกราฟิก ทำแบรนด์ดิ้งอย่างที่เรียนจบมา แต่เพื่อนเราหลาย ๆ คนก็เลิกไปนะ มีอยู่ 5-6 คนในรุ่นเองที่ทำงานตรงกับที่เรียน แต่เราชอบทำโลโก้ชอบทำแบรนด์ดิ้งอยู่แล้วไง โคตรชอบทำคลุมให้มันเป็นธีมอะ เราก็เลยทำงานสายนี้อยู่นานเหมือนกันก่อนที่จะไปทำโฆษณา ซึ่งสิ่งพวกนี้เราไม่ได้ทำมันเก่งเลยนะแต่อาศัยว่าโคตรชอบ
UNLOCKMEN : ชอบสิ่งพิมพ์ทำไมถึงไม่ทำ Magazine
เราว่า Magazine มันโหดไป มันเป็นคอนทเนต์แล้วอะ ไม่ใช่การออกแบบที่เล่นกับ Material เท่าไหร่ ก็รู้สึกว่าไม่ได้อินเท่าไหร่
UNLOCKMEN : ถ้าอยากรู้ว่าต้องมีเช็คลิสต์อะไรบ้างถึงจะรู้ว่าเราชอบสิ่งหนึ่งมากจริง ๆ
ต้องบอกว่าความชอบไม่ใช่สิ่งสำคัญขนาดนั้นนะ มันจะมี ‘สิ่งที่ชอบ’ กับ ‘สิ่งที่ทำได้ดี’ มันเป็นคนละเรื่องกัน สมมติว่า ชอบศิลปะมากเลยแต่ว่าวาดรูปไม่ได้เลยแต่ว่าเป็นคนทำอาหารพอได้ มันก็ต้องเลือกแล้วว่าอาชีพของเราควรจะไปสายอะไรที่จะรอดชัวร์ ก็ต้องทำอาหารใช่ปะ วาดรูปถ้ามันดีกว่าในสักวันหนึ่งเราก็ค่อยมาเปลี่ยนงานก็ได้ ซึ่งเราจะเป็นคนที่คิดแบบนี้ตลอดนะ
อย่างเราชอบเล่นดนตรีมาก ๆ แต่เราเล่นไม่เก่งไง แล้วโอกาสมันก็ไม่มาสักที ก็เลยเอาสิ่งที่พอทำได้ก่อนคือ ‘ออกแบบ’ ส่วนเล่นดนตรีก็พยายามมาก ซ้อมดนตรี ประกวด ทำเพลงเพื่อให้เดบิวต์ให้ได้ ก็ไม่ได้ว่ะ แม่งยากมากจริง แต่สุดท้ายเราก็อยู่กับความเป็นจริง เพื่อนเองก็แยกย้ายกันไปแล้วด้วยไปตามทางตามวัย
แต่คำถามคือสำหรับคนที่ต้องการเช็คลิสต์ความชอบเพื่อ ‘หาตัวเอง’ ใช่มั้ย เราว่านะ ‘ไม่ต้องหา’ ถ้ามันต้องหาก็แปลว่ามันไม่มีไง ถ้ามีความชอบเดี๋ยวมันก็มา ความชอบมันไม่ต้องเป็นงานก็ได้ ตอบแบบนี้ดีกว่า งานก็มีไว้ทำดำรงชีวิต งานอดิเรกก็ทำควบคู่ไปได้ ถ้าวันนึงโชคดีก็สลับที่กัน มันไม่ได้ต้องตายตัว
UNLOCKMEN : แต่พี่เบนซ์เลือกเอาความชอบไปทำเป็นงาน ?
ก็ชอบ ต้องบอกว่า 70%-80% คือชอบ
UNLOCKMEN : งั้นถ้าเราอยากเอาความชอบไปทำเป็นงานต้องทำยังไง
ทำงานได้เงินใช่มั้ย ต้องบอกว่าเราไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย เพราะถ้าคิดเรื่องเงินเราก็คงทำไม่ไหวอะ (ยิ้ม) คือตอนนั้นทำเพราะว่ามันเป็นงานอดิเรกมาก่อน วาดรูป คิดไอเดีย ปั้นโปรเจกต์ตัวเองทุกวัน ถ้าอยู่กับเราจะน่ารำคาญมากอะ เพราะว่าเราจะคุยแต่เรื่องงานเลยอะ แฟนก็ต้องมารับฟัง เราหมกมุ่นมากจนต้องทำมันออกมา ซึ่งในสมัยก่อนมันจะเป็นบล็อก My Space ก็เขียนแล้วแชร์ออกไป ก็ไม่ได้คิดอะไร เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็แชร์แล้วก็ให้กำลังใจกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ชมกันไปกันมา น่ารักดีนะ ก็ทำเรื่อยมา ซึ่งเราก็ไม่ได้เงินกับมันอยู่นานมาก ๆ เรียกว่าต้องวาดเป็น 1,000 ภาพถึงจะได้เงิน พอถึงจุดหนึ่ง จากการทำงานประจำคนก็ได้เห็นว่าเราทำอะไรได้ ก็เลยได้ทำงานศิลปะที่เรียกว่าเป็นงานมากขึ้น
UNLOCKMEN : แล้ววันที่งานอดิเรกสร้างเม็ดเงิน มันส่งผลต่อความเครียดในการทำงานอดิเรกมั้ย
ไม่เครียดนะ เพราะว่าทํางานประจํายากกว่า-ทํางานประจําต้องไปขายลูกค้า ต้องแก้งาน 15-16 รอบ ต้องกลับบ้านดึกเพื่อจะได้เงินเดือนหน่อยนึง แต่เราเอาทั้งชีวิตไปแลก มันยากกว่ากันเยอะ เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว เพราะทําอย่างนั้นมาเกือบ 20 ปี เราว่าเรื่องการวาดรูปเป็นเรื่องที่สบายมาก มันก็อาจจะยากตรงแบบว่าจะไม่ให้ตัวเองสนุกเกินยังไง เหมือนจะรักษามาตรฐานยังไงหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ได้ตลอด
UNLOCKMEN : มีช่วงที่พี่เบนซ์สงสัยในความสามารถตัวเองบ้างมั้ย
สงสัยตลอดแหละ อย่างที่บอกว่าเราไม่ใช่คนแนวแบบเก่งไง เป็นแนวถึก สมมติว่ามีเพื่อนวาดรูป 5 คน เราจะเป็นคนที่ห่วยสุดตลอดมาตั้งแต่เด็กแล้ว เราไม่ค่อยให้ค่ากับสกิล อาจจะเป็นนิสัยที่ไม่ดีนะ แต่เรารู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นว่ะ แต่ตอนเด็กก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งนั้นคืออะไร จนหลัง ๆ ถึงมารู้ว่า “อ๋อ ! เขาเรียกว่าความคิดสร้างสรรค์” แล้วก็รู้สึกว่าอันนี้มันก็เหมาะกับอาชีพเราดี พลิกแพลงได้เป็นแนวเป็ด ทําได้อย่างละหน่อย แล้วก็พยายามเอาตัวรอดด้วยการผสม จนรู้สึกว่าอันนี้เป็นความมั่นใจของเราอะ สมมติถ้าเราเป็นนักบอล มันจะไม่ใช่พวกวิ่งเร็วจัดหรือพวกยิงคม จะเป็นพวกกลาง ๆ ดูไม่เด่น แต่ว่าสร้างประโยชน์ได้ ไม่ทําให้ทีมเดือดร้อน
UNLOCKMEN : เมื่อกี้พี่เบนซ์พูดเรื่องความถึกของตัวเอง อยากรู้ว่ามีชั่วโมงฝึกต่อวันอย่างไรบ้าง
มันไม่ได้ฝึก เราแค่เพลิดเพลินเหมือนทํางานอดิเรกไปเรื่อย ๆ ถ้าตื่นมา 24 ชั่วโมง เราคิดเรื่องนี้ไป 20 ชั่วโมง แล้วถึงขนาดฝันถึงมันอะ สมมติว่าช่วงนี้บ้าสีแดงมากเลย ก็จะถ่ายรูปสีแดง ตู้ดับเพลิง หัวจ่ายดับเพลิง ตู้โทรศัพท์ กระดาษสีแดงตามศาลเจ้า ถ่ายรูปเอาไปฝันน่ะ เหมือนพอเราคิดอยู่กับมันเราก็จะรู้สึกว่าทำอันนี้ดีกว่า ต้องบอกว่าเราไม่ได้มานั่งวาดตลอดนะ แต่ว่าเราอยู่ใน Process มากกว่า ว่าด้วยเรื่องความคิดก็จะเป็นอะไรอย่างนั้น อาจจะไม่ใช่คนที่วาดถึก แต่พอมาช่วงหลังประมาณ 5 ปีหลัง เป็นแนววาดถึกแล้ว ก็เราไม่เก่งไงเลยต้องทำเยอะกว่าเพื่อน เหมือนมาวาดชดเชยที่ไม่ได้วาดไปก่อนหน้านี้ คือเราไม่ใช่พวกจิตรกรรมที่เขาเก่ง ๆ เราเป็นพวกเป็ด เราก็ควรจะฝึกอะไรที่มันควรจะตอบสนองความคิดเราได้
UNLOCKMEN : ช่วงนี้งานแบบไหนหรือว่าสิ่งของอะไรที่ inspired พี่เบนซ์ อยากรู้ว่าสิ่งที่บันดาลใจตอนโตมันเปลี่ยนไปจากตอนเด็กบ้างไหม
ตอนเด็กจะเป็นเรื่องวัตถุ หลัง ๆ ก็จะสนใจเรื่องพยายามหาแนวคิดที่ตัวเองรู้สึกโอเคกับมันในแง่มนุษย์ เช่น ความสงบสุขคืออะไร ก็จะไปสนใจเรื่องพวกนี้เยอะ เรื่องทั่ว ๆ ไป แต่อาจจะเป็นแค่ช่วงนี้ก็ได้นะ แล้วก็เพลง ช่วงนี้กลับมาพยายามจะฟังอะไรใหม่ เปิดใจขึ้น
UNLOCKMEN : เหมือนเพลงมีผลต่องานของพี่เบนซ์ตลอด
หลัง ๆ เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ คือมันเป็นเพราะว่ามีช่วงนึงเราไม่ค่อยได้ฟัง ยิ่งวงไทยยิ่งไม่รู้จักใหญ่เลย หลัง ๆ ก็เริ่มมาย้อนฟังแล้วก็เพลิดเพลินได้ แต่ตอนทำงานจะไม่ฟังเพลงนะ ฟัง podcast แล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับงานด้วยนะ ของคุณฟาโรสก็ชอบฟังนะ ฟังเรื่องคน ประวัติศาสตร์ ช่องเกม หนัง ก็ฟังเสียงคนครับ มันเหมือน ASMR เนอะ เหมือนมีบรรยากาศ ถ้าฟังเพลงมันมีอิทธิพลมากไป
UNLOCKMEN : เราจะทำยังไงให้ตัวเองแตกต่างจากคนอื่นในยุคที่ใครก็มี Ref. เต็มมือ แล้วพยายามเหมือนกันไปหมด
เราว่ามันอาจจะต้องคิดว่าเราชอบอะไรแหละ เหมือนถ้าเราคิดว่าแตกต่างมันก็ไม่มีทางแตกต่าง เพราะมันก็จะเต็มไปด้วยการเปิด reference ซึ่งความคิดเราอาจจะผิดนะแต่เราคิดแบบนี้ มันน่าจะเป็นการแปะ ๆ กัน เหมือนมี Mood Board อยู่ในหัว แล้วก็มาดูตรงกลางว่าพอได้มั้ย สมมุติอย่างเราชอบฟังเพลงโหด ๆ ใน เมื่อก่อน แต่เราดันชอบการ์ตูนน่ารัก เราจะพยายามยังไงได้บ้าง ผลผลิตของแนวคิดนี้ก็ออกมาเป็น เช่น Baby Metal คือมันไม่ได้คิดจากอะไรก่อนหรอก มันแค่หาส่วนผสมบางอย่างเจอ เราว่าอะไรที่มันเป็นยูนีกมันเกิดจากการผสมมากกว่า มันไม่มีอะไรใหม่แล้ว
UNLOCKMEN : มันสามารถเกิดสิ่งใหม่โดยที่โดยไม่เอาของคนอื่นมารวมกันได้มั้ย
ไม่คิดว่าเป็นอย่างงั้น เพราะว่ายังไงเราก็เลี่ยงยาก เราโตมาอาจจะเคยเหมือนฟังเพลงนี้มาดูหนังเรื่องนั้นผ่านมาโดยไม่ตั้งใจ แล้วมันก็ออกมาผ่านมือเรา แต่เราอาจจะได้อิทธิพลมาจากอะไรบางอย่างอยู่ดีอะ แต่ทุกคนก็พยายามแหละที่จะให้มันสดใหม่เนอะ เราก็ทําไม่ได้หรอก เราก็เป็นแบบที่เราชอบนั่นแหละ
เรื่องนี้ก็น่าสนใจนะ หลัง ๆ เราก็ไปดูหนังพวก A24 เยอะ ล่าสุดเพิ่งดู Mid Sommar เพราะว่าชอบ Art Direction ถ้าตอบก็คือไม่ใช่หนังที่ดีอะไรขนาดนั้นหรอก แต่แม่งดู 2 รอบ เหมือนมันพอดี เราว่ามันก็คือสิ่งที่เราเรียกว่ายูนีกเหมือนกัน
UNLOCKMEN : งานส่วนตัวที่เป็น Personal Art วาดส่วนตัว กับงานที่เป็น Commercial Art ลูกค้าจ้าง มีวิธีคิดในการทำต่างกันบ้างมั้ย
วิธีการคิดไม่ต่างกันเท่าไหร่ จริง ๆ ต่างกันไม่ได้ เพราะถ้าต่างกันแปลว่าไม่ใช่เนเจอร์เราละ เราไม่ควรทํางานนี้ เราคิดคล้าย ๆ กัน แต่วิธีทํามันก็ต่างอยู่แล้ว เพราะว่าไอ้ชิ้นงานที่มันออกไปมันคนละสื่อกันอะ สมมติว่าถ้าเป็นงานที่มันเกี่ยวกับแบรนด์มันใช้คอมพิวเตอร์เยอะ ต้องหาวิธีที่เขาเอาไปทําโปรดักชันต่อได้ง่าย
แต่ถ้าเป็นงาน Painting หรืองาน Mural หรือ Sculpture ไปเน้นเรื่องการมองเห็น Visual แทนมากกว่า มันน่าจะคล้าย ๆ กัน แต่ว่าเหลื่อมกันนิดหน่อย เราเป็นคนคุยกับลูกค้าเองทั้งหมด เป็นการเหมือนหมุนด้านในงานของเราให้มันไปเจอเขา แล้วก็พูดผ่านภาษาของเราเอง
UNLOCKMEN : แต่ตั้งต้นยังไงก็ต้องเป็น nature ของพี่ ไม่งั้นมันก็จะเป็นงานที่พี่เบนซ์ไม่รับ
สําหรับเรามันควรจะเป็นอย่างนั้นนะ ไม่งั้นมันจะทําได้ไม่นานหรอก มันจะเหมือนกับว่าเป็นงาน แต่เราไม่ได้มองเป็นงานนะ เราโคตรอินเลยอะ สมมุติเป็นแบรนด์ที่ไม่น่าจะอิน เป็นหมวดผลิตภัณฑ์ สมมุติยาดมแล้วกัน เราจะเป็นพวกประเภท “งั้นกูซื้อยาดม” อินยาดมไปช่วงนึง แล้วก็คิดปรัชญาโง่ ๆ ของตัวเองขึ้นมา หาจุดโยง
UNLOCKMEN : ทุกงานลูกค้าที่เลือกคือสิ่งที่พี่อิน
ไม่ทุกอย่าง คนเราไม่ได้อินทุกอย่างอยู่แล้วใช่ไหม แต่เราต้องศึกษาเขาแล้วก็อินน่ะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องหามุมให้ได้ ซึ่งทุกงานลูกค้ามันจะมีมุมที่อินเสมอ ต้องมี ถ้าไม่มีก็จะไม่ทํา ถ้าบางอันอินมากเป็นพิเศษ ก็จะแบบ พิเศษใส่ไข่ ลูกค้าบอกพอแล้ว (ยิ้ม) ยัดเยียดเขามากไป ก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าไม่อินก็ไม่เอาเลย มันทําไม่ได้ เราไม่อยากจะให้ใครเสียประโยชน์จากเรา
ต้องอธิบายก่อนว่ามันเป็นเพราะว่าเราทํางานที่ไม่ใช่กราฟฟิกดีไซน์ ถ้ากราฟฟิกดีไซน์มันมีวิธีการประเมินด้วยบรีฟอยู่แล้วใช่ปะ ด้วยโจทย์ แต่ศิลปะไม่ได้ไง มันเป็นเราคนเดียวแล้วอะ มันใช้อย่างอื่นทดแทนไม่ได้ สมมติว่าเราไม่อินใช่ปะ แล้วกูจะวาดอะไรวะ มันวาดไม่ได้
UNLOCKMEN : งานประเภทไหน / Medium แบบไหน / Execution แบบไหนที่พี่เบนซ์ชอบที่สุด
ถ้าชอบสุด ๆ น่าจะเป็นการวาดด้วยมือกับของเล่น เราชอบเรียงของเล่นในตู้ให้มันสูงเท่ากัน เหมือนพวกจัดโต๊ะแล้วโต๊ะตรงกริดอ่ะ เป็นประเภทนั้นอ่ะ เออ ! สมมุติคิดงานของเล่นใช่ปะ ก็จะคิดเลยว่า “เดี๋ยวซีรีส์นี้มันจะมีสีเท่านี้เว้ย” กูเซ็ท Pantone ไว้ละ แต่ทําได้ตามแผนหรือเปล่าไม่รู้นะ มันเป็นความหมกมุ่นแหละ ไม่มีอะไรหรอก ไม่ได้สนใจคนซื้อเลย (ยิ้ม) แต่เราเชื่อว่าถ้าเราคิดอย่างนี้ คนที่ชอบเหมือนเราก็อาจจะรู้สึกแบบเดียวกับเรา เพราะว่าเราชอบมัน เราใส่ใจกับมันแบบว่า วางบนชั้นแล้วมันรู้สึกยังไง อันนี้ก็คือความอินนั่นแหละ
UNLOCKMEN : ไอ้เรื่องที่ถ้าไม่อินมันทําไม่ได้ มันจะเป็นวงกลมสองวงที่ค่อย ๆ เขยิบมาเจอกัน แล้วเรามีตรงกลางให้ intersect กัน หรือ เป็นจิ๊กซอว์ที่หมุนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีมุมที่มันลงล็อคพอดี
น่าจะเป็น intersect มากกว่านะ ขอแค่เหลื่อมกันเดี๋ยวขยายผลได้
UNLOCKMEN : แล้วมันมีผลไหมครับกับการที่ intersect เยอะ หรือ intersect น้อย จะทําให้งานดีหรือแย่
มีผล ๆ เพราะว่าเราคิดออกเยอะกว่าไง ก็ทำให้คิดง่ายใช่ไหม แต่ถ้ามันไม่เข้าแก๊ป เราก็ใช้เวลาเยอะขึ้น
UNLOCKMEN : แล้วลิมิตแบบไหนถึงจะพอใจสําหรับงานตัวเอง
ฟีลจะประมาณว่า สมมติว่าทําเป็นสิ่งของเพื่อเพื่อน เราก็กล้าเอาให้มันได้ รู้สึกภูมิใจกับมัน อยากนําเสนอ แต่ถ้าทําแล้วอารมณ์แบบไม่อยากให้ใครรู้เลยว่ะ ก็ไม่ค่อยดีเนอะ
UNLOCKMEN : แล้วพี่ไฟนอลงานด้วยตัวเองมั้ย
มีบ้างที่ให้ลูกมาวิจารณ์ แต่มันก็เป็นแค่อยากจะรู้ว่าคนอื่นเขาคิดยังไง แล้วเด็กก็ไม่ได้มี bias ก็จะโดนเราเรียกให้ดูบ่อยหน่อย แล้วก็ตอบไม่ค่อยเข้าหูแต่ก็ความจริงอ่ะ (ยิ้ม)
UNLOCKMEN : ในฐานะที่พี่เบนซ์เป็นศิลปินที่มีการคอลแลบกับแบรนด์อยู่ตลอดเวลา อยากรู้ว่ามีวิธีการหรือกลยุทธ์อะไรที่ทําให้แบรนด์เข้ามาจ้างเราสม่ําเสมอ
อยากรู้เหมือนกันแต่มันไม่มี ก็คือแค่ทําไปเรื่อย ๆ มันไม่ได้มีทฤษฎีอะไรหรอก ถ้ามันมีก็ดี เราก็อยากรู้เหมือนกันแหละ (ยิ้ม) แต่เราก็ทําได้แค่ชอบอะไรก็ทำอย่างนั้นไปเรื่อย คงเป็นความสม่ำเสมอมั้งถ้าให้พูด เราว่าทําอะไรก็ได้ขอแค่ความสม่ําเสมอ เดี๋ยวก็มีคนเห็นเอง ตอนแรกเห็นบ้างไม่เห็นบ้างก็ทําไปก่อน
ต้องบอกว่าเราทํางานที่ไม่มีโจทย์หรือไม่มีลูกค้าเยอะมากกว่า ไม่มีใครอยากดู ไม่มีได้มีรีเควส ก็ทําไปเป็นชีวิตประจําวันอยู่แล้วอะ ก็ต้องบอกว่าพลาดเยอะกว่าสําเร็จอยู่แล้ว แต่อาศัยว่าทําเยอะมันก็เลยเกิดความสม่ําเสมอขึ้น คนก็เห็นว่าเราเอาจริงเอาจัง
UNLOCKMEN : แล้ววันที่เกิด Art Block เคลียร์กับตัวเองยังไง
ก็ไม่ต้องไปทํา เคยตั้งท่าเต็มที่เลยนะ จัดโต๊ะเรียบร้อย บางวันจุดเทียนหอมด้วย ไม่มาว่ะ ล่ม แล้วก็เล่น Tik Tok (หัวเราะ) เราก็คนทั่วไปเหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับกับตัวเองด้วยว่าเสียไปแล้ว 1 วันนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องเอาใหม่ เคยอ่านหนังสือมาไอน์สไตน์เขาบอกว่า การพักผ่อนเป็นส่วนหนึ่งของการทํางาน เป็นข้ออ้างที่ดีมากเลย (หัวเราะ) อ๋อ นี่แหละส่วนหนึ่งของงาน เปิดหนังเปิดการ์ตูนดู ซึ่งในใจมันจะคิดว่าพรุ่งนี้ต้องมานะ แต่ก็ห้ามคิดเพราะเป็นการพักผ่อน เราก็ต้องดีลกับตัวเองอย่างนี้ทุกวัน ความยากเป็นตรงนี้ ต้องบริหารทรัพยากรพลัง
UNLOCKMEN : จะเป็น Art Block บ่อยช่วงไหน
เป็นบ่อยในช่วงที่เราปล่อยไปหมด เหมือนเรามีไอเดียที่เราจดกันไว้ใช่ไหม แต่ละคนก็จะมีที่โจทย์ของตัวเอง พอเราใช้ไปเยอะ ๆ มันก็จะหมด ไอเดียมันเหมือนกับบ่อน้ําผุด เราก็วักกิน ๆ จนมันผุดไม่ทัน บางครั้งก็ต้องหยุด อย่าเพิ่งไปกินมัน รอมันขึ้นมาก่อน ก็คือพักอะแหละ เหมือนต้องไว้ใจร่างกายมนุษย์ว่าพอผ่อนคลายแล้วเดี๋ยวมันมา
เคยเห็นคนที่เขาอาบน้ําแล้วไอเดียมาปะ วิทยาศาสตร์มันคือ หลอดเลือดขยายเข้าสมองเยอะ อาบน้ําร้อน หรือกําลังจะนอนแล้วมา ต้องลุกขึ้นไปจด เพราะมันกําลังผ่อนคลายเต็มที่ เส้นเลือดสมองขยาย แต่เราดันไปบังคับไม่ได้ไง
UNLOCKMEN : อยากรู้วิธีการทำงาน Commercial Artแบบ ไม่ให้สูญเสียตัวตนของตัวเอง
เราไม่ค่อยอยาก Based On บน Commercial นะ เราว่าคนทํางานศิลปะมันควรเป็นเนื้อเดียวไปหมด มันควรเหมือนเจล ให้มันเป็นปกติของการทํางาน ไม่แบ่งหมวด จะแบ่งหมวดในแง่วิธีการทําเฉย ๆ ก็พอ แต่วิธีคิดมันควรจะมั่นคงมาก ๆ เช่น ช่วงนี้กําลังสนใจเรื่องนี้ สต็อกเอาไว้ พอถึงเวลาที่ต้องใช้ก็หยิบออกมา มันก็เป็นตัวเราไง มันไม่ต้องไปหาจากตรงอื่นเพราะเราตุนไว้แล้ว มันต้องเป็นลักษณะเตรียมตัวตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นแบบ Graphic Design เข้าใจได้เลย เพราะมันไม่เหมือนกัน ผมเองทำงานกราฟิกก็ยากเหมือนกัน ขายไม่ค่อยผ่านเลย มันชัดเกิน สีแบบเดิมอีกแล้ว
UNLOCKMEN : โปรเจกต์ Born ที่ ม.กรุงเทพ เกิดขึ้นได้ยังไง
ประติมากรรมตัวนี้มันเกิดจากว่าเราไปทํางานกับทาง ม.กรุงเทพ เขากำลังจะเปิดรับนักศึกษาของปีนั้น เราก็ไปทํา Key Visual Design ให้ แล้วก็อาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นศิษย์เก่าด้วยก็มีความค่อนข้างจะผูกพัน แล้วก็ค่อนข้างรู้ข้อมูลตามประสาคนเรียนมา ทีนี้ ทางมหาวิทยาลัยเค้าก็อยากจะได้ชิ้นงานเราไปไว้ที่นั่นในรูปแบบนึง ซึ่งก็คุยกันหลายแบบแหละ แต่ก็มาจบที่ประติมากรรม
ตอนเราเข้าเรียนมหาลัย เหมือนว่าคําถามแรกที่เกิดขึ้นก็คือมาหาตัวเอง ซึ่งก็เจอบ้างไม่เจอบ้าง คําตอบมันไม่ได้สําคัญเท่าไหร่หรอก มันสําคัญว่าเราได้ลองหาไหม อาจจะไม่เจอ แต่ถ้าได้ลองมันก็จะไม่คาใจ เราก็เลยดีไซน์มันเป็นเหมือนไข่ เป็นตัว LOOOK ที่กําลังโอบอุ้มไข่ไว้ ไข่ก็คือเราที่เข้าไปเรียนปีหนึ่ง แล้วก็เหมือนแบบกูจะเกิดมาเป็นอะไรวะเนี่ย ไข่มันก็จะมีรอยแตก-แต่รอยแตกมันเป็นสีทะลุเลเวล ลึกเข้าไปเรื่อย ๆ สีมันก็จะหมายถึงความสนใจ บุคลิก ตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นมาตอนเราเรียนมหาลัยก่อนเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่ เป็นช่วงเวลาสําคัญก็ต้องมีคนที่ประคองไว้ ซึ่งก็คือสถานที่มหาลัยนั่นแหละ แล้ว LOOOK ก็เป็นตัวสีขาวเพื่อจะเป็นซัพพอร์ต คนที่เกิดมาจากใครก็จะเป็นตัวตนของเขาเอง ก็เลยชื่อ Born
UNLOCKMEN : ชีวิตช่วงมหาลัยของพี่เบนซ์สําคัญต่อการเป็นศิลปินทุกวันนี้มากแค่ไหน
สําคัญมากเลย ตอนเข้าไปปี 1 เราเป็นเด็กโรงเรียนวัดที่โลกแคบ มหาลัยมันก็ใหญ่ สังคมมันใหญ่ คนมาจากทุกที่ แล้วเราได้ไปคุยกับรุ่นพี่คนนึงเป็นเพราะว่ารุ่นพี่คนนี้เล่นเบสเหมือนกัน ก็เลยกล้าที่จะมีหัวข้อสนทนา มันนําไปสู่ว่าเพื่อนเขาเป็นคนนู้นคนนี้คนนั้น ชวนมาเล่นดนตรีกัน มันก็จะนําไปสู่สังคมใหม่ ๆ เพลงใหม่ ๆ แล้วก็เริ่มเริ่มขยายไปเรื่อย ๆ มันก็ฟูมฟักเราขึ้นมา
มันมีอยู่วันหนึ่งตอนปี 1 เขาจะให้ทําป้ายห้อยคอ แล้วเราทําเป็นแผงล็อตเตอรี่แบบพับได้ เพราะเราอายเว้ย ต้องเปิดชื่อตลอดเวลาเลยทําฝาปิด แล้วมีรุ่นพี่คนหนึ่งมาบอกว่า เราจําคําพูดเขาได้นะ “เดี๋ยวอนาคตนายรุ่งแน่” เราแม่งโคตรมีกําลังใจเลย เพราะว่าเราเรียนโคตรห่วย อาจารย์โยนงานลงพื้นตลอดเวลา ไม่เก่งเลย จนมาได้ยินอันนี้แล้ว รู้สึกว่าเขาอาจจะไม่ได้พูดจริงก็ได้ไม่รู้ แต่จังหวะมันได้ เรายอมรับเลยว่าในอายุเท่านั้นคําพูดแรงบวกมันมีผลว่ะ
UNLOCKMEN : ยังมีเป้าหมายที่พี่เบนซ์อยาก UNLOCK ในฐานะศิลปินแต่ยังทําไม่ได้อยู่บ้างมั้ย
ไม่รู้ว่าจะทําได้หรือเปล่าเอาเป็นว่าจะพยายามแล้วกัน อยากจะทํางานในแนวทางที่ตัวเองสนใจไปให้ได้นานที่สุดจนรู้สึกว่าทําไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ยาก แล้วก็อยากจะรู้สึกสนุกกับมันเหมือนตอนที่เรายังเด็ก ตอนนี้เราสนใจแต่ว่าตัวเองอยากทำอะไรมาก เหมือนม้าแข่งมั้ยที่ปิดตา หมกมุ่นจัด ก็เลยพยายามจะรักษาโมเมนตัมนี้ให้ได้ แล้วรู้สึกว่าสําคัญด้วยที่ต้องทํา
UNLOCKMEN : อยากให้ช่วยแนะนําศิลปินรุ่นใหม่ที่อยากชัดเจนทั้งความเป็นตัวเอง ทั้งอยากประสบความสำเร็จ
สนใจแต่เรื่องตัวเองพอ ไม่ต้องไปสนว่าใครสําเร็จ ใครไม่สําเร็จ ใครเก่ง ใครไม่เก่ง ใครได้โอกาส ใครไม่ได้โอกาส แม่ง Bullshit มันอยู่ที่ว่าเราพยายามของเราแบบนี้ ไปข้างหน้าวันละหน่อยก็ได้วะ แต่ว่าต้องแซงเมื่อวานนะ เราว่ามันพอใจง่ายกว่าการที่เราไปเปรียบเทียบคนอื่น