World

“Public Enemy No. 1” 8 เรื่องที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับ ‘Scarface’ Alphonse Gabriel “Al” Capone

By: HYENA September 6, 2016

สำหรับชายคนนึงที่มีอำนาจล้นมือ ผ่านการทำธุรกิจเถื่อน และก่ออาชญากรรมมาแล้วทุกรูปแบบ คงจะมีไม่กี่คนบนโลกใบนี้ และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าพ่อ  American gangster  “Al Capone”   ผู้โด่งดังไปทั่วอเมริกา หลายคนอาจจะพอรู้เรื่องราว และประวัติของเค้ากันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความบ้าบิ่นที่กล้าท้าทายกฎหมาย ในยุคที่อเมริกากำลังปราบปราม และจับตาดูความเคลื่อนไหวของเหล่ามาเฟียอย่างเข้มงวด แต่ Al Capone กลับท้าทายกฎหมายโดยการไปตั้งตัวเป็นใหญ่ในรัฐ Chicago ซึ่งเค้าสามารถทำรายได้หลายล้านดอลล่าร์ต่อปี จากธุรกิจผิดกฏหมายล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นค้าของเถื่อน ธุรกิจบ่อนการพนัน และอื่นๆ อีกมากมาย แต่วันนี้ เรามี 8 ข้อที่น่าแปลกใจ และหลายคนอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่ครั้งนึงเคยโด่งดังที่สุดในโลกคนนี้ มาให้ได้อ่านกัน

160906-8-things-al-capone-3

Al Capone was in a street gang as a child.

Al Capone เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม ปี 1899 ใน  Brooklyn, New York จากพ่อแม่ชาว  Italian  ลักลอบเข้าเมือง เหมือนพระเจ้าลิขิตเส้นทางเอาไว้แล้ว   Al Capone  ฉายแววดาวรุ่งมาแรงในเส้นทางนี้ตั้งแต่ตอนเรียนชั้นประถม เค้าโดนไล่ออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้น ป.6 เพราะไปต่อยครูผู้หญิงเข้าเต็มหน้า จึงเปลียนเส้นทางจากนักเรียนเป็นนักเลง เริ่มจากการเข้าแก๊งต่างๆ เก็บประสบการณ์ ไต่เต้าจนได้เข้าร่วมแก๊ง   Five Points Gang  อันยิ่งใหญ่อยู่ใน Manhattan  แถมยังได้รู้จักกับขาใหญ่ในวงการนักเลงอย่าง Frankie Yale  ที่ช่วยแนะนำ ปั้นให้  Al Capone  กลายเป็นโปร  Gangster  ได้อย่างรวดเร็ว 

160906-8-things-al-capone-1

He hated his famous nickname.

ในปี 1917 ใบหน้าของ Al Capone ถูกเฉือนระหว่างการต่อสู้ที่ Harvard Inn หลังจากที่มีเรื่องกับแก๊งคู่อริ จึงทำให้เค้ามีรอยแผลเป็นบนใบหน้าถึง 3 แผล นี่จึงเป็นที่มาของฉายา “Scarface”  มีหลายคนพยายามที่จะบิดเบือนความจริงว่า แผลเป็นบนใบหน้าเค้านั้น ได้รับมาในตอนที่เค้าเข้าร่วมรบในสงคราม แต่ในความเป็นจริงแล้ว เค้าไม่เคยเป็นทหาร หรืออยู่ในกองทัพมาก่อน

160906-8-things-al-capone-5

Capone’s crime gang raked in as much as $100 million annually.

หลังจากที่ Al Capone เดินทางมาถึง  Chicago  ได้ทำงานให้กับ Torrio ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นใหญ่ที่คว่ำหวอดอยู่ในเครือข่ายอาชญากรรมมายาวนาน  Torrio  มีหัวหน้าชื่อว่า  Jim Colosimo  หรือที่เรียกกันว่า “Big Jim” แต่หลังจากนั้นไม่นาน Colosimo ก็ถูกฆ่าตาย โดยมีการสันนิษฐานว่าเป็คำสั่งฆ่าจาก  Torrio  นี่เอง เพื่อที่จะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าแก๊ง

ส้มจึงมาหล่นที่​  Al Capone  ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้ช่วยคนสนิทจนเริ่มมีบารมีเจ้าพ่อมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสะสมประสบการณ์ได้มากพอ   Al Capone  ในช่วงอายุ  26  ปี ก็คิดการณ์ใหญ่ เริ่มตั้งแก๊งของตัวเองขึ้นมาบ้าง ในชื่อ  “The Outfit”   ซึ่งถือว่าเป็นแก๊งคลื่นลูกใหม่ที่มาแรงมากในยุคสมัยนั้น รับทำอาชญากรรมผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขายเหล้าเถื่อน บ่อนการพนัน ค้าเนื้อสดโสเภณี ฉ้อโกง และธุรกิจมืดอีกนับไม่ถ้วน โดยรวมๆ แล้ว  Al Capone  สามารถทำเงินให้เค้าได้กว่า 100 ล้านดอลล่าร์ต่อปีเลยทีเดียว

160906-8-things-al-capone-2

He was never charged in connection with the St. Valentine’s Day Massacre.

สำหรับการเป็นมาเฟียแล้ว คงหนีไม่พ้นเหตุการใช้ความรุนแรง และการหลั่งเลือดแน่นอน แต่สำหรับ Al Capone เรื่องราวมันต้องยิ่งใหญ่มากกว่ามาเฟียธรรมดาทั่วไป  คดีนึงที่โหดเหี้ยมสุดๆ ฝีมือของ  Al Capone  ต้องยกให้คดี  “St. Valentine’s Day Massacre”   มีการพบศพผู้ชาย 7 ศพ ในลักษณะถูกบังคับให้ยืนหันหน้าเข้ากำแพง และมีบาดแผลถูกยิงจากด้านหลัง ที่น่าแปลกคือคดีนี้ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือวงการแก๊งมาเฟียด้วยกันเอง ต่างก็รู้ว่าเป็นฝีมือของ Al Capone แน่นอน แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม Al Capone ก็ไม่เคยถูกจับ แถมคดีนี้ก็ยังไม่เคยถูกปิด และไม่ได้มีการสืบสวนต่อแต่อย่างใด

160906-8-things-al-capone-4

Eliot Ness’s role in Capone’s downfall was exaggerated

ต้องขอบคุณ Eliot Ness นายตำรวจจากรัฐบาลกลางที่พยายามจะโค่น Al Capone แบบกัดไม่ปล่อย และนำเอาเรื่องราวเบื้องลึกของ Al Capone ที่หลายคนอาจจะไม่รู้ออกมาเผยแพร่ และทำเป็น  pocket book  ที่ขายดีที่สุดในชื่อ “The Untouchables”

Eliot Ness พยายามจับกุม  Al Capone  ในข้อหาใช้ความรุนแรง ซึ่ง  Ness  สืบสวนจนได้หลักฐานมาอย่างแน่นปึ้ก น่าจะขังลืมได้หลายปี แต่ทางรัฐบาลกลับตั้งข้อหา Al Capone เพียงแค่หลีกเลี่ยงภาษีเท่านั้น นั่นทำให้  Ness  เริ่มรู้ตัวว่า Al Capone  ต้องมีเส้นสายที่ไม่ธรรมดาแน่นอน และตัวเค้าเองที่กำลังตกอยู่ในอันตราย

สุดท้ายแล้ว Eliot Ness ซึ่งเป็นคนที่ใกล้เคียงที่จะจับตัว Al Capone ได้มากที่สุด ถูกย้ายไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับการตำรวจที่ Cleveland และจากนั้นเค้าก็ได้เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าที่ Cleveland แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ปีต่อมาเค้าในปี 1947 เค้าก็เสียชีวิตลงจากการดื่มเหล้าอย่างหนัก น่าเสียดายที่เรื่องราวเกี่ยวกับ Al Capone ทั้งหมดที่  Ness  ได้ทำการสืบสวนรวบรวมมา ถูกเชื่อว่าจริงและนำมาตีพิมพ์ออกมาสู่สาธารณะในปี 1957 ซึ่งทุกอย่างก็ผ่านไปกว่า 10 ปีแล้ว

160906-8-things-al-capone-8

Capone was convicted for tax fraud but not murder.

ถึงแม้ว่า Al Capone จะมีคดีอาญายาวเป็นหางว่าว แต่เค้าก็สามารถเลี่ยงทุกข้อหา พ้นมาได้ทุกคดี ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการแบบไหน จ่ายเงินให้ตำรวจและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ข่มขู่พยาน หรือฆ่าตัดตอน เค้ารอดพ้นคดีหนักๆ  อย่างการฆาตกรรมมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายในปี 1931 Al Capone ก็เสียท่าให้กับทนายความส่วนตัวของเค้าเอง โดยทนายความของเค้าได้ติดต่อ และให้การเล่นงาน Al Capone และสมาชิกแก๊งในข้อหาเลี่ยงภาษี จนทำให้ Al Capone ติดคุกถึง 11 ปี และถูกปรับอีก 50,000 ดอลล่าร์ แต่ท้ายที่สุด ชีวิตของทหายความคนนั้นก็ต้องสิ้นสุดลงจากการโดนลอบสังหาร ซึ่งแทบจะไม่ต้องคิดเลยว่าใครเป็นคนบงการเรื่องนี้

160906-8-things-al-capone-7

He was among the earliest federal prisoners at Alcatraz. 

ใน เดือนพฤษภาคม 1932 Al Capone ในวัย 33 ปี ได้เข้าไปอยู่ในคุกที่ Atlanta ในข้อหาหลบเลี่ยงภาษี  หลังจากนั้น 2 ปีต่อมา ในเดือนสิงหาคม 1934  Al Capone  ถูกส่งตัวต่อไปยังคุกที่เกาะ  Alcatraz  ใน  San Francisco  คุกที่ได้ชื่อว่ามีการคุมขังแน่นหนาที่สุด มีไว้ขังนักโทษที่กระทำผิดร้ายแรงโดยเฉพาะ และในคุกนี้เองที่ทำให้  Al Capone  ติดเชื้อซิฟิลิส อาการร่อแร่ หมอที่ดูแลยังทำให้อาการแย่ลงไปอีก ด้วยการฉีดสารมาลาเลียเข้าไป โดยหวังว่าจะสามารถกำจัดเชื้อซิฟิลิสออกไปได้ แต่กลับกลายเป็นว่า การรักษาทำให้ Al Capone มีอาการหนักขึ้นกว่าเดิม ในเดือน มกราคม ปี 1939 เข้าถูกปล่อยตัวออกจาก Alcataz และถูกส่งตัวไปที่ Federal Correctional Institution at Terminal Island ใกล้ๆกับ Los Angeles เพื่อรับโทษความผิดทางอาญาต่ออีกเป็นเวลา 1 ปี

160906-8-things-al-capone-9

Capone spent his final years out of the public spotlight.

Al Capone ได้รับการปล่อยตัวจากคุกในเดือน พฤศจิกายน ปี 1939 และเข้ารับการรักษาโรคซิฟิลิสที่โรงพยาบาลในเมือง Baltimore หลังจากนั้น  Al Capone  ก็เปลี่ยนท่าที จากเจ้าพ่อสุดโหดผู้ใช้ชีวิตฉูดฉาด ไปอยู่แบบเงียบๆ ปลงๆ หมกมุ่นอยู่กับการตกปลา เล่นไพ่

จนกระทั่งปี 1940 Al Capone  ได้สิทธิเป็นพลเรือนคนแรกที่จะได้รับการรักษาโรคซิฟิลิสด้วยยาปฎิชีวนะ  แต่มันก็สายเกินไป ในเดือน มกราคม ปี 1947 Al Capone ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 48 ปี ภายในบ้านพักที่ Florida จากโรคซิฟิลิสและปอดบวม

160906-8-things-al-capone-6

 

SOURCE

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line