Life

ที่มาของฉายา “ไอ้ตาดุ” พบกับเรื่องราว และบทสัมภาษณ์ของ “เดชดำรงค์ ส.อำนวยศิริโชค” แชมป์ MMA หนึ่งเดียวของไทย!!

By: HYENA August 12, 2017

ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสำหรับไฟท์หยุดโลกสุดแปลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน เนื่องจากเป็นการชกกันแบบเป็นทางการที่นำเอานักมวย 2 สายพันธ์ุที่ต่างกันสุดขั้วมาไว้บนสังเวียนเดียวกัน นั่นก็คึอ ศึกดวลกำปั้นระหว่าง แชมป์มวยสากลเจ้าของสถิติไร้พ่ายอย่าง Floyd Mayweather Jr. กับนักมวยจากในกรงเจ้าของฉายาไอ้วายร้าย “The Notorious”  Conor McGregor  ส่วนใครที่จะเชียร์ใครนั้น เอาเป็นว่าเลือกข้างกันได้ตามใจปรารถนาไม่ว่ากัน

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกแปลกใจ นั่นคือการได้รู้ว่ามีแฟนพันธ์ุแท้กีฬามวยกรงเหล็กสุดโหด หรือ มวย MMA อยู่ในบ้านเยอะขนาดนี้ ช่วยคลายความข้องใจในหัวที่เคยคิดว่า “ทำไมมวย MMA ถึงไม่ดังในบ้านเรา ทั้ง ๆ ที่ต่อยกันมันส์สะใจขนาดนี้?” เพราะในตอนนี้ชัดเจนว่าคนไทยที่สนใจวิชาหมัดมวยชนิดนี้ ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นเต็มบ้านเต็มเมืองไปซะแล้ว

Image Source : Sherdod.com

พอคิดเรื่องนี้ได้สักพัก ก็ทำให้เราก็นึกถึงผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมา และอยากนำพาเค้ากลับมาให้ชาว UNLOCKMEN ได้รู้จักกับผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน เพราะเราเชื่อว่ายังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้จักเขา ทั้ง ๆ ที่เรากล้าพูดได้เลยว่า เขาคือหนึ่งในนักสู้เลือดขวานไทย ที่ประชาชนชาวไทยจะต้องส่งแรงใจเชียร์คนไทยตัวเล็ก ๆ ที่มีส่วนสูงเพียง 160 ซม คนนี้กันเต็มที่แน่นอน

ถ้าพร้อมแล้วขอเชิญทุกท่านพบกับ “เดชดำรงค์ ส.อำนวยสิริโชค” หรือ “นาย ธำรง ทองใย” นักชกชาวไทยคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์คว้าเข็มขัดแชมป์โลกมวย MMA มาครองได้สำเร็จ รวมไปถึงเรื่องราวที่หลายคนไม่เคยรู้ว่า ประเทศไทยก็มีนักสู้ MMA ที่ไปสร้างปรากฎการณ์ต่อยปากฝรั่งบนเวทีลูกกรงให้ชาวต่างชาติได้เห็นกันไปแล้ว เรื่องอื่นไม่แน่ใจ แต่เรื่องหมัด มวย เข่า ศอก เมดอินไทยแลนด์ ของคนไทยไม่เคยแพ้ชาติใดในโลก!

Image Source : Evolve-MMA.com

Image Source : Evolve-MMA.com

“เดชดำรงค์ ส.อำนวยสิริโชค” หรือ หลายคนอาจจะเห็นคนอื่นเรียกกันว่า “ครูรงค์” เจ้าของฉายา “ไอ้ตาดุ” นั้น เป็นชายไทยที่กำเนิดขึ้นในจังหวัดตรังภาคใต้ของเรา ซึ่งจังหวัดตรังเอง ก็ถือได้ว่าเป็นแหล่งประสิทธิ์ประสาทวิชาของบรรดายอดมวยไทยมากมายยกตัวอย่างเช่น “พุฒ ล้อเหล็ก” ตำนานมวยไทยจากเวทีมวยราชดำเนิน

เด็กชาย ธำรง ทองใย ถือเป็นเด็กที่เติบโตมากับชีวิตที่ค่อนข้างยากลำบากเลยก็ว่าได้ พ่อและแม่ต้องทำงานหนัก เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูก ๆ 3 คน จนกระทั่งอายุย่างเข้า 10 ขวบ เส้นทางสู่การเป็นยอดนักมวยก็เปิดต้อนรอบเขาให้ขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีมวยเป็นครั้งแรกอย่างไม่ทันตั้งตัว

ด้วยอุปนิสัยของเด็กผู้ชายที่มักจะชอบการต่อสู้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับการที่พ่อของเขาชอบพาไปดูมวยวัดอยู่เป็นประจำ ทำให้เกิดความคิดอยากจะเป็นนักมวยขึ้นมาบ้างในทันที  แต่ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะสนับสนุนลูกชายให้หัดชกมวยอย่างเต็มที่ แต่หัวอกคนเป็นแม่กลับรู้สึกไม่อยาก และคอยห้ามไม่ให้เรียนมวยอยู่ตลอด เพียงเพราะรู้สึกว่าเป็นห่วงลูก กลัวลูกจะเจ็บตัวถ้าหากกลายเป็นนักมวยขึ้นมาจริงๆ

Image Source : Evolve-MMA.com

ด้วยความหลงไหลในกีฬาลูกผู้ชายชนิดนี้ จึงไม่มีอะไรหยุดเขาได้อีกต่อไป ถึงแม้ว่าแม่จะห้ามด้วยความเป็นห่วงกลัวลูกจะเจ็บยังไง ก็ยังแอบหนีไปขึ้นสังเวียนจนได้อยู่ดี กว่าแม่จะรู้ว่าลูกหายไปอีกที ก็เห็นไปอยู่บนเวทีมวยซะแล้ว

ตั้งแต่นั้นมา เวทีมวยก็กลายเป็นสถานที่ที่หล่อหลอมให้นักชกชาวตรังคนนี้ ค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นมาทีละน้อย เรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ทั้งในด้านของฝีมือการชก และความแข็งแกร่งของร่างกายรวมไปถึงจิตใจเรื่อยมา เมื่อมีอายุ 10 ปี ค่าตัวที่ได้จากการขึ้นชกชนะไฟท์แรกเป็นเงิน 70 บาท

แต่ด้วยความขยันหมั่นฝึกซ้อมอยากหนัก ทำให้ชื่อเสียงในเรื่องฝีหมัดเชิงมวยของเขาพัฒนาขึ้นมากเกินกว่าที่จะชกอยู่บนเวทีเล็ก ๆ ตามต่างจังหวัดต่อไปโดยที่ไม่มีใครรู้ว่า นักมวยตัวน้อยที่ได้ค่าชกหลักสิบ จะกลายเป็นยอดมวยที่มีค่าตัวเรือนแสนในเวลาต่อมา

หลายร้อยไฟท์ทั่วดินแดนภาคใต้ที่ผ่านมา จากมวยวัดก้าวขึ้นสู่มวยระดับจังหวัด จากนั้นก็กลายเป็นเวทีระดับภูมิภาค ความท้าทายครั้งใหม่ก้าวต่อไป จึงเป็นที่อื่นไปไม่ได้นอกจากเวทีมวยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่าง สนามมวยลุมพินี ในกรุงเทพมหานคร

Image Source : Evolve-MMA.com

เมื่อตัดสินใจที่จะเดินหน้า นักชกหนุ่มหันบอกลาดินแดนปักษ์ใต้บ้านเกิด มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงทันที และแม้ว่าความมั่นใจที่พกพามาจะมหาศาลไม่แพ้พลังของหมัดจากกำปั้นของเขา แต่ด้วยกลไกลหลาย ๆ อย่างที่แตกต่างระหว่างมวยบ้านนอก กับมวยเมืองหลวงทำให้มันไม่ง่ายอย่างที่คิด

ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของร่างกาย การเตรียมตัว หรือ การฝึกซ้อมที่มีมาตรฐานที่ดีกว่า ส่งผลให้นักชกหนุ่มจากเมืองตรังรู้ซึ้งถึงความจริงว่า เส้นทางการชกที่ผ่านมานั้น มันเทียบไม่ได้กับการชกที่กำลังรออยู่ตรงหน้าแม้แต่นิดเดียว

Image Source : Sufar.ru

แม้ว่าการเข้าเมืองหลวงเพื่อทำตามความฝันหลายต่อหลายครั้ง ต้องเจอกับความพ่ายแพ้ และผิดหวัง แถมทุกครั้งร่างกายก็ยังบาดเจ็บบอบช้ำมากขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ความคิดที่ว่าจะยอมแพ้กลับไม่ได้อยู่ในหัว ในทางกลับกัน เขาเลือกฟิตร่างกายใหม่ทันทีที่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ซ้อมมวยหนักกว่าที่เคยทำมา และกลับไปไล่ล่าความฝันที่ดูเหมือนจะไปไม่ถึงสักที เพียงเพราะตัวเองรู้สึกว่า เขาทำได้ และจะทำให้ดีพอที่จะกลายเป็นยอดมวยของเวทีในเมืองกรุงอีกด้วย

ความพยายามอย่างหนักเริ่มผลิดอกออกผล หลังจากที่เข้ามาชกมวยอยู่กรุงเทพสักพักใหญ่ และทนใช้ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ อยู่หลายเดือน ต้องเป็นนักมวยพเนจรย้ายค่ายมวยไปมา 2-3 แห่ง แต่ที่สุดแล้ว เขาก็ได้เจอกับค่ายมวยที่เหมือนโชคชะตากำหนดให้อยู่คู่กัน ค่ายนั้นมีชื่อว่า “ส.อำนวยโชค” เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ฟอร์มการชกของเขาก็ดีวันดีคืน ชื่อเสียงของ “เดชดำรงค์ ส.อำนวยสิริโชค” ก็เริ่มกลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการมวยบ้านเรา

Image Source : Evolve-MMA.com

ด้วยเหลี่ยมมวยที่คมกริบ ไหวพริบที่รวดเร็ว บวกกับสไตล์การชกที่ดุดัน เดินหน้าเข้าหาศัตรูแบบไม่กลัวใคร ทำให้แฟนมวยไทยต่างจับตามองนักมวยจากเมืองตรังรายนี้กันเป็นตาเดียว ในขณะนั้นเองที่ผู้คนต่างเริ่มพากันยกย่อง ให้เขาเป็นหนึ่งในนักมวยไทยที่ครบเครื่องเรื่องมวยไทยที่สุดคนหนึ่งในวงการ พร้อมกับตั้งฉายาให้กับหนุ่มตรังรายนี้ จากสายตาที่มุ่งมั่นยามอยู่บนสังเวียนว่า “ไอ้ตาดุ”

Image Source : Evolve-MMA.com

ในที่สุด เข็มขัดแชมป์เส้นแรกก็มาถึงจนได้ เมื่อเขามีโอกาสขึ้นชกชิงเข็มขัดแชมป์เวทีลุมพินี ในรุ่น 105 ปอนด์ เมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้า มีหรือที่นักล่าฝันอย่างเขาจะปล่อยมันไปง่าย ๆ แต่คู่ชกในตอนนั้นก็ถือว่าเป็นของแข็งในวงการที่ไม่ใช่จะปลดเข็มขัดจากเอวมาได้ง่าย ๆ เขาก็คือ ยอดแสนไกล แฟร์เท็กซ์” นั่นเอง ถึงแม้ว่า การชกครั้งนั้น จะชนะคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรก แต่ก็ต้องแรกมากับร่างกายที่บอบช้ำอย่างหนัก ด้วยการออกอาวุธสุดอันตรายของยอดแสนไกล จนจบการแข่งขันถึงจะรู้ว่า บาดแผลแตกที่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณใบหน้านั้น ต้องเย็บบาดแผลรวมกันทั้งหมดถึง 31 เข็ม

“ครูรงค์” เคยพูดถึงเรื่องความเจ็บปวดในการชกเอาไว้ว่า

“เราเป็นมวยบู๊ เดินหน้าแลกอย่างเดียว ยิ่งคู่ชกมีสีหน้าแสดงอาการเจ็บให้เห็นมากเท่าไหร่ เราจะต้องรีบเข้าไปเอาให้อยู่หมัด คือ เวลาต่อยเราอยากให้จบเร็วที่สุด ยิ่งนานก็ยิ่งเจ็บ จริงอยู่ที่เวลาเราชกมวยอยู่บนเวทีขณะนั้น บางทีโดนต่อยมาแผลแตกเรายังไม่รู้สึกเจ็บเลย แต่มันจะไปเจ็บตอนชกเสร็จ เพราะตอนชกเนี่ยหัวใจของเราต้องมุ่งมั่น ถ้าเรามัวแต่คิดเรื่องความเจ็บปวด ก็เท่ากับใจเราก็แพ้แล้วไปแล้ว'”

การเดิมพันครั้งนี้นอกจากจะได้เข็มขัดแชมป์เป็นรางวัลแล้ว  “ครูรงค์” ยังมองว่ามันคือช่วงเวลาสำคัญที่จะพิสูจน์ตัวเอง ให้กับทุกคนรู้ว่า นักมวยที่เดินทางมาจากบ้านนอกอย่างเขาก็สามารถก้าวขึ้นมาถึงจุดที่ทุกคนยอดรับในความสามารถได้

“ถ้าชกแพ้ก็อาจจะต้องกลับบ้านอีกรอบ แต่ถ้าได้แชมป์ครั้งนี้ก็อยู่ยาว คือ เราคนชกมวย เรามีเป้าหมายชัดเจนว่าเราต้องการได้แชมป์ลุมพินีให้ได้ เพราะเป็นแชมป์เวทีมวยตราฐานที่ทุกคนยอมรับ”

จากนั้นเรื่อยมา ชื่อของ “เดชดำรงค์ ส.อำนวยสิริโชค” ก็เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วพร้อมทั้งผลงานเป็นเจ้าของแชมป์เวทีมวยลุมพินี 3 รุ่น และแชมป์เวทีมวยอ้อมน้อยอีก 1 รุ่น ซึ่งถือว่า เป็นผลงานที่ไม่ธรรมดาในวงการมวยไทยอาชีพที่ควรค่าแก่การจดจำ

Image Source : Evolve-MMA.com

เมื่อร่างกายผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง บวกกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือกาลเวลา ทำให้สังขาลที่เคยว่องไว มีกำลังวังชาเริ่มที่โรยลาลงไปทุกปี จากชกครั้งหนึ่งได้ค่าตัว 80,000++ ก็กลายเป็นเหลือแค่ 30,000 บาท ขึ้นชกทีร่างกายก็ใช้เวลานานมากขึ้นกว่าที่จะรักษาตัวให้หายดี ทำให้เขาต้องตัดสินใจยุติเส้นทางมวยไทยไว้เป็นตำนานด้วยวัย 28 ปี

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเส้นทางชีวิตของนักมวยที่ออกตามล่าความฝัน ถึงแม้ว่าโชคชะตาจะไม่เข้าข้างในบางครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่า การที่เขาก้าวขึ้นสู่จุดที่เรียกได้ว่า ประสบความสำเร็จนั้น ความมุ่งมั่น ความพยายาม และความอดทน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

Image Source : Fightnetwork.com

ชายที่ผ่านความเจ็บปวดมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เลือกที่จะสละแชมป์หันหลังลงจากเวทีมวยไทยเหลือไว้เพียงชื่อเสียง แต่ “เดชดำรงค์ ส.อำนวยสิริโชค” ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เขารัก และหันไปเป็นครูสอนมวยไทยในต่างประเทศแทน ทั้งในญี่ปุ่น และสิงคโปร์ จนในที่สุด เข้าก็ได้พบกับความท้าทายใหม่ที่จุดประกายความเป็นนักสู้ จนต้องกลับมาขึ้นสังเวียนอันเป็นที่มาขอการนำพาเข็มขัดแชมป์มาคาดอยู่ที่เอวของเขาอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ในฐานะนักมวยไทย แต่เป็นนักชก MMA หรือ Mixed Martial Arts แทน และต่อไปนี้จะเป็นบทสัมภาษณ์แบบ Exclusive ที่เราบุกไปคุยแบบประชิดตัว เชื่อว่าหลายคนสงสัย และเราได้นำไปถามกับเจ้าตัวมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน

Image Source : Onefc.com

อะไรคือจุดเปลี่ยนจากแชมป์มวยไทย ไป MMA?

“ตอนผมเลิกชกมวยไทย ก็ไปเป็นครูมวยอยู่ที่ญี่ปุ่น 5 ปี หลังจากนั้น ผมก็ได้มีโอกาสมาเป็นครูมวยที่สิงคโปร์ เป็นยิมที่ชื่อว่า EVOLVE MMA  จริง ๆ แล้วพูดตรง ๆ เลยว่า ไม่เคยคิดว่าจะชก MMA มาก่อนเลย ครั้งแรกพอเห็นเข้าก็รู้สึกไม่เข้าใจ”

“งงเลย นี่มันมวยอะไร? ทำไมต้องลงไปนอนกับพื้น? เป็นศิลปะป้องกันตัวจริง ๆ หรือ? มันดูเหมือนพวกมวยมั่วมวยวัดซะมากกว่า แต่พอได้ลองศึกษาดูก็รู้ว่า MMA มันเป็นศิลปะป้องกันตัวที่มีหลักการเช่นเดียวกับมวยไทยของเรา ไม่ได้ชกกันมั่วซั่ว แม้แต่ในท่านั่ง ท่านอน ล้วนต้องใช้การฝึกฝนไม่ใช่ทำกันได้ง่ายๆ”

สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดของการเป็นนักมวยไทยในเวที MMA มีอะไรบ้าง?

“ผมว่าอาวุธมวยไทย หมัด เท่า เขา ศอก และประสบการณ์ ทุกอย่างจะมีประโยชน์มากในการต่อสู้แบบ MMA แต่เราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ศาสตร์กีฬาอื่น ๆ เข้ามาเสริมด้วย ประสิทธิภาพของมวยไทยเป็นที่รู้จักอยู่แล้วว่า ไม่เป็นรองใคร แต่ถ้าหากมีการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม มันก็จะยิ่งครบเครื่องมากขึ้นไปอีก”

ความรู้สึกบนสังเวียนการต่อสู้แบบ MMA แตกต่างจากมวยไทยรึเปล่า?

“ในด้านความรู้สึกคงไม่ต่างกัน เพราะขึ้นบนเวทีทุกครั้ง เราเอาใจไปเต็มร้อยตลอดไม่ว่าจะเป็นเวทีไหน แต่อาจจะต่างกันตรงที่มวยไทยเป็นเวทีสี่เหลี่ยม มีเชือก เวลาชกล้มแล้วห้ามออกอาวุธซ้ำคู่ต่อสู้ แต่ใน MMA เวลาชกถึงแม้จะล้มลงไปนอนแล้ว ก็ยังตามไปซ้ำได้ ออกอาวุธได้ทุกรูปแบบ โดยอยู่ภายใต้กติกาที่เขากำหนดไว้”

มีเทคนิคการฝึก และ การดูแลตัวเองในฐานะนักมวย MMA อย่างไรบ้าง?

“เรื่องของเทคนิคการฝึกซ้อมนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เราพัฒนาความสามารถ และเป็นการดูแลร่างกายของเราไปในตัว และทำมันมาอย่างเคร่งครัดโดยตลอด เพราะไม่ว่าคุณจะต้องการทำอะไรเพื่อให้เกิดความชำนาญ เกิดทักษะที่ยอดเยี่ยม มันจะเกิดขึ้นได้จากการทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้น ความสม่ำเสมอ และมีวินัยจึงเป็นปัจจัยหลัก ที่สำคัญเราใช้ร่างกายหนักมาก เราก็ต้องดูแลร่างกายของเราให้ดีเป็นพิเศษ พักผ่อนให้เพียงพอ”

อายุที่มากขึ้น เป็นอุปสรรคในการแข่งหรือไม่?

“สำหรับผมแล้ว ไม่มีครับ!! เพราะผมรู้ว่าเรากำลังทำอะไร เราต้องมีการเตรียมพร้อมร่างกายของตัวเองยังไงให้ดีที่สุด เมื่อเราดูแลรักษาร่างกายให้อยู่ในสภาพที่ดี เรื่องของอายุก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป”

ใครคือคู่ต่อสู้ที่คุณรู้สึกเกร็งที่สุดตั้งแต่ชก MMA มา?

“คงต้องเป็น Naito เพราะไฟท์นั้นเป็นการชกป้องกันตำแหน่งแชมป์ แถมยังเป็นที่บ้านเกิดเมืองนอนของเราอีกด้วย เราในฐานะคนไทยก็อยากจะใส่ให้สุดเพื่อพี่น้องชาวไทย และทุกกำลังใจที่ตามเชียร์ แต่เรื่องของเรื่องก็คือว่า เราไม่เคยเห็นฟอร์มอีกฝ่ายชกมาก่อน มันเลยรู้สึกเกร็งอยู่บ้างพอสมควร”

คุณเคยสู้กับคนรู้จักไหม? จัดการกับความรู้สึกนั้นได้อย่างไร? และมีอะไรที่แตกต่างกับคู่แข่งคนอื่นบ้าง?

“เคยชกครับ!! แต่เมื่อก้าวเท้าขึ้นไปบนเวที สำหรับผมแล้วไม่มีคำว่า “เพื่อน” เพราะมันเป็นเกมกีฬาเราต้องเคารพในกติกา และทำในสิ่งที่เราฝึกซ้อมมาอย่างเต็มความสามารถ ที่สำคัญการชกมวยในระดับอาชีพ ความเป็นมืออาชีพต้องมาก่อนเสมอ จะแตกต่างกันก็ตรงที่ ถ้าชกกับเพื่อนเสร็จลงมา จะชกกันให้ตายยังไง ก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

เล่าถึงไฟท์ที่คุณภูมิใจที่สุดให้เราฟังหน่อยได้ไหมว่าเป็นไฟท์ไหน?

“ถ้าหากเป็นตอนที่ชกมวยไทย ไฟท์ที่ผมภูมิใจที่สุดต้องเป็นไฟท์ที่ชนะ ยอดแสนไกล เพชรยินดี แล้วได้แชมป์ลุมพินี ครั้งแรกมาครองไฟท์นั้นมันทั้งโหดทั้งมันส์ และก็ประทับใจที่ทำได้สำเร็จ ส่วนใน MMA รู้สึกภูมิใจไฟต์ที่ชกกับ Roy ซึ่งเป็นไฟท์ชิงแชมป์ One Championship  และผมก็ได้แชมป์ รุ่น สตรอว์เวท มาครอง แต่จะว่าไปแล้ว ทุกๆ ไฟท์ที่ได้ขึ้นเวทีไป มันทำให้ผมรู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่ผมได้ทำหน้าที่ของผมเสมอ”

อยากรู้ว่านักมวยอาชีพที่เป็น Idol ของหลายๆ คน ตัวเองมีใครเป็น Idol บ้างรึเปล่า?

“Idol สำหรับผมคงยังไม่มี แต่ถ้าถามว่าชื่นชอบสไตล์การชกของใครเป็นพิเศษ ก็คงจะเป็น Anderson Silva นักชก MMA ชาวบราซิล ที่ชอบก็เพราะ เขาใช้มวยไทยมาผสมผสานกับการต่อสู้แบบ MMA ได้เนียนมาก ออกอาวุธได้ลงตัวมาก”

ตอนที่เสียตำแหน่งแชมป์ไปนั้นคุณรับมือกับความพ่ายแพ้อย่างไร?

“ตอนที่เสียแชมป์นี่…ผมเสียใจมาก เพราะนอกจากจะป้องกันแชมป์ไว้ไม่ได้ มันยังเป็นการเสียแชมป์ไปในบ้านเกิดเมืองนอนของเราเองอีกด้วย แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้ ยอมรับความพ่ายแพ้ ถ้าหากเราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดแล้ว มันไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจ แต่อาจจะแค่เสียดายที่พลาดไป จากนั้นลุกขึ้นมาฝึกซ้อมให้หนักกว่าที่เคยเป็นมา พัฒนาการต่อสู้ของตัวเองให้ดีขึ้นไปเรื่อย และเอาแชมป์กลับคืนมาให้ได้อีกครั้ง”

นักกีฬาหลายคนมักจะถอดใจหลังเสียตำแหน่งแชมป์ แต่อะไรที่ทำให้คุณฮึดสู้ และอยากกลับไปทวงบัลลังก์แชมป์คืนอีกครั้ง?

“กีฬามีแพ้มีชนะเป็นเรื่องธรรมดา เป็นสิ่งที่นักกีฬาจะต้องเข้าใจก่อนเป็นอันดับแรก ต่อมาถามตัวเองดูว่า เราทำหน้าที่ของเราสุดความสามารถแล้วหรือยัง? ถ้าไตร่ตรองดูแล้ว เห็นว่าทำไมเราถึงแพ้ แทนที่จะเอาเวลาไปฝังจิตฝังใจ ลองเอาข้อบกพร่องตรงนั้นกลับไปพัฒนาแก้ไข และใช้มันเป็นแรงพลักดันให้เราดียิ่งขึ้นต่อไป มันเป็นเหมือนการพิสูจน์ตัวเองไปในตัว”

ความสุขที่สุดของอาชีพนักมวย MMA คืออะไร?

“ความสุขที่ผมได้เรียนรู้ศาสตร์กีฬาใหม่ ๆ เพื่อเอามาผสมผสานกับวิชามวยไทย และมีความสุขกับเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ ด้วยกันแบบพี่น้อง ซึ่งต่างคนต่างมากันแต่ละชาติ ได้แลกเปลี่ยนความรู้ด้านศิลปะการต่อสู้ มวยไทย ยิวยิตสู แล้วอีกหลายศาสตร์กีฬาครับ”

เป้าหมายสูงสุดในอาชีพนักแข่ง Mixed Martial Arts และมีอะไรที่อยากจะ UNLOCK ตัวเองอีกมั้ยในสายอาชีพนี้?

“ผมจะต้องเอาคำว่าแชมป์กลับคืนมาอีกครั้งให้ได้ นั่นคือเป้าหมายในตอนนี้ นั่นคือสิ่งเดียวสำหรับตัวผม ส่วนเรื่องที่อยากจะ UNLOCK ก็อย่างที่บอกไปว่า กีฬาศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง หรือแม้กระทั่งวิชาอะไรก็ตามบนโลกนี้ มันแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด เราจะหยุดเรียนรู้ ศึกษา และฝึกซ้อมไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่ผมรู้สึกอยากจะ UNLOCK มากที่สุดก็คงจะเป็นศักยภาพของตัวเองล่ะมั้ง”

หลังจากได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ไปแล้ว ทาง “ครูรงค์” ยังฝากบอกถึงคนไทยทุกคนที่สนใจ หรือกำลังจะเริ่มต้นเข้าสู่วงการ MMA มาด้วยว่า

“สิ่งเดียวที่จะทำให้คุณขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของอาชีพนักกีฬาได้ จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ยาก แต่เป็นสิ่งที่หลายคนเลือกที่จะไม่ทำมันเองซะมากกว่า ผมยึดคติอยู่ 3 ข้อ ก็คือ มีระเบียบวิยัย ขยันฝึกซ้อมเชื่อฟังครูฝึก และสุดท้าย เดิมตามความฝันของตัวเองไปข้างหน้าอย่าหยุดยั้ง ถ้าคุณทำสิ่งเหล่านี้ได้ คุณจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”

สุดท้ายแล้วเรามีคำถามที่เราเองอยากรู้ว่า ในสายตาของนักมวยที่ผ่านการขึ้นสันเวียนการต่อส่อมาแล้วถึง 2 แขนง และได้แชมป์มาครองแล้วทั้งคู่จะมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับไฟท์หยุดโลกระหว่าง Floyd Mayweather Jr. กับ Conor McGregor คิดว่าใครจะเป็นฝ่ายชน

“ตามความคิดผม ถ้าชกในกติกามวยสากล ผมคิดว่า Floyd น่าจะดีกว่า เพราะ Floyd เขาชกมวยสากลเป็นอาชีพอยู่แล้ว แต่ก็ไม่แน่ครับอะไรก็เกิดขึ้นได้บนเวทีมวย”

หากใครอยากติดตามผลงานการชกของ “ครูรงค์ เดชดำรงค์ ส.อำนวยสิริโชค” หรืออยากจะส่งแรงใจไปเชียร์ในการทวงเข็มขัดแชมป์คืนมาอีกครั้ง ก็สามารถติดตามได้ที่ Facebook หรือที่เว็ปไซต์ของ Evolve-MMA กันได้เลย

หากต้องการรับชมการแข่งขัน สามารถเข้าชมการแข่งขันทุกรายการได้ใน
www.onefc.com/livestream  ด้วยราคาเพียง $9.99 เท่านั้น

ช่องทางติดตามความเคลื่อนไหวของ ONE Championship 
Website : www.onefc.com
Instagram : @ONEChampionship
Facebook : https://www.facebook.com/ONEChampionship

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line