Life

รวม 11 ภาษากายอันไม่เข้าท่าของผู้ชาย ที่ถึงเวลาต้องสลัดทิ้งเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ

By: anonymK January 18, 2018

หลายคนอาจจะเชื่อว่าภาษาที่ดึงดูดใจจะทำให้ชีวิตไปได้สวย แต่ว่าถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะภาษาปากที่สะกดใจได้มันต้องมาคู่กับภาษากายที่ดีเหมาะสมกันด้วย วันนี้ UNLOCKMEN ขอชวนให้ทุกคนมาสำรวจท่าทางตัวเองกันดีกว่า ว่าภาษากายแบบไหนที่เรามักทำเป็นประจำ แต่มันไม่เวิร์กกับคู่สนทนา หรือคนที่กำลังมองดูเราอยู่ กับ 11 อิริยาบทต่อไปนี้ที่ควรสลัดมันทิ้ง

1. ขยับนิ้วมือยุกยิกไปเรื่อย

การขยับนิ้วมือมันไม่ผิดอะไร แต่เคยสังเกตไหมว่าเรามักจะทำท่าทางแบบนั้นบ่อย ๆ ตอนรู้สึกไม่มั่นใจ ซึ่งความรู้สึกนี้มันส่งผ่านถึงอีกฝ่ายได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับสาวที่ถูกใจ การ Present งานลูกค้า กระทั่งการออกคำสั่งคนใต้บังคับบัญชา ดังนั้นใครที่อยากเหลาะแหละนี้ทิ้งไปก็ลองหยุดทำท่าแบบนี้ในสถานการณ์ชวนตื่นเต้น แล้วลองไปหา “The Power of Body Language” ของ Tonya Reiman ที่เคยบอกไว้ใน Business Insider มาอ่านดู เพราะท่าที่บอกในนั้นล่ะคือท่าที่ผู้นำเขาทำกัน

 

2. จับจัดผม/หนวดเล่น


ลองปล่อยมันไปไหม? พวกพฤติกรรมนิ้วพันหนวดพันเส้นผมแก้เก้อ ABC Report ก็ออกมาบอกว่ามันยากจะเปลี่ยน แต่เราชวนให้คุณเลิกการยกมือขึ้นจับ ลูบ ม้วน พัน เส้นผมบ่อย ๆ เพราะไม่เพียงมันจะไม่โก้ แต่ยังเป็นการทำลายเส้นผมสวย กับหนวดหล่อของเราโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเมื่อไรรู้สึกเครียด หรือมือว่าง ไม่รู้จะอะไรทำ ลองไปหา Stess Ball มาขยำขยี้รับรองว่าดีกว่าเป็นกอง

 

3. กอดอกบ่อยใช่ว่าคูล

บางคนอาจจะคิดว่า ไหน ๆ มีปัญหาเรื่องการขยับมือหรือนิ้วนัก ก็เลือกใช้ท่าเก็บมือซุกไว้ดีกว่า แต่การเลือกเก็บไม้เก็บมือในท่ากอดอก ลุคนี้มันไม่ผ่าน ไม่เพียงไม่เท่ แต่ยังสื่อออกมาตรงกันข้ามด้วย เพราะท่านี้มันทำให้คุณดูน่าอึดอัด ไม่เป็นธรรมชาติ Patti Wood ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ภาษากายและนักเขียน SNAP: Making the Most of First Impressions Body Language and Charisma ประกาศว่าวิธีทำท่าดึงดูดใจเวลาสนทนาควรเป็นท่าที่โชว์มือโชว์ไม้ให้ชัด เพราะเมื่อไรก็ตามที่คนฟังมองไม่เห็นมือของคุณเขาจะผุดคำถามในใจทันทีว่า “คุณซ่อนอะไรไว้กันแน่ ?”

 

4. ยืด ดัดนิ้ว เสียผิดรูป

แม้บางคนจะมีไม่ได้มีนิสัยอยู่นิ่ง ๆ ระหว่างคุย ต้องจับนิ้วมาดัดมายืด แต่ The Washington Post เขาออกมารายงานเรื่องการขยับนิ้วระหว่างมือสองข้างที่จะเรียกความสนใจได้ดีกว่าการไล่ คือการเลี่ยงทำมือในท่วงท่าชวนพลาดอย่างการชี้นิ้ว หรือแสร้งสร้างจังหวะเป็นคอนดักเตอร์โบกไปมาขึงขังจริงจัง รวมถึงการออกสเต็ปการเต้นนิ้วมือจนพริ้วก็ดูขัดตา

 

5. ลากเท้าหรือเดินกระย่องกระแย่งแทนก้าวเดิน

ไม่ใช่แค่ท่อนบนอย่างมือ แต่ท่าเดินท่อนล่างก็ต้องใส่ใจ เพราะ BBC ออกมาบอกว่าท่าเดินเป็นหนึ่งในปัจจัยเลือกเหยื่อของการลักทรัพย์ ข้อมูลนี้มาจากการสัมภาษณ์พวกอาชญากรที่บอกออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่าคนที่เดินลงน้ำหนักเท้าอย่างมั่นใจ กระฉับกระเฉงดูไม่เหมาะ ขอเลือกพวกที่ท่าเดินเหลาะแหละไม่มั่นคงจะดีกว่า ซึ่งแม้การมาบอกให้เปลี่ยนท่าเดินในชีวิตยากเอาเรื่อง แต่สุดท้ายถ้าเปลี่ยน ผลลัพธ์จะอยู่ในทางบวกมากกว่าลบ ซึ่งถ้าจะเปรียบก็อาจบอกว่าท่าเดินมันสัมพันธ์กับชีวิต เดินลงน้ำหนักให้มั่นเข้าไว้ชีวิตจะได้ไม่ลาก ไม่สะดุด ดีจะตายไป

 

6. เก็บรอยยิ้มไว้ในหีบ

Reiman ออกมาการันตีกับ  Business Insider  ว่าแค่ยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าก็แสดงให้เห็นได้ครบหมดทั้งความมั่นใจ ความเปิดกว้าง และความอบอุ่น ควบรวมถึงแรงขับกับพลังงานแฝงที่อยู่ในตัว จุดพีคน่ารู้คือ คุณเคยสังเกตไหมทำไมคนยิ้มมาเราจึงยิ้มตอบ มันอธิบายได้ว่าเป็นเรื่องของกฎการสะท้อนอย่างหนึ่ง เพราะใบหน้าของเราจะทำหน้าที่เสมือนกระจกส่งตรงไปถึงระดับเซลล์ประสาทของคนที่คุยด้วย เข้าทำนอง ยิ้มมายิ้มกลับไม่โกง แต่ถ้าเมื่อไรที่เราไม่ยิ้มความรู้สึกห่างเหินจะเริ่มลงมือทำงาน สวมลุคทำให้คุณดูเคร่งขรึมไม่น่าคบหาในสายตาฝ่ายตรงข้ามทันที

 

7. โชว์ความวอกแวก

อะไรมันจะชวนหัวร้อนได้ดีกว่าการโดนอีกฝ่ายที่กำลังคุยด้วย ignore บอกเลยว่าไม่มี! ทว่าธรรมชาติของพวกเราบางคนก็ดันเป็นคนวอกแวก สมาธิสั้น เดี๋ยวดูมือถือ เดี๋ยวนาฬิกา ถ้ารู้ตัวว่าปกติเราเป็นแบบนั้น เจออะไรกระทบเข้านิดหน่อยใจจะตามไปมองหรือทำโน่นนี่อยู่เรื่อยให้ปรับนิสัยนี้ เพราะถ้าไม่เลิกล่ะก็งานอาจจะเข้าโดนมองว่าเป็นพวกหยาบคายและไม่ใส่ใจคนอื่นแหง ๆ

 

8. โก่ง โค้ง งอตัว

ยืนตัวตรง และนั่งหลังตรง เป็นท่าที่ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเสียอีกถ้าหมั่นทำเป็นประจำ แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังนั่งหลังค่อมและยืนไหล่ตกอยู่ เผลอทีไรก็ไหลอวัยวะไปตามแรงโน้มถ่วง ถ้าตอนนี้คุณกำลังอ่านข้อนี้ด้วยท่าทางแบบนั้น เราให้เวลาสัก 3 วินาที ยืดตัวขึ้นก่อนอ่านต่อ เพราะการงอตัวมันไม่ใช่แค่การทำลายบุคลิกภาพแต่มันยังมีผลต่อสุขภาพหลังด้วย

 

9. ดวงตาไม่โฟกัส หรือจ้องดุดัน

ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ยังเป็นวลีที่ยังใช้ได้ดี Sharon Sayler นักเขียนเรื่อง “What Your Body Says (And How to Master the Message)” เคยบอกใน Bussiness Insider ก่อนหน้านี้ว่าระยะสายตาตรึงใจ คือชุดการมองฉบับทอดสายตายาวแทนการจดจ้องแบบคุกคาม

กระนั้นถึงต้องทอดสายตาให้ยาวก็ไม่ต้องมองการณ์ไกลเสียจนหลุดโฟกัสจนทำคนที่คุยด้วยกระอักกระอ่วนใจนัก และอย่าตีความผิดว่าจ้องไปไม่ดีก็ต้องหลบตา เพราะการหลบตามันส่อสัญญาณรังเกียจหรือขาดความมั่นใจ จุดพอดีเรื่องการมองฝ่ายตรงข้ามอาจจะกำหนดยากสักหน่อย แต่ลองปรับหาระยะตรงกลางดูโดยระวังตามสิ่งที่เราบอก สังเกตดูท่าทีของอีกฝ่ายว่ารีแล็กซ์ไหม ถ้าใช่…คุณก็มาถูกทางแล้ว

 

10. เฉยเกินมันไม่เฉียบ

แม้ท่าทางไฮเปอร์มันไม่ดีแน่ ๆ แต่อย่างไรก็แล้วแต่การนิ่งจนดูผิดธรรมชาติระหว่างพูดคุยก็ไม่ควรเอามาเป็นเป้าหมาย เพราะสร้างความไม่สบายใจให้อีกฝ่ายหรือทำให้เขารู้สึกว่าเราเฉยชาใส่ ฉะนั้นลองทำตัวเป็นกระจกสะท้อนภาพคนที่คุณกำลังคุยด้วยเสียหน่อยด้วยการก็อปท่าทางมาใช้แสดงออก แต่อย่าริอ่านไปล้อเลียนเขา เพราะความเคืองจะมาเยือนแทน แค่เก็บท่าทีรายละเอียดบางอย่างมาใช้ก็พอ

Dr. Jeff Thompson เคยเขียนเรื่องนี้บอกไว้ใน Psychology Today ว่าหลักการสะท้อนท่าทางจะสร้างทัศนคติเชิงบวกกับการการโน้มน้าวใจได้ดี เรื่องนี้ออกจะยากไปบ้างถ้าใบหน้าปกติเราเป็นใบหน้าเฉย ๆ โดยเฉพาะถ้าต้องกระตุกรอยยิ้ม หรือเลิกคิ้วแปลกใจให้อินกับเรื่องอีกฝ่ายแต่สวนทางกับความรู้สึก แต่ลองเถอะ เพราะมันคุ้มที่จะพยายามและพัฒนาการรับรู้ของตัวเองให้เหนือขึ้นอีกขั้น

 

11. พูดอย่าง มือไม้ไปอีกอย่าง

บางครั้งก็ไม่ได้ผิดที่คำพูดแต่ต้องโทษภาษากายที่สื่อไปคนละเรื่อง เหมือนปากที่พูดว่า “ถึงแยกหน้าเลี้ยวซ้าย” แต่มือดันชี้ไปทางขวานี่แหละที่ไม่โอเค สุดท้ายกลายเป็นเรื่องชวนรำคาญใจ ทะเลาะกันไปเปล่า ๆ เรื่องนี้มีการวิจัยแบบจริงจังจากนักวิจัยที่ Sacred Heart University ทุ่มเทศึกษาเรื่องการสวนทางระหว่างคำพูดกับท่าทางเอาไว้ละเอียดยิบ เพราะอวัจนะภาษามันจะเก็บซ่อนความแรงของข้อความและอารมณ์ไว้อีกเพียบ พูดธรรมดา แต่หน้าตาวอนหาเรื่องเราก็ต้องระวัง!

 

เท่าที่อ่านมาทั้ง 11 อย่าง ชาว UNLOCKMEN เจอไปแล้วกี่อย่าง? บางคนอาจจะแค่อย่างสองอย่าง หรือมากกว่านั้น แต่ไม่ว่าจะกี่อย่างเราก็ควรสลัดสิ่งที่มีพวกนี้ออกไปทุกอย่าง การพัฒนาตัวเองบางทีมันก็มาจากภายในที่ยากแก้ไข ทว่าลงมือวันนี้มันจะไม่ติดเป็นนิสัย เคยพลาดมาเท่าไรมันก็มีทางแก้รออยู่ ขอเพียงเราต้องรู้ตัวก่อนว่าอะไรกันแน่ที่พลาด

แต่ถ้าคุณอ่านมาทุกข้อแล้วไม่มีสักอาการที่ว่าจะทำยังไง? สิ่งที่ง่ายที่สุดก็แค่แชร์ต่อให้คนที่เขามี หรือคนใกล้ชิดที่อยากให้เขาลองอ่านดูเพื่อรู้ตัวและแก้ไข รับรองหนหน้าถ้าเขามาคุยกับคุณ คุณนี่แหละที่จะต้องเซอร์ไพรส์!

 

SOURCE

anonymK
WRITER: anonymK
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line