Life

ยิ่งเติบโต ยิ่งเรียนรู้: “ฌอห์ณ จินดาโชติ”ตัวตนนิ่งลึกที่บ่มเพาะจากวันเวลาและวิธีคิดแบบ ETERNITY

By: PSYCAT December 24, 2019

คุณหยุดเรียนรู้เมื่อไหร่? เมื่อเรียนจบ เมื่อสอบวัดผลเสร็จ หรือเมื่อใดกันแน่? ใครหลายคนหยุดเรียนรู้ เมื่อคิดว่าตัวเองเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่มีตัวตนสุขุม นิ่งลึก ผู้เชื่อว่ายิ่งเป็นผู้ใหญ่มากเท่าใด ยิ่งมีความรับผิดชอบมากเท่าไหน ยิ่งต้องเรียนรู้ เพราะสำหรับเขาการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด การเรียนรู้เป็น Eternity และทำให้เขาเป็นเขาในวันนี้

“ฌอห์ณ จินดาโชติ” ใต้ชื่อของผู้ชายคนนี้มีนิยามจำนวนมากที่ใช้บ่งบอกความเป็นเขา พิธีกรมืออาชีพ นักแสดงฝีมือโดดเด่น นักเขียนที่มีภาษาเฉพาะตัว จนกระทั่งช่างภาพที่มีมุมมองแตกต่าง แม้จุดเริ่มต้นของเขาคือการเริ่มเป็นนักแสดงตั้งแต่อายุ 18 ปี ก่อนจะรับผิดชอบบทบาทที่หลากหลาย แต่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ดูประสบความสำเร็จไปทั้งหมด

อะไรคือกุญแจที่ทำให้เขาสามารถทำทุกอย่างได้ดีขนาดนี้? เบื้องหลังตัวตน วิธีคิดสุดหนักแน่นของเขาคืออะไร? เราอยากชวนทุกคนมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน

“ปรับตัวให้เข้ากับทุกสิ่งได้” นิยามความเป็นผู้ใหญ่ในแบบ ฌอห์ณ จินดาโชติ

เพราะเขาคนนี้ทำงานที่หลากหลาย แต่ก็สามารถทำทุกอย่างออกมาได้อย่างมืออาชีพ ทำให้เราสัมผัสได้ว่าเขามีความเป็นผู้ใหญ่ มีความสุขุมนิ่งลึกไหลเวียนอยู่ภายในตัวเสมอ ไม่ใช่แค่ในปัจจุบันเท่านั้น แต่นับย้อนกลับไปถึงวันที่เขาเริ่มเล่นละครเรื่องแรกด้วยวัยเพียง 18 ปี แม้จะยังเด็กมาก แต่ฌอห์ณ จินดาโชติกลับสามารถรับผิดชอบบทบาทหน้าที่ตัวเองได้เกินอายุ

“ผมว่าความเป็นผู้ใหญ่ ความสุขุมคือการที่เราเลือกใช้เหตุและผล การแก้ไข หรือปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และสิ่งรอบตัวได้อย่างสมดุล อย่างมีเสน่ห์ การเป็นผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องคีปคูลอยู่ตลอดเวลาเพื่อทำให้คุณเท่ บางทีคุณหลุด คุณยิ้ม คุณขำอย่างเป็นธรรมชาติ มันก็ทำให้คุณดูทั้งน่ารักและสุขุมได้เหมือนกัน

การเป็นตัวเอง เอาสิ่งที่เราเป็นเรา และเอาวุฒิภาวะตามวัยของเราออกมาใช้ให้เข้ากับสถานการณ์หรือบุคคลอย่างมีเสน่ห์ ผมว่านี่น่าจะเป็นความสุขุม ความคูลที่ผมในวัยย่างเข้า 31 เข้าใจ ณ ตอนนี้”

“เราทุกคนล้วนมีความเป็นผู้ใหญ่และความเป็นเด็กอยู่ในตัว เราตัดสินใจจะเป็นผู้ใหญ่จากวุฒิภาวะและการหล่อหลอมของสังคมที่เราอยู่ แต่ถามว่าเราจะเอาความเป็นผู้ใหญ่มาใช่เมื่อไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และประสบการณ์ ผมก็ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ต่างจากคนอื่น แต่ในวุฒิภาวะ สถานการณ์ตรงนั้น ผมต้องเรียกพาร์ตความเป็นผู้ใหญ่ออกมาใช้ 

ตอนเรายังเด็กเรามักได้รับการให้อภัยจากคนที่โตกว่าได้เสมอ แต่พอเวลาผ่านไปปีต่อปี ความผิดพลาดมันต้องน้อยลง เพราะความรับผิดชอบมันต้องมากขึ้น”

“ผมทำงานตั้งแต่เด็ก อายุประมาณ 17-18 การมีบทบาทที่มากขึ้น ความรับผิดชอบที่มากขึ้น กับจำนวนเวลาที่เท่าเดิม ผมได้รับบทเรียนที่มากกว่าคนอื่นคือการวางแผนอยู่เสมอ การยอมรับความเปลี่ยนแปลง และเป้าหมายที่ชัดเจน ทุก ๆ ปีคือการเรียนรู้ การเรียนรู้ที่ดีคือการเก็บเกี่ยวอยู่เสมอ ตั้งแต่ผมอายุ 17 ผมเก็บเกี่ยวอยู่ตลอดเวลา แล้วก็พยายามสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่ตลอดว่าตัวเองต้องการอะไร”

 
ชื่อเสียงเป็นเรื่องชั่วคราว แต่การทำเพื่อครอบครัวและเพื่อผู้อื่นยั่งยืนกว่า

ไม่ใช่นักแสดงทุกคนที่เริ่มทำงานตั้งแต่ยังเด็กแล้วจะสามารถยืนระยะเวลาในวงการต่อมาได้อีกเป็นสิบปี ฌอห์ณ ไม่เพียงแค่ยืนระยะ แต่ความเป็นผู้ใหญ่ สุขุมและช่างขบคิดยังทำให้เขาเข้าใจสัจธรรมของงานวงการบันเทิงได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่น

ในขณะที่ใครหลายคนอาจเห็นวงการบันเทิงเป็นพื้นที่แห่งแสงสว่างเจิดจ้า แต่สำหรับเขาแสงไฟเหล่านี้อาจดับลงเมื่อใดก็ได้ แต่การทำเพื่อครอบครัวและผู้อื่นต่างหากที่จะสว่างในใจผู้คนได้ยาวนานกว่า

“วงการนี้สอนอย่างหนึ่งคือไม่มีคำว่าจีรังยั่งยืน มันมีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอด แต่สิ่งที่จะทำให้เราอยู่ได้คือความเข้าใจและตัวตน นั่นคือการเรียนรู้”

“สิ่งที่ผมพยายามทำคือการทำตัวให้มีประโยชน์กับคนรอบข้างและสังคม ผมเล่นละครไปเป็น 10 เรื่อง มีการรีเมค เราก็จะเป็นแค่ตัวละครนี้ในเวอร์ชันปีที่เท่าไหร่ แล้วก็จะมีเจนใหม่ ๆ เข้ามาหมุนเวียนเปลี่ยนไป แต่ผลงานที่มีผลต่อผู้คน คนจะพูดถึงยาวนานกว่า

เราอยากให้คนจำแบบนั้น ผู้ชายคนนี้ไงที่ชอบบริจาคน้ำเหลืองพลาสม่า เขาช่วยรณนรงค์นะ มันสำคัญนะ ช่วยโรคมะเร็งนะ ผมก็พยายามทำจุดที่ผมทำได้ และทำให้เป็นจุดแข็ง อีกไม่นานผมก็แก่ อีกไม่นานผมก็มีครอบครัว อีกไม่นานก็มีคนมาแทนที่ผม สิ่งที่ผมทำเพื่อคนอื่นมันน่าจะอยู่ได้นานกว่า”

 

เพราะเรางอกงามจากเมล็ดพันธุ์ที่ต่างกัน เราจึงเติบโตในแบบที่แตกต่าง

ฌอห์ณ จินดาโชติที่เราเห็นในวินาทีนี้คือตัวตนนิ่งลึกที่ผ่านการบ่มเพาะจากวันเวลาและบทเรียนในชีวิต จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่าบทเรียนแบบไหนที่ทำให้เขาสามารถเป็นตัวเองได้อย่างละเมียดละไม แต่ก็หนักแน่นไปในเวลาเดียวกันถึงเพียงนี้

“ผมถูกสอนมาว่าคนเรามาจากเมล็ดพันธุ์ที่ต่างกัน เราไม่ใช่พืชผักผลไม้ชนิดเดียวกัน เวลาเราเลี้ยงเด็ก ผมถูกสอนมาว่า อย่าเลี้ยงโดยหลักการเดิม เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้จะเป็นทุเรียน เงาะ หรืออะไร วิธีการการเลี้ยงของเรามันต้องแตกต่างตามความเหมาะสมของเขา”

“คนเราถูกสร้างมาให้แตกต่างกัน และมีประโยชน์แตกต่างกัน ถ้าเราเหมือนกันหมด โลกมันก็คงเป็นสีเดียวกันหมด โลกคงไม่มีพลวัฒน์ ไม่เคลื่อนไหว ฉะนั้นผมเชื่อว่าคนเราแตกต่างกัน แต่ความแตกต่างที่ดีคือการเข้าใจ ไม่ใช่เอาความต่างในคนอื่นมายัดเยียดในความเป็นเรา”

“ผมเชื่อว่าคนบนฟ้าไม่ได้ให้ผมมาร้องเพลง เพราะผมน่าจะทำอย่างอื่นดีกว่า ผมไม่สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลายชนิด แต่ผมรู้สึกว่าผมชอบจับกระดาษปากกา ชอบจับเลนส์กล้อง พอเราเจอจุดนั้น เราทำประโยชน์ได้มากมาย พอเราเจอจุดที่เรามีคุณค่าต่อตัวเองและคนอื่น มันก็เป็นจุดที่ปลอดภัยกับตัวเรา”

“ทุกคนก็ลองดูว่าเราเกิดมาถูกสร้างมาเพื่อทำอะไร? เราทุกคนล้วนมีประโยชน์ ในรูปแบบของเรา อย่าเอาประโยชน์ของคนอื่นมายัดเยียดใส่ในตัวเราเองก็พอ”

“ผมว่าตอนเรายังเด็ก เราทุกคนล้วนตามหาไอดอลของตัวเอง ทุกคนจะมีโรลโมเดลเป็นของตัวเอง ผมก็มีคนที่ผมคอยทำตามอยู่ตลอด แต่สุดท้ายพอโตขึ้น เราจะรู้สึกเลยว่าการวิ่งตามหาคนอื่นมันเหนื่อยมาก การพยายามเป็นตัวตนของเราดีกว่า ตัวตนของเราคือสิ่งใกล้ตัวและมีคุณค่า มันเจ๋งกว่า”

“อย่าพยายามจะเป็นคนอื่น พยายามหาจุดดีของตัวเอง ทำจุดดีให้เป็นจุดแข็ง แล้วสร้างจุดแข็งให้เป็นจุดขาย คุณพลอย จินดาโชติ สอนผมว่าอย่าพยายามเอาสิ่งที่มันไม่ใช่เรามาเป็นเรา เรียนรู้ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้ แต่อย่าพยายามเอาเอกลักษณ์ของคนอื่นมายัดใส่ในความเป็นตัวเอง”

“เราต้องเข้าใจในธรรมชาติของตัวเรา เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของตัวเรา เราจะรักธรรมชาติของตัวเรา แล้วนำมาปรับใช้ได้อย่างถูกต้อง ผมก็เลยพยายามไม่วิ่งตามในสิ่งที่มันไม่ใช่ แต่พยายามหาจุดดีแล้วชื่นชมในสิ่งที่เรามี แล้วก็ปรับจุดด้อย ให้เป็นตัวเรามากที่สุด”

 

คำสบประมาทและความท้าทาย ถึงไม่ชอบ แต่สอนให้เราเรียนรู้

ไม่ว่ามนุษย์เราจะมั่นคงกับวิธีคิดของตัวเองเพียงใด แต่ทุกครั้งที่เราก้าวออกไปทำอะไรใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยทำมาก่อน เราย่อมหลีกเลี่ยงคำสบประมาทจากคนอื่นได้ยาก ฌอห์ณเองก็เช่นกัน ยิ่งเริ่มทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยคำสบประมาท อุปสรรค สิ่งที่ไม่ชอบ ยิ่งวิ่งไล่เขาเป็นเงาตามตัว

“ผมว่าเมื่อเราเริ่มก้าวแรก ทำอะไรที่แตกต่างจากเดิม เราทุกคนล้วนกลัวคำติติง และต้องเจอคำสบประมาทเป็นธรรมดา ผมเริ่มเขียนหนังสือตอนอายุประมาณ 24 แน่นอนว่าเด็กคนหนึ่งที่เป็นใครก็ไม่รู้มาเขียนหนังสือย่อมเป็นเรื่องแปลก น่าจะถูกพูดถึงในทางที่ต่างออกไปหลาย ๆ ทาง

“ผมคงห้ามเสียงคนอื่นไม่ได้ แต่ผมดับหูฟังข้างหนึ่งได้เสมอ ผมหลับตาข้างหนึ่งได้ แต่ผมคงไม่หลับหูหลับตาสองข้างแล้วเดินไปข้างหน้าโดยไม่เห็นอะไรเลย”

“ผมก็เลยเลือกฟังและไม่ฟัง สุดท้ายผมแคร์คนที่อยู่ใกล้ตัวผมมากที่สุดดีกว่า เพราะเขาเติบโตมากับเรา เขาเห็นสิ่งที่เราทำ เลยเลือกที่จะเพิกเฉย แล้วตั้งใจทำโดยไม่หวังผลอะไร เพราะหนังสือ เราไม่ได้ตั้งใจเอาเงินเข้าตัวอยู่แล้ว เราทำเพื่อช่วยมูลนิธิ ช่วยคนอื่น ถ้าทำแล้วเกิดผลดีก็ถือเป็นกำไรชีวิต ถ้าไม่ได้เกิดอะไรขึ้นมา ก็ถือว่าอย่างน้อยเราได้ทำ”

“ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนตัวคนเดียว โอเค ผมเกิดต่างแดนแหละ แต่ผมมีโอกาสได้กลับไปต่างแดนอีกรอบโดยภาวะที่ต้องช่วยเหลือตัวเองค่อนข้างมากในวันที่อายุยังน้อย มันเป็นแบบทดสอบที่ทดสอบจิตใจมาก ๆ เกิดคำถามมากมายว่า ทำไมเราต้องมาดิ้นรนแบบนี้ ทำไมเราต้องมาเจอความยากลำบาก แต่ผมก็ได้รับบทเรียนที่ดีจากผู้ปกครองจากครอบครัว”

“ถ้าเราไม่รู้จักความยากลำบาก เราจะไม่รู้จักความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะได้มากมาตั้งแต่เด็ก เราก็จะไม่รู้จักอดออม ตั้งแต่ตอนนี้”

“มันเป็นจุดที่เด็กคนหนึ่งไม่ชอบหรอก แต่มันปลูกฝังระบบความคิดผม จัดแจงมายด์เซ็ตผมให้เข้าที่ ผมค่อนข้างเปิดรับความแตกต่างหลากหลาย ของผู้ร่วมงาน ของผู้ร่วมใช้ชีวิต ไม่ตัดสินความแตกต่างของเขา เพราะผมรู้สึกว่าทุกคนล้วนแตกต่าง และผมให้โอกาสตัวเองและผู้อื่นเมื่อผิดพลาด”

“ที่สำคัญคือไม่ปิดโอกาส หรือการได้เรียนรู้อยู่เสมอ ผมว่ามันมาจากการที่ผู้ปกครองสอนผมจากสิ่งนั้น ทำให้มุมมองชีวิตของเราเปลี่ยนไปและเป็นมุมมองชีวิตที่แตกต่างขึ้นมา”

“ผมว่าความชอบ ความไม่ชอบ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด บางทีเสื้อผ้าที่คุณซื้อมา บางทีคุณยังไม่ได้ใส่มันสักที เพราะตอนที่คุณซื้อคุณชอบ แต่พอคุณเอามาลองที่บ้าน คุณไม่ชอบ บางอย่างที่คนเขาซื้อมาให้คุณคุณบอกไม่ชอบ แต่ไป ๆ มา ๆ แต่ใส่แล้วดันชอบ”

“ความชอบหรือไม่ชอบมันเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนได้ตลอด ฉะนั้นอย่าเพิ่งปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ชอบ เพราะสิ่งที่ไม่ชอบมันอาจจะเป็นสิ่งที่ใช่ในภายภาคหน้า หรืออย่าไปย้ำคิดย้ำทำกับสิ่งที่ชอบมาก เพราะวันหนึ่งเมื่อคุณไม่ชอบมัน มันอาจจะเป็นสิ่งที่ทำลายคุณก็ได้”

 

เมื่อความสำเร็จไม่ใช่ถ้วยรางวัล แต่คือความพยายาม

จากมุมมองคนนอกที่มองเขา เรากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าภายใต้ตัวตนสุขุมนิ่งลึกคือมนุษย์ที่ประสบความสำเร็จสารพัดรูปแบบ เป็นพิธีกรก็ได้ เป็นนักแสดงก็น่าชื่นชม เป็นนักเขียนก็สามารถส่งต่อแรงบันดาลใจ อีกทั้งยังเป็นช่างภาพที่นำเสนอมุมมองแปลกใหม่

แต่ยิ่งคุยกันเราก็ยิ่งเห็นสิ่งที่อยู่ลึกลงไปในตัวผู้ชายคนนี้มากขึ้น เพราะสำหรับเขา ความสำเร็จไม่ใช่แค่ถ้วยรางวัลหรือสิ่งที่คนอื่นตัดสิน แต่คือตัวตนและความพยายามของเขาต่างหาก

“ผมไม่รู้ว่ามันถูกหรือเปล่า แต่ผมว่าถ้าคุณคิดว่าคุณสำเร็จ มันจะจบแค่นั้น แต่ถ้าคุณคิดว่ามันไม่สำเร็จคุณก็จะไปได้อีกไกล มันเป็นหลักพื้นฐานที่ทุกคนคงได้ยินมาตลอดว่าจงเป็นแก้วน้ำที่ไม่เต็มอยู่เสมอ เป็นน้ำครึ่งแก้ว เพื่อรอการเติมจากสิ่งรอบข้างอยู่เสมอ พยายามทำตัวให้แก้วน้ำของเรามันว่างเปล่า”

“ถ้าใครถามผมว่าผมประสบความสำเร็จไหม? ผมมองว่านี่เพิ่งเริ่ม ยังไม่ได้ไปถึงไหนมากเท่าไหร่ คนยังจำผมในมุมที่หลากหลาย ยังไม่มีจุดร่วม ว่าสรุป เอ๊ะ ฌอห์ณเป็นคนประเภทไหน? มีหลักการแบบไหน? ภาพจำแต่ละคนต่อผมไม่เหมือนกัน ไม่มีจุดร่วม  ผมคิดว่าผมต้องเดินทางอีกพอสมควร ต้องพิสูจน์ตัวเองอีก และเจอบททดสอบในแต่ละปีที่แตกต่างออกไป”

“เพราะฉะนั้นความสำเร็จเป็นแค่นามธรรม มันไม่เคยมีรูปร่าง วัดกันไม่ได้จากถ้วยรางวัล ความสำเร็จของเราเทียบกับคนอื่นไม่ได้ คนที่จะรู้สึกว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่ตัวเรา”

“ถ้าวันไหนที่คุณรู้สึกว่ามันสำเร็จแล้ว มันก็หยุดนิ่งอยู่แค่นั้น มันจะไม่ไปต่อ ผมเลยคิดว่าความสำเร็จคือการพยายามต่อไป”

 

ทัศนคติคือแก่นหลัก รูป รส กลิ่นเสียงคือ FIRST IMPRESSION บอกตัวตน

FIRST IMPRESSION ก็แค่เปลือกนอก ภายในสิสำคัญกว่า เราเชื่อว่าใครหลายคนคิดแบบนี้ เราไม่อาจบอกได้ว่าถูกหรือผิด แต่กับ ฌอห์ณ จินดาโชติ แล้ว เขากล้าบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าทั้งภายในและภายนอกต้องสอดประสานไปพร้อมกันอย่างลงตัว ทัศนคติ ตัวตนนิ่งลึกของเขาจึงไม่ต่างจากแก่นที่เราชื่นชม ในขณะที่รูป รส กลิ่น เสียง ภาพลักษณ์และ FIRST IMPRESSION ของเขายิ่งส่งเสริมให้เขาโดดเด่นเหนือใคร

“ภาพลักษณ์มีส่วนในการทำงาน คุณต้องมั่นใจก่อนว่าสิ่งที่คุณทำคุณจะทำได้ดี แล้วคุณจะทำได้ เพราะข้างในเหมือนคุณตั้งเสาแล้ว ถ้าข้างนอกคุณโอนเอนไปตามลม จุดยืนก็จะหละหลวม แต่ถ้าข้างในและข้างนอกมันสมานกัน มันเท่าเทียมกัน มันสมดุลกัน มันจะพุ่งไปสู่เป้าหมายได้ตรงกว่า

ผมก็พยายามจะยึดมั่นในความคิดที่ผมไตร่ตรองมาแล้วว่ามันโอเคที่สุด ณ เวลานี้และพยายามทำ ถ้าผมไม่เชื่อมั่นในตัวเองหรือเคารพความเป็นตัวเองจากภายในและภายนอก มันยากมากที่จะให้คนอื่นมาเคารพความคิดและเชื่อมั่นในตัวผม

“ผมว่าเรื่องรูปลักษณ์ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นโสตประสาทที่สัมผัสกันได้ทุกคน และเป็น FIRST IMPRESSION เป็นประตูของความสัมพันธ์ และประตูของหลาย ๆ สิ่ง โดยเฉพาะกลิ่นที่บ่งบอกคาแรกเตอร์ รสนิยม ตัวตน และสิ่งที่เราชอบ  สำหรับผู้ชายกลิ่นเปรียบเหมือนนาฬิกาและรถ

เช่น ผมเป็นคนชอบสีดำ ชอบใส่เสื้อสีดำบ่อยมาก มีประโยชน์เมื่อวันหนึ่ง ผมบอกรุ่นน้องว่าเราไม่ได้ใส่แค่สีดำ แต่สีดำถ้าดูดี ๆ มันบ่งบอกความเป็นตัวเรา มันมีเทกซ์เจอร์ บอกความคลาสสิก ต้องลงรายละเอียด

น้ำหอมและกลิ่นก็เหมือนกัน คุณสมบัติของมันคือให้กลิ่นหอม แต่ถ้าเรารู้จักตัวตนของเขาจริง ๆ กลิ่นแต่ละกลิ่น รูปทรงของบรรจุภัณฑ์แต่ละขวด มันบอกคาแรกเตอร์ของตัวเรา บางทีอยากรู้จักผู้ชายสักคนแค่ไปเปิดกระเป๋าเขา เราก็จะรู้เลยว่าน้ำหอมที่เขาใช้มันบอกการใช้ชีวิตของเขาได้เลย”

“การเรียนรู้” Eternity ในนิยามของฌอห์ณ จินดาโชติ

ถึงนาทีนี้เราล้วนสัมผัสได้ว่าความเป็นผู้ใหญ่ ความสุขุมและตัวตนนิ่งลึกของฌอห์ณไม่ได้มาเพราะมนตร์วิเศษ แต่มาจากทัศนคติ กาลเวลา บทเรียน ครอบครัว ไปจนถึงสิ่งที่เขาไม่ชอบ โดยผ่านการบ่มเพาะอย่าง “การเรียนรู้อยู่เสมอ” ซึ่งเป็นนิยามของคำว่า Eternity ในแบบฉบับของเขา

“สำหรับผม Eternity คือคำว่านิรันดร์ แต่เป็นนิรันดร์ที่ไม่ได้มีเงื่อนไขเป็นเรื่องเวลา แต่เป็นเรื่องการเรียนรู้ ผมว่าการเรียนรู้ของเราเกิดขึ้นได้ทุกวัน การเรียนรู้ไม่ได้อยู่ที่ตำรา แต่อยู่ที่ประสบการณ์การใช้ชีวิต การเรียนรู้ไม่ได้อยู่ที่สถานที่เสมอไป แต่อยู่ที่การเปิดใจรับ เราไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่เราได้เรียนรู้ มันถูกหรือผิดจนกว่าเราได้เอาไปใช้ ฉะนั้นชีวิตต้องเป็นแก้วที่ว่างเปล่าอยู่เสมอ รอการเติมจากบุคคลรอบข้าง” 

 

“ชีวิตของคนเรา ควรเรียนรู้เกี่ยวกับข้อผิดพลาดของตัวเอง เรียนรู้ที่จะปรับปรุงอะไรหลาย ๆ อย่างให้ดีขึ้น แค่เราก้าวขาออกจากเตียงนอน ทุกอย่างคือการเรียนรู้ใหม่เสมอ บางครั้งความผิดพลาดที่เราหลงลืมก็คือการปรับปรุงตัวเราเองในวันพรุ่งนี้ ฉะนั้นการเรียนรู้เป็นเซอร์เคิลไม่สิ้นสุด

“ถ้าวันไหนเราเป็นน้ำเต็มแก้ว มันก็จะหยุดเรียนรู้ หยุดพัฒนา ความเข้าใจต่อโลกและต่อตัวเองก็จะหยุดอยู่แค่นั้น ฉะนั้นเปิดใจให้กว้างรู้จักคำว่า Eternity ในแบบใหม่ ซึ่งก็คือการเรียนรู้ครับ”

เราทุกคนมี Eternity เป็นของตัวเอง

เพราะเชื่อว่าการเรียนรู้คือ Eternity จึงหล่อหลอมให้ฌอห์ณเติบโตงอกงามออกมาจากเมล็ดพันธุ์ของตัวเองได้อย่างมั่นคงหนักแน่น อย่างไรก็ตามเขาย้ำกับเราว่าเราทุกคนล้วนมี Eternity ในรูปแบบของตัวเอง อาจเป็นการเรียนรู้อยู่เสมอ อาจเป็นการทำเพื่อคนที่เรารักโดยปราศจากเงื่อนไข หรืออาจเป็นอะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากให้คนจดจำเราในรูปแบบใด

“คำว่า Eternity หรือนิรันดร์ เงื่อนไขไม่ได้อยู่ที่เวลา เราทุกคนล้วนมีคำว่า Eternity เป็นของตัวเอง แต่ใช้กันคนละแบบ ตามแต่เป้าหมายของเรา บางคนใช้เพื่อความสุขของคนรอบข้าง เพราะอยากให้คนรอบข้างมีความสุขที่เป็นนิรันดร์ แม้วันหนึ่งเขาจะไม่อยู่แล้ว”

“ทุกวันนี้ผมยังใช้ Eternity ในแบบของผมคือไม่มีเวลาเป็นเงื่อนไข คือการทำในสิ่งที่มันเอื้อประโยชน์ต่อคนอื่น ให้ได้มากที่สุด ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าผมจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ มันเป็นสัจธรรมของมนุษย์เรา เรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่เรามีเวลาใช้ชีวิตไม่เท่ากัน”

“สิ่งที่เราจะทิ้งไว้ได้คือผลงาน แนวทาง แล้วก็แบบอย่าง ชื่อเสียงเรามันหมุนเปลี่ยนไปตามเวลา ต่อไปก็จะมีฌอห์ณอีกมากมาย ทุกวันนี้ก็มีคนชื่อฌอห์ณเยอะ แต่ถามว่าผู้คนจะจำอะไรจากเรา? นั่นแหละคือสิ่งที่เราจะเลือกทำ เขาจะจำว่าเราทำสิ่งไหน ทั้งดีและไม่ดี นั่นก็มาจากผลงานหรือกการกระทำของตัวเราเองในปัจจุบัน

“ดังนั้นผมก็จะใช้วิธีการดำเนินชีวิตแบบนี้ เพราะผมรู้สึกว่ามันมีสติอยู่ตลอดเวลา การที่เรายังรู้ว่าเรามีเวลาเหลือเฟือทำให้เราใช้เวลาอย่างไม่คุ้มค่า แต่พอเรารู้ว่าเรามีเวลาไม่ค่อยมากพอ เราคาดการณ์ไม่ได้ เราจะใช้อย่างมีสติและเผื่อแผ่คนอื่น”

บทสนทนาจบลงด้วยแววตามุ่งมั่นของเขา ถ้า Eternity ในนิยามของผู้ชายที่เก่งสารพัดด้านอย่าง “ฌอห์ณ จินดาโชติ” คือการเปิดใจเรียนรู้อยู่เสมอ รวมถึงทำเพื่อครอบครัวและผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ แล้วนิยามคำว่า Eternity ของคุณล่ะคืออะไร?

เพราะเราล้วนงอกงามจากเมล็ดพันธุ์ต่างชนิด หา Eternity และหนทางเติบโตของตัวคุณให้เจอ ไม่ต้องเหมือนใคร แค่เติบโตในแบบของตัวเองอย่างที่ฌอห์ณ จินดาโชติทำให้เห็นแล้วว่าการเป็นตัวเองนี่แหละที่มั่นคงที่สุดแล้ว

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line