Volkswagen ID.Buzz การกลับมาของรถตู้ทรง Retro ขุมพลังไฟฟ้าที่ทั้งโลกเฝ้ารอ

ปล่อยให้รอกันมานานหลายปี หลังจากเปิดตัว concept ไปตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีภาพแง้ม ภาพหลุดออกมาให้เห็นพอหายคิดถึงกันเป็นระยะ แต่ก็ยังไม่มีคำยืนยันจาก Volkswagen ว่าจะผลิตจริงเมื่อไหร่

แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาของรถตู้มหาเสน่ห์ที่ใกล้จะเปิดตัวเข้าไปทุกที โดยวันนี้เราจะมาสรุปประเด็นเท่าที่มีเปิดเผยของ Volkswagen ID.Buzz ที่หลายคนเฝ้ารอกันครับ

Volkswagen ID.Buzz ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานแพลตฟอร์มพลังงานไฟฟ้าที่แชร์ร่วมกันในเครือ เรียกว่า Modular Electric Drive Kit (MEB) โดยจะมีด้วยกันสองรุ่นคือ ID.Buzz และ IC.Buzz Cargo ซึ่งแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์การใช้งาน

แน่นอนว่าขุมพลังพื้นฐานจะใช้ไฟฟ้า 100% โดยวางแบตเตอรี่ lithium-ion จำนวน 12-module รวมความจุ 77 kWh ไว้ด้านล่างสุดของตัวรถ ให้พละกำลัง 201 แรงม้า แรงบิดราว 229 ปอนด์ฟุต ขับเคลื่อนล้อหลัง ตัวเลขไม่หวือหวาแน่นอนเพราะไม่ใช่รถที่ต้องทำความเร็วสูง แต่ที่สำคัญคือความเร็วสูงสุดถูกจำกัดเอาไว้เพียง 144 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเราคาดว่าน่าจะต้องมีรุ่นที่แรงกว่าตามออกมาภายหลังไม่เกินปี 2023

มิติตัวถังของ Volkswagen ID.Buzz ทั้งสองรุ่นย่อยมีขนาดเท่ากันคือ ยาว 185.5 นิ้ว กว้าง 78.1 นิ้ว ฐานล้อยาว 117.6 นิ้ว แตกต่างกันที่ความสูงซึ่งรุ่นธรรมดาจะสูง 76.3 นิ้ว ส่วนรุ่น cargo จะสูงกว่าเล็กน้อย

ด้านการควบคุมคาดว่าจะทำได้ดี เพราะทั้งจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำจากการวางตำแหน่งแบตเตอรี่ และระยะ overhangs ที่สั้นทั้งหน้าหลัง และการเป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่ลดทอนอุปกรณ์ส่งกำลังทั้งหมดออกไป ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยภายในเพิ่มมากขึ้นแม้จะดูขนาดไม่ใหญ่โตเทอะทะมากก็ตาม

ภายในของมีกลิ่นอายของความ retro แต่ก็เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย หน้าจอ Digital Cocktpit มีสองแบบคือขนาด 10 นิ้ว และ 12 นิ้ว คอนโซลกลางมีจอ infortainment ขนาด 10 นิ้ว ช่องแอร์และปุ่มใช้งานแบบ touchscreen ถูกดีไซน์ให้ใช้งานง่าย นั่งโดยสารสบายด้วยเบาะนวดและที่พักแขน

เรื่องสีสันของ Volkswagen ID.Buzz เรียกว่าจัดเต็ม ภายนอกมีสีให้เลือกมากมาย ทั้งแบบ single-color จำนวน 7 สี Candy White, Mono Silver, Lime Yellow, Starlight Blue, Energetic Orange, Bay Leaf Green, Deep Black และแบบ two-tone อีก 4 คู่สี

ประเทศในยุโรปจะได้กลุ่มแรกที่ได้สัมผัสกับ Volkswagen ID.Buzz ซึ่งเตรียมเริ่มการผลิตในช่วงครึ่งปีแรก คาดว่าจะส่งมอบได้จริงภายใน quarter 3 ส่วนราคาและสเปกทั้งหมดน่าจะตามมาเร็ว ๆ นี้ เพราะจะเปิดให้จองกันภายในเดือนพฤษภาคมแล้ว

เชื่อว่าในประเทศไทยคงไม่ต้องรอนานมาก เพราะ Importer บ้านเราทำงานรวดเร็วอยู่แล้ว แถมไม่ต้องคิดอะไรมากเพราะไม่มี VW Thailand ให้รอหรือหวัง warranty แต่อย่างใด เรียกว่าซื้อกับใครก็ไม่ต่างกัน แต่เรื่องการซ่อมบำรุงคงต้องเป็นประเด็นให้หวั่นใจเล็กน้อย เพราะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งคันนั่นเองครับ