นับเป็นการแจ้งเกิดในวงการเทนนิสที่สร้างความฮือฮามาก ๆ เมื่ออยู่ดี ๆ นักกีฬาเทนนิสหน้าใหม่ปรากฎตัวในการแข่งขันระดับโลกแค่ไม่กี่ครั้งคนหนึ่ง จะสามารถโค่นล้มนักกีฬามืออาชีพได้แบบขาดลอย และคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นหญิงเดียวมาครอบครองได้ในที่สุด สาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้มีชื่อว่า Emma Raducanu นักเทนนิสสาววัย 18 ปี ที่มาพร้อมกับความสามารถอันโดดเด่น ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นดาวรุ่งในวงการเทนนิสอย่างรวดเร็ว UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับเธอให้มากขึ้นกัน พื้นเพและผลงานของ Emma Raducanu Emma Raducanu เกิดเมื่อปี 2002 ในบ้านเกิดที่เมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา ครอบครัวของเธอเป็นชาวต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ในต่างแดน พออายุได้ 2 ขวบ เธอก็ย้ายไปอยู่ที่กรุงลอนดอนพร้อมกับครอบครัว ทำให้เธอได้รับ 2 สัญชาติ (ได้แก่ แคนาดา และ บริติช) ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ในวัยเด็กเธอได้เล่นกีฬาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น กอล์ฟ แข่งรถคาร์ท สกี ขี่ม้า รวมถึง บัลเล่ต์ และ แท็ปแดนซ์ ส่วนเทนนิส เธอเริ่มเล่นมันตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนกระทั่งในปีอีกสิบปีต่อมา หลังจากที่เธอฝึกฝนและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านเทนนิสมานมนาน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 ที่เมืองครัสโนยาสค์ ประเทศรัสเซีย ได้มีการจัดงานประกวดความแข็งแกร่งของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศงานหนึ่งชื่อว่า ‘Siberian Power Show’ ซึ่งประกอบไปด้วยการแข่งขันทดสอบความแข็งแกร่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เพาะกล้าม กินจุ หรือ ยกน้ำหนัก แต่หนึ่งเดียวที่เป็นไฮไลท์และเรียกเสียงฮือฮาจากคนทั่วโลกได้มากที่สุดนั่น คือ การแข่งขันที่ชื่อว่า ‘Male Slapping Championship’ หรือ รายการแข่งขันชิงแชมป์สุดยอดนักตบชาย การแข่งขันนี้จะให้เราดูผู้ชาย 2 คนเดินไปที่โต๊ะที่อยู่ในเวทีแข่งขันแบบไร้อุปกรณ์ป้องกัน ยืนประจันหน้ากันด้วยสีหน้าตรึงเครียด ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างผลัดกันใช้ฝ่ามืออันแข็งแกร่งตบใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง จนแทบเบี้ยว ซึ่งการต่อสู้จะดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ หรือ หมดสภาพไป ผู้ชมสามารถมองเห็นบาดแผลและร่องรอยของการโดนตบได้แบบคมชัด 300% เรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันที่ดิบเถื่อนมาก ผู้ชนะในการแข่งขันเมื่อปี 2019 คือ Vasiliy Khamotiskiy ชาวนาในไซบีเรีย ที่ตอนแรกไม่ได้รู้จัก หรือ คิดที่จะเข้าร่วมงานนี้มาก่อน แต่หลังจากที่ได้ไปชมการแข่งขันกับเพื่อน เขาก็ถูกโน้มน้าวจนตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันสุดป่าเถื่อนนี้ในที่สุด การตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนั้นเรียกได้ว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล เพราะเขาไม่ได้เพียงรับเงินรางวัลกลับบ้านไป 30,000 รูเบิล (ราว 15,000 บาท) เท่านั้น
การสำรวจดวงจันทร์ถือเป็นภารกิจสำคัญของมนุษย์เสมอ ที่ผ่านมาเราเห็นการทำภารกิจบนดวงจันทร์อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ภารกิจส่งยานอวกาศอพอลโล 11 ไปเยือนดวงจันทร์อันโด่งดีงของนาซา มาจนถึง ภารกิจเก็บตัวอย่างหินดวงจันทร์มาสู่โลกของยานอวกาศฉางเอ๋อ 5 ของจีน และในช่วงปีหน้าเราอาจได้เห็นการแข่งรถไร้คนขับบนดวงจันทร์ด้วย ซึ่งโปรเจ็กต์นี้จัดขึ้นโดย Moon Mark บริษัทด้านการศึกษาและมัลติมีเดีย ร่วมกับ Intuitive Machines บริษัทออกเเบบยานอวกาศเอกชน โดยจะเป็นการประชันกันระหว่างรถโรเวอร์ 2 คันบนดวงจันทร์ ที่ถูกควบคุมระยะไกลจากบนโลก แต่ตอนนี้ยังไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาเป็นผู้บังคับรถแข่งอย่างเป็นทางการ จะมีการจัดการแข่งขันเพื่อเฟ้นหาคนเหล่านั้น โดย Moon Mark จะเปิดให้เด็กมัธยมปลาย 6 ทีมที่ถูกคัดเลือกมาจากทั่วประเทศสหรัฐฯ เข้าร่วมการประลองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การแข่งโดรน รถยนต์ไร้คนขับ อี-เกมมิ่ง และการประกวดผู้ประกอบการธุรกิจอวกาศเชิงพาณิชย์ โดย 2 ทีมที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในการแข่งขัน ถึงจะได้รับโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตเป็นผู้สร้างและเข้าร่วมการแข่งรถบนดวงจันทร์ แม้รถโรเวอร์ที่จะถูกส่งไปบนดวงจันทร์จะมีน้ำหนักเพียง 2.5 กิโลกรัมต่อคัน แต่การออกแบบรถคันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องคำนวณหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น การกรองฝุ่นดวงจันทร์ที่จะมารบกวนการทำงานของรถยนต์ สภาพแรงโน้มถ่วงที่ต่ำกว่าปกติ รวมถึง น้ำหนักของรถยนต์ แรงเสียดทานของล้อ ความทนทานของรถยนต์ต่าง ๆ
‘ความคล่องตัว’ คือสิ่งที่ผู้ชายทุกคนล้วนตามหา โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง เส้นแบ่งเวลาทํางาน เวลาพักผ่อน และเวลาออกไปทํากิจกรรมสุดเหวี่ยงนั้นไม่เคยตายตัว การมีนาฬิกาที่ตอบโจทย์เรื่องดีไซน์ พร้อมฟังก์ชันการใช้งานทรงคุณภาพ และที่สำคัญคือต้องใช้งานได้จริง ถือเป็นหัวใจสําคัญสำหรับผู้ชาย Work Hard Play Hard อย่างเรา ๆ อย่างไรก็ตาม นาฬิกาที่ตอบโจทย์ฟังก์ชันลุย ๆ หรือเสริมความคล่องตัว อาจจะมีดีไซน์ไม่ค่อยจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องไปทํางาน หรือไม่สามารถแมทช์กับการแต่งตัวของ Urban men ได้เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาฬิกาที่ผู้ชายต้องสวมใส่ติดตัวทุกวัน เรื่องฟังก์ชันต้องตอบโจทย์การใช้งานสูงสุด แต่ดีไซน์ก็ต้องเติมเต็มสไตล์ของ Urban Men จึงไม่ได้เจอที่ถูกใจกันง่าย ๆ แต่สำหรับ Tissot Seastar 1000 นี่คือนาฬิกาคุณภาพ Swiss ในราคาที่ครอบครองได้ง่าย และพร้อมใช้งานบนข้อมือของเราได้ในทุกสถานการณ์ทั้งในเมืองหรือในทะเล Tissot Seastar 1000 เรือนเวลาที่มีสุดยอดนวัตกรรมของนาฬิกาสปอร์ตในตัว ควบคู่กับดีไซน์โมเดิร์นร่วมสมัย สวมใส่ได้ทั้งในเมือง และพร้อมเติมเต็มความหลงใหลและกิจกรรมลุย ๆ ของผู้ชายได้ โดยเฉพาะผู้ชายที่หลงใหลการท่องเที่ยวทะเลหรือกีฬาทางนํ้า ชื่นชอบการเติมสีสันให้ชีวิตด้วยการโต้คลื่น เล่นเจทสกี ฟลายบอร์ด เวคบอร์ด เซิร์ฟ
ทันทีที่การแข่งขันรถสูตร 1 (Formula 1) สนามที่ 19 ของปีหรือ United States Grand Prix จบลง Lewis Hamilton เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 2 เพียงพอที่จะทำให้เขาคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 6 ให้กับตัวเองและกลายเป็นนักแข่งรถสูตร 1 ที่คว้าแชมป์โลกมากที่สุดอันดับที่ 2 ตลอดกาล เป็นรองแค่ Michael Schumacher (7สมัย) เท่านั้น ส่วนคนไทยที่ติดตามวงการรถสูตร 1 คงทราบถึงข่าวดีของนักแข่งสัญชาติไทย-อังกฤษ อย่างอเล็กซ์ อัลบอน อังศุสิงห์ (Alex Albon Ansusinha) ที่ Aston Martin Red Bull Racing ต้นสังกัดยืนยันแล้วว่าเขาจะเป็นหนึ่งในนักแข่งของทีมในการแข่งขัน Formula 1 ปี 2020 ถือเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ทำตามความฝัน คว้าแชมป์โลกการแข่งขันรถสูตร 1 ด้วยวัยเพียง 23 ปีและฤดูกาลนี้ถือเป็นปีแรกของเขาในสังเวียนรถสูตร 1 อะไรที่ทำให้นักแข่งคนนี้รีดศักยภาพของตัวเองออกมาจนกลายเป็นที่ยอมรับ
Conor McGregor นักสู้ตัวแสบอดีตแชมป์ UFC ในรุ่น Featherweight และ Lightweight ประกาศว่าเขากำลังจะกลับมาต่อสู้ในกรงแปดเหลี่ยมอีกครั้ง หลังห่างหายจากสังเวียนไปนานพอสมควร นับตั้งแต่แพ้ให้ Khabib Nurmagomedov ใน UFC 229 ยอดนักสู้จอมเกรียนจัดแถลงข่าวในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย บอกว่าตัวเขาเตรียมจะกลับมาสู้ใน Ultimate Fight Championship (UFC) อีกครั้งวันที่ 18 มกราคมปีหน้า โดยคาดว่าสถานที่จัดงานคือลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกันเมื่อถูกนักข่าวถามว่าคู่ต่อสู้คนแรกในการกลับมาครั้งนี้ของเขาจะเป็นใคร วาจาแสบ ๆ คัน ๆ ก็สวนกลับมาแทบทันทีว่า “เอ็งก็ไปถาม UFC เองสิวะ ข้าไม่สนหรอกว่ามันจะเป็นใคร” ฟาก Dana White ประธานใหญ่ของ UFC เผยกับสื่อกีฬายักษ์ใหญ่อย่าง ESPN ว่า แม้วันที่ 18 มกราคมจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว แต่ขั้นตอนต่าง ๆ และการเซ็นสัญญายังไม่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือหนาหูคาดเดาว่าคู่ต่อสู้คนแรกสำหรับการกลับมาของนักสู้ไอริชคนนี้จะเป็นใคร โดยคู่แข่งสองคนแรกที่ติดโผว่ามีภาษี น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือ
ครั้งหนึ่งเคยมีนักวิ่งระยะไกลผู้หนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ผมไม่รู้ว่าขีดจำกัดนั้นตรงอยู่ไหน แต่ผมก็อยากลองไปให้ถึงจุดนั้นดู” เวลานั้นหลายคนต่างมองว่านั่นประโยคและเรื่องราวเพ้อฝัน มนุษย์หนึ่งคนจะตามหาขีดจำกัดของตัวเองไปเพื่ออะไร? หรือทำไปแล้วจะได้อะไรกลับมา? แต่ชายผู้เป็นเจ้าของประโยคดังกล่าวที่ชื่อ เอเลียด คิปโชเก (Eliud Kipchoge) กลับไม่คิดแบบนั้น เขามองว่ามันคือเป้าหมายสำคัญในการเอาชนะตัวเอง ก่อนจะพิสูจน์ให้คนทั้งโลกได้เห็นด้วยการทำลายกำแพงที่เคย “ขีดเส้น” ความสามารถของนักวิ่งระยะไกลทุกคนบนโลกไว้ว่ามนุษย์นั้นไม่สามารถทำลาย “ขีดจำกัด” หรือกำแพงเวลา 2 ชั่วโมงของการวิ่งฟูลมาราธอนลงได้ ทันทีที่ร่างกายของเอเลียด คิปโชเกทะยานผ่านเส้นชัยในอีเวนต์ INEOS 1:59 Challenge ด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 59 นาที 40 วินาที ประวัติศาสตร์ของโลกและขีดจำกัดของมนุษย์ก็ถูกมองต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในเวลาเดียวกัน ตัวเขาก็ได้มอบอีกหนึ่งคำพูดสำคัญเพื่อตอกย้ำความคิดที่มีอีกครั้งว่า “มนุษย์เรานั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด” ท่ามกลางความสำเร็จท่ีเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลายคนทราบกันดีว่าเอเลียด คิปโชเก คือคนที่วิ่งเข้าเส้นชัย แต่เบื้องหลังความสำเร็จต่าง ๆ ในชีวิตของเขากว่าจะมาถึงวันนี้ ใครจะรู้ว่านักวิ่งวัย 34 ปีชาวเคนย่าผู้นี้ต้องผ่านการฝึกฝนทางร่างกายและผ่านการขัดเกลาในด้านจิตใจมาอย่างไรบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN และคอลัมน์ MotivAthlete จะพาทุกคนมาหาคำตอบไปพร้อมกัน ร่างกายเหนือมนุษย์ ที่มาจากการฝึกซ้อมและเฝ้าจดบันทึก หลายคนทราบกันดีว่าปัจจัยพื้นฐานของการเล่นกีฬาแต่ละประเภทมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างก็คือ “ร่างกายและพละกำลัง”
เดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นทีมชาติม้ามืดที่พาตัวเองผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศสในศึก 2018 FIFA World Cup แม้ผลจะออกมาว่า Croatia ต้องพ่ายแพ้ไป แต่มันก็ยิ่งใหญ่พอจะทำให้คนทั้งประเทศยกย่องให้นักเตะชุดนี้เป็นฮีโร่ตัวจริงถึงขั้นขนานนามว่าเป็น “Golden Generation” ที่ประกอบด้วยนักเตะดี ๆ มากมาย โดยหนึ่งในนั้นก็คือ Luka Modric กัปตันทีมชาติ Croatia นักเตะ midfielder จาก Real Madrid ที่สามารถคว้ารางวัล Ballon d’Or ปีล่าสุด เบียด Messi และ Ronaldo ได้อย่างสวยงาม “Luka Modric เป็นนักเตะที่ครบเครื่องและแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่มีส่วนสำคัญทั้งกับทีมชาติและสโมสร การวิ่งเข้าใส่แบบถวายชีวิตไม่มีเหนื่อย ความสามารถในการทำประตู การขับเคลื่อนเกม และการสร้างกำลังใจให้กับเพื่อน ๆ เป็นสิ่งที่ทุกคนสังเกตเห็นได้จากตัวของเค้า” แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูลึก ๆ จะเห็นถึงความพยายามและความกระหายในการเล่นฟุตบอลของ Luka Modric ชายผู้เกิดมาในช่วงสงครามที่แย่ที่สุดของ Croatia ชายผู้เกือบจะสูญเสียทุกอย่างไป มีเพียงเศษกระดาษที่ปั้นเป็นลูกบอลกลม ๆ คอยประคองให้ตัวเค้าก้าวผ่านความเลวร้ายเหล่านั้น และเป็นแรงผลักดันให้เค้ารักฟุตบอลอย่างสุดหัวใจ Lucky Luka คือชื่อเล่นของนักเตะกองกลางที่เรารู้จักกันดีในชื่อ LUKA
มหกรรมฟุตบอลระดับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ‘UEFA Champions League’ ศึกชิงจ้าวยุโรปประจำฤดูกาล 2018-2019 เวียนมาอีกครั้ง ปีนี้บรรดาทีมยักษ์ใหญ่ต่างก็กรีธาทัพเข้าร่วมเหมือนเช่นเคย ดังนั้นการันตีความมันได้เลยว่าไม่แพ้ปีก่อน ๆ แน่นอน ล่าสุดก็จับสลากแบ่งกลุ่มกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่ารอช้าดีกว่า ไปดูกันเลยว่าแต่ละกลุ่มหน้าตาเป็นยังไงพร้อมบทวิเคราะห์เจาะลึกจากทีมงาน UNLOCKMEN Group A กลุ่มนี้คือกลุ่มที่มีความสมดุลที่สุดก็ว่าได้ เพราะแต่ละทีมมีศักยภาพไล่เรียงกันลงมาตามลำดับโถที่อยู่ แน่นอนว่าทีมเต็งจ๋าว่าที่แชมป์กลุ่มคงหนีไม่พ้น ‘ตราหมี’ Atletico Madrid เพราะถึงแม้ชื่อชั้นของทีมจะดูสูสีใกล้เคียงกับ ‘Borussia Dortmund’ เพื่อนร่วมกลุ่ม แต่ประสบการณ์และความเคี่ยวในเวทียุโรปของยอดทีมแห่งสเปนมีมากกว่าพอสมควร ส่วน ‘Monaco’ ถึงแม้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาจะพัฒนาขึ้นมาจนสามารถต่อกรกับบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ได้สนุก แต่มาในปีนี้ต้องยอมรับว่าขุมกำลังของพวกเขาอ่อนลงพอสมควรเนื่องจากมีการปล่อยสตาร์ประจำทีมออกไปหลายคนและเน้นปั้นดาวรุ่งเป็นหลักเพื่อรักษาสถานภาพทางการเงิน UCL ปีนี้จึงไม่น่าจะใช่ปีที่ดีสำหรับยักษ์หลับแดนน้ำหอม ทีมสุดท้าย ‘Club Brugge’ ถึงแม้จะพกพาดีกรีแชมป์ลีคเบลเยี่ยมมาด้วย แต่เมื่อเทียบกับอีก 3 ทีม เกรดบอลพวกเขายังดูเป็นรองชัดเจน การหักปากกาเซียนจึงอาจเกิดได้ยากในกลุ่ม A นี้ มุ่งตรงสู่รอบต่อไป: Atletico Madrid, Borussia Dortmund มุ่งตรงสู่ Europa League: Monaco มุ่งตรงกลับบ้าน: Club Brugge Group B อย่างที่บอกไปว่าสังเวียน
ความเร็ว ความตื่นเต้นเร้าใจสไตล์ Extreme สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้ชายต่างหลงใหล มันเดือดพล่านอยู่ในสัญชาตญาณของหนุ่ม ๆ ทุกคน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เงินที่เก็บออมอย่างตั้งใจมาทั้งชีวิตจะทุ่มให้กับรถในฝันหรือบิ๊กไบค์คันงาม แต่สำหรับบางคนที่ไม่ใช่ขาซิ่งบนถนนหรือซิ่งมาจนเบื่อแล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศการท้าความเร็วจากพื้นยางมะตอยมาเป็นพื้นน้ำ เร่มาทางนี้เลย เพราะวันนี้ UNLOCKMEN มีเทคโนโลยียานยนต์เจ๋ง ๆ มาฝาก ชื่อของมันคือ ‘Narke’ ‘Narke’ หรือ ‘Narke Electrojet’ ถ้ามองจากภายนอกก็ดูไม่แตกต่างจากเจ็ทสกีที่เรารู้จักเท่าไรนัก แต่ความพิเศษของมันคือเป็นเจ็ทสกีลำแรกของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าตามแนวคิดการอนุรักษ์และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้อยู่แค่ภายในระบบขับเคลื่อนเท่านั้น แต่รวมถึงการออกแบบภายนอก วัสดุที่นำมาใช้ล้วนแล้วแต่ยึดโยงกับแนวคิดนี้ ‘ถึงแม้ระบบขับเคลื่อนจะเปลี่ยนไป แต่ประสบการณ์บนผิวน้ำยังเหมือนเดิม’ นี่คือสิ่งที่ผู้ผลิตเจ้าเจ็ทสกีสัญชาติฮังการีบอก ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบขนาดย่อมหรือมหาสมุทรกว้างใหญ่ Narke ก็สามารถโลดแล่นได้ในทุกที่ คำว่า Narke มีที่มาจากชื่อของรังสีไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่มีความซับซ้อนอย่างมาก สามารถพบคลื่นชิดนี้ได้ในแถบอินโด-แปซิฟิคและตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ด้วยคอนเซ็ปต์การเคลื่อนที่ด้วยกระแสไฟฟ้า ผู้ผลิตจึงหยิบชื่อนี้มาตั้งให้กับเจ็ทสกีลำนี้ นอกจากรูปร่างภายนอกอันโฉบเฉี่ยวและระบบการทำงานด้วยไฟฟ้าแล้ว จุดเด่นอีกอย่างของ Narke ที่ทำให้แตกต่างจากเจ็ทสกีทั่วไปคือเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบกว่ามาก เงียบจนเสียงคลื่นกลบหมด ทำให้คุณเข้าถึงความสุนทรีย์แห่งการโลดแล่นโบยบินในท้องทะเลอย่างแท้จริง รายละเอียดการทำงานอื่น ๆ ของ Narke Electrojet ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีมอเตอร์ระบายความร้อนถึง 3 ตัวด้วยกัน