Girls

A GIRL WE LOVE: เปลือยความคิด ส่องชีวิต ‘เชอรี่-ลฎาภา’ สาวสวยที่มีอะไรมากกว่าความ SEXY

By: PEERAWIT April 26, 2018

มีคำกล่าวที่ว่า “การตัดสินคนอื่น คือความทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเอง” และประโยคนี้ก็ทำให้เราเข้าใจความหมายของมันยิ่งขึ้น เมื่อเราได้มีโอกาสมาพูดคุยกับคุณ “เชอรี่” ลฎาภา รัชตะอมรโชติ หรือ “เชอรี่ สามโคก” นางแบบสาวเซ็กซี่ที่ใคร ๆ หลายคนรู้จัก และส่วนใหญ่แล้วจะรู้จักเธอกันแค่ด้านเดียวจากผลงานวาบหวิวหลากหลายที่เคยผ่านตา

ทีมงาน UNLOCKMEN ตื่นเต้นจนใจสั่นไม่เบา ตามประสาชายหนุ่มที่กำลังจะได้เจอสาวที่มี sex appeal สูง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เรารู้สึกเขินที่ได้เจอกับคุณเชอร์รี่ครั้งแรก ยอมรับว่ากล่าวทักทายเธอด้วยความเกร็ง ก็เพราะเธอดูดีกว่าที่เราเคยเห็นในสื่อต่าง ๆ เสียอีก แต่จากนั้นความเขินอายก็หมดไป เพราะจริง ๆ แล้วเธอเป็นผู้หญิงที่เป็นกันเอง มีอารมณ์ขัน และก็ไม่ได้มีตัวตนที่ “แรง” เหมือนกับผลงานที่ผ่านมา

“ช่วงนี้ก็เหมือนเดิมค่ะ ทำงานแล้วก็ใช้ชีวิตตามคอนเซ็ปต์ที่ว่าไม่ต้องทำงานเยอะเกินไป เวลาอีกครึ่งหนึ่งต้องเอามาใช้ชีวิต ต้องมีเวลาดูหนัง มีเวลาชิลล์ ได้อยู่กับตัวเอง จริง ๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก อยู่ในห้อง เล่นกับแมว ค่อนข้างเรียบง่ายค่ะ ส่วนเรื่องงาน ช่วง 2-3 ปีหลังจะเป็นงานอีเว้นต์ซะมากกว่า ถ้าปีก่อนก็จะได้แสดงในซีรีส์เรื่อง ‘ยายกะลา ตากะลี’ ของกันตนา ออกอากาศทางช่อง 7 ละครเรื่องอื่น ๆ ก็มี ส่วนใหญ่ก็จะได้เล่นเป็นตัวร้าย ตัวตบ ที่เซ็กซี่ยั่วยวน ถ้าเป็นสมัยก่อนเขาจะเรียกกันมา ‘นางยั่ว’

อีกทางหนึ่งก็จะเป็นสายอาร์ต จะได้เล่นเป็นคนอาร์ต ๆ ในหนังที่อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมาก แต่เป็นที่รู้จักจากการส่งประกวด ล่าสุดก็ได้เล่นหนังฝรั่งเศสที่เขาทำส่งประกวดเหมือนกัน ซึ่งไม่ได้ต้องการความเซ็กซี่จากเรา เขาต้องการการแสดงของเราจริง ๆ ทางฮ่องกงก็เคยให้ไปเล่นเหมือนกัน ซึ่งเขาไม่ได้มองงานเก่า ๆ เรา เขาเห็นแค่ว่าหน้าตาเราสื่ออารมณ์ได้ดี พวกหนังเศร้า ๆ หนังอาร์ต เราเล่นได้ ก็เลยจะได้งานทางนั้นซึ่งคนไทยไม่ค่อยรู้ เพราะหนังส่งประกวดก็ไม่ได้ฉายในโรง ก็ไม่รู้จะหาลิงค์จากไหนมาให้ดูเหมือนกันค่ะ(หัวเราะ) แล้วก็เร็ว ๆ นี้ก็จะมีมิวสิควีดีโอเพลงใหม่ของพี่แจ๊ค ธนพล” คุณเชอรี่อัพเดทชีวิตในปัจจุบันให้ฟังคร่าว ๆ ก่อนจะเล่าแบบเจาะลึกลงไปเรื่อย ๆ

 

จากการฟังคุณเชอรี่เล่าให้ฟังถึงเรื่องงานในช่วงหลังจะเห็นได้ว่าเธอไม่ได้พูดถึงงานติดเรทเลย ใช่แล้วครับเธอไม่รับงานแนวอีโรติกแล้ว แต่สิ่งที่ใครหลายคนอาจจะไม่รู้ก็คืองานนอกวงการที่เธอเป็นทั้งนักแปลซับไตเติ้ลภาพยนตร์ที่บริษัทหนึ่ง และก็มีธุรกิจบ้านเช่าที่จังหวัดนครปฐมอีกด้วย

“เชอรี่ทำงานเป็นนักแปลซับไตเติ้ลมาประมาณ 3 ปีกว่าแล้ว เรื่องภาษาเราก็พอได้ เพราะเราเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ (มหาวิทยาลัยศิลปากร) มา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งกาจอะไรนะคะ แต่เรื่องแปลเชอรี่ทำได้ ความท้าทายคือการแปลคำศัพท์เฉพาะทาง และการใช้ภาษาที่ร่วมสมัย อะไรฮิตอยู่ในตอนนี้ก็เอามาใช้เป็นสีสัน เช่น ‘ออเจ้า’ อะไรอย่างนี้ ส่วนธุรกิจที่บ้าน พอเชอรี่ได้เงินจากการทำงานในวงการมาก็เอาไปลงทุนสร้างบ้านเช่าบนที่ดินที่บ้านที่นครปฐมที่ติดกับโรงงานแล้วก็เปิดให้พนักงานโรงงานเช่าอยู่อาศัย แรกเริ่มก็สร้างให้ที่บ้านก่อนเพื่อหารายได้ให้กับที่บ้าน จากนั้นก็เริ่มสร้างของตัวเองบ้าง เผื่อในอนาคตถ้าเราไม่สามารถทำงานในวงการได้แล้วจะได้มีอาชีพรองรับค่ะ ไว้ซัพพอร์ตเราเวลาเราแก่ เผละ เหี่ยว และยาน(หัวเราะ)”

“เชอร์ไม่รู้จะโปรโมทงานนอกวงการไปทำไม อย่างงานแปล ถ้าเกิดมีคนรู้เยอะ ๆ ว่าเชอร์ทำงานที่บริษัทไหนอาจจะมีผลกระทบ ก่อนเชอร์จะมาเป็นนักแปล เชอร์เคยเขียนคอลัมน์ให้กับนิตยสารรายปักษ์ฉบับหนึ่ง และเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับธรรมะซะด้วย ทำได้ประมาณ 4-5 เดือน พอมีคนรู้ว่าผู้เขียนคือเชอรี่สามโคกมากขึ้นเรื่อย ๆ ภาพลักษณ์ของเราก็เลยมีผลกับองค์กรก็เลยไม่ได้ทำตรงนั้นต่อ เราก็เข้าใจ แต่ก็เสียใจ จริงอยู่ว่าคนเราควรจะวัดกันที่ความสามารถ แต่เรื่องของภาพ เรื่องของสิ่งที่คนมองเรามันก็มีผล เชอร์พูดเสมอว่าถ้าจะเดินเข้าสู่วงการเซ็กซี่มันจะมีผลกระทบกับเรื่องอื่นนะ สังคมตอนนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เชอร์เชื่อว่าสังคมไทยยังคงซีเรียสกับเรื่องภาพลักษณ์อยู่”

“เชอร์คิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกใครว่าเรามีงานอย่างอื่นนะ เพราะว่าถ้าใครที่ตัดสินเราว่าคนคนนี้ทำอะไรไม่เป็นนอกจากแก้ผ้า ต่อให้เราบอกว่าเราทำนั่น ทำนี่ ทำนู่น เขาก็จะตัดสินเราอย่างนั้นอยู่ดี คนรอบข้างรู้ เพื่อนรู้ ครอบครัวเรารู้ ก็พอแล้ว”

 

การเปิดใจของคุณเชอรี่สะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่างในสังคม และทำให้เรากลับมามองที่ตัวเองด้วย ถือเป็นการเตือนสติเราอีกครั้งว่าอย่ามองคนแค่ภายนอก และเราเชื่อว่าการแชร์ประสบการณ์ของเธอจะเป็นประโยชน์ให้กับใครอีกหลายคน อยากรู้คุณเชอรี่เข้าวงการได้อย่างไร ?

“(หัวเราะ) ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจเลิกทางเซ็กซี่นะคะ แต่ความฝันแรกและความฝันเดียวก็คืออยากเป็นนักแสดง ตอนเรียนชั้นประถมจะอยู่กับทีวีกับละคร และเราก็รู้สึกชอบ พอดูละครจบก็จินตนาการว่าเราจะเล่นเป็นตัวละครไหนดีแล้วก็ลองเล่นตาม เป็นอย่างนี้มาตลอด และเป็นความฝันที่ไม่หายไป พอเข้ามหา’ลัย ช่วงปิดเทอมก็เลยเข้ากรุงเทพฯ ตอนนั้นยังไม่มี Facebook หรือ Instagram ก็เลยเปิดหนังสือพิมพ์ดูประกาศรับสมัครนักแสดงตัวประกอบแล้วก็ตัดเก็บไว้ แล้วก็ลองมาสมัครที่โมเดลลิ่งแห่งหนึ่ง ก็ได้เป็นตัวประกอบบ้าง เล่นเอ็มวีเพลงลูกทุ่งบ้าง แล้วก็ได้งานเสริมเป็นคนรับโทรศัพท์ที่โมเดลลิ่งด้วย ได้วันละ 300 บาท คอยประสานงานจากสายที่โทรเข้ามา งานที่ไม่ยากมากเราก็ได้เป็นคนเลือกนักแสดงด้วย งานไหนที่เราสนใจก็สามารถอาสาไปเองได้ จำได้ว่างานโฆษณาตัวแรกที่ได้เล่นก็คือโฆษณาสินมั่นคงประกันภัย แต่ตอนช่วงเรียนตลอด 4 ปีเราก็จะได้ทำงานแค่ช่วงปิดเทอม ไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไหร่”

“เราเริ่มเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่เป็นคนปรบมือในรายการ ได้ 120 บาท แต่เรามีความสุขโคตรเลย มันมีความสุขมากนะกับการได้เขยิบเข้าไปใกล้ความฝันของตัวเอง”

เริ่มเดินทางบนถนนสายเซ็กซี่ตั้งแต่ตอนไหน ?

“ช่วงปี 1 ปี 2 มีคนมาชวนถ่ายเซ็กซี่ แต่แนวเซ็กซี่เบา ๆ ใส่เสื้อ กางเกงขาสั้น เห็นบิกินี่ข้างในหน่อย ๆ เราก็ไป เราคิดว่าเราเป็นนักแสดงตลอดเวลา ถ้าถ่ายแบบก็คิดว่าแสดงเป็นนางแบบ เซ็กซี่ก็คือเซ็กซี่ ต้องแยก body กับ soul ออกจากกัน คนชอบถามว่าแก้ผ้าถ่ายแบบไม่อายเหรอ ขอตอบตรง ๆ ว่าไม่อาย เพราะมันคือการแสดง มันไม่ใช่ตัวตนจริงของเรา คงเหมือนกับการเป็นร่างทรง ตอนนี้ฉันคือนางแบบ ฉันก็ต้องเล่นเป็นนางแบบ เวลาเราเล่นหนังอีโรติกเราก็ไม่ได้มีอารมณ์ตามนั้นจริง ๆ เหมือนตัวเองหลุดออกไปจากร่างกาย แล้วก็มีใครก็ไม่รู้มาทำหน้าที่ตรงนั้นแทน เราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นบ้าหรือเปล่านะคะ (หัวเราะ)

พอเรียนจบมันก็ถึงทางแยก คือได้ทุนไปเรียนที่ประเทศอิหร่าน แต่ตอนนั้นมีสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับอิรัก ส่วนวัฒนธรรมที่นั่นก็แตกต่างจากบ้านเรา ที่บ้านก็เลยไม่สบายใจ ตัวเองก็ไม่สบายใจ ก็เลยไม่ได้ไป และตัดสินใจเข้ามากรุงเทพฯ และก็สอบเข้าเรียนปริญญาโทที่หนึ่งติดแล้ว ระหว่างรอเริ่มเรียนก็ทำงานไปด้วย ทั้งงานแสดงและถ่ายเซ็กซี่ที่มากกว่าเดิม หลังจากนั้นมาก็มีคนติดต่อให้ไปถ่ายเยอะไปหมด ทั้งนิตยสารเซ็กซี่และทริปถ่ายภาพของช่างภาพสมัครเล่น ซึ่งเราเป็นรุ่นแรก ๆ ที่ถ่ายเซ็กซี่ได้ นู้ดก็ได้ ศิลปะก็ได้ งานมากระหน่ำมาก เลยไม่ได้ไปเรียนต่อ แล้วก็ตั้งเป้าว่าจะกลับไปเรียนตอนงานเริ่มซา แต่งานก็มาเรื่อย ๆ เป็นสิบปีแล้ว ก็เลยไม่ได้เรียนต่อสักที (หัวเราะ)”

“ชอบมีคำถามว่า ‘คิดว่าตัวเองเซ็กซี่ที่ตรงไหน ?’ ขอตอบเลยว่าไม่คิดว่าตัวเองเซ็กซี่เลย ออกจะเอ๋อ ๆ หน้ามึน ๆ ด้วยซ้ำ”

นอกจากเงินที่ได้รับแล้ว รู้สึก happy กับงานที่ทำมากขนาดไหน ?

“เชอร์แบ่งเป็นงานที่ชอบกับงานที่ทำได้ งานที่เชอร์ชอบทำคืองานแสดง เราเคารพในอาชีพนักแสดง มันคือความฝันของเรา แม้มันจะดูเล็กสำหรับใครบางคนแต่มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ส่วนงานเขียนงานแปลก็เป็นงานที่ชอบ ทำแล้วได้ทั้งเงินทั้งความสุข บางงานที่ไม่ได้เงินแต่มีความสุขก็ทำ ถ้าเป็นงานที่ทำได้ ก็คืองานที่ทำให้มีชื่อเสียงเหลือเกินในทุกวันนี้ (หัวเราะ) ก็คืองานเซ็กซี่ ถ่ายแบบ ออกอีเว้นต์ต่าง ๆ ไม่ได้มีความทุกข์ที่จะทำนะ ทำได้ ไม่อึดอัด แต่ถ้าอะไรก็ตามที่เชอรี่รู้สึกอึดอัดที่จะทำก็จะไม่ทำ”

“วันหนึ่งเชอรี่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าไม่อยากถ่ายหนังแผ่นเรทอาร์แล้ว เชอรี่ทำอยู่ 2 ปี เดือนนึงถ่าย 4-5 เรื่อง เรารู้สึกว่าเราเริ่มอิ่มตัว ไม่ได้พัฒนาตัวเองต่อจากจุดนี้ เริ่มรู้สึกไม่แฮปปี้กับงาน รู้สึกดีแค่ตอนรับค่าตัว ก็เลยคิดว่ามันไม่ใช่ละ วันต่อมาก็เลยบอกกับทุกคนว่าไม่เล่นหนังอาร์แล้ว ตอนนี้ก็เลิกเล่นมา 3 ปีแล้ว”

ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการผ่านงานสุดเซ็กซี่มา ?

“ได้เรียนรู้เรื่องคนมากที่สุด เคยเจอความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้เยอะมาก บางครั้งเขาก็เคลือบคำหวานให้กับสิ่งที่เขาต้องการจะขาย เบี่ยงคำต่าง ๆ นา ๆ เพื่อให้เราทำงานให้เขา เชอร์เคยพลาดไปถ่ายแบบที่วาบหวิวเหลือเกินอย่างที่รู้ ๆ กัน ตอนนั้นเชอร์ยังไม่ได้เรียนรู้คน เจอคำพูดที่ไม่ได้บอกเราทั้งหมดว่าต้องเปลือยขนาดไหน สุดท้ายก็เจอแค่คำพูดที่ว่า ‘พี่ไม่รู้จริง ๆ’ ซึ่งวงการที่เชอร์รู้จักมีเหตุการณ์แบบนี้เยอะมาก และมันทำให้เชอร์ทันคำพูดคนมากขึ้น”

คนส่วนใหญ่เคยเห็นแต่ความเซ็กซี่ของเชอรี่สามโคก แต่ตอนนี้เราอยากรู้เหลือเกินว่าตัวตนที่แท้จริงคุณเชอรี่เป็นอย่างไร ?

“สิ่งที่เชอรี่เป็นจริง ๆ คือไม่ใช่คนเซ็กซี่ เป็นคนสบาย ๆ ออกไปทางโบราณด้วยซ้ำไป เพราะเราก็เกิดมานานแล้วเนอะ (หัวเราะ) เราชอบอะไรวินเทจ ๆ ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่ชอบอยู่กับคนหมู่มาก ไม่กินเหล้าเพราะเคยสาบานเอาไว้ (หัวเราะ) ไม่เที่ยว ไม่ปาร์ตี ชอบเที่ยวแนวธรรมชาติ นอนโง่ ๆ ดูหนัง ยิ่งหนังที่ต้องคิดตามเยอะ ๆ ยิ่งชอบ ชอบอยู่กับความคิดตัวเองและก็ดำดิ่งไปเรื่อย ๆ อีกนิดนึงอาจะบ้าก็ได้นะ (ฮา)”

 

หลังจากที่เรารู้ตัวตน วิธีคิด และแง่คิดที่ได้จากประสบการณ์ของคุณเชอรี่แล้ว ก็ต้องมาเจาะกันให้ถึงหัวใจกันหน่อย ทราบมาว่ามีแฟนแล้ว คุณเชอรี่ปลื้มเขาคนนี้ตรงไหน ?

“ที่ผ่านมาเชอร์ไม่เคยคบคนที่อายุน้อยกว่าเลย เพราะเราเคยคิดว่าคนที่อายุน้อยกว่าจะมาคุยอะไรกับเรารู้เรื่อง แล้วเราก็ไม่ชอบความจุกจิก แต่แฟนคนปัจจุบันอายุน้อยกว่าเชอรี่ 12 ปี เราเจอเขาตอนที่เราโสดมาเป็นปี เป็นช่วงที่เราเริ่มปล่อยวางกับชีวิต เมื่อก่อนจะซีเรียสกับทุกอย่างในชีวิต วางแผนตลอดเวลา แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าวันหนึ่งเราจะบ้าหรือเปล่าเนี่ย จนเราเหนื่อยกับความคิดตัวเอง ก็เลยชิลล์ละ เกิดปัญหาอะไรก็แก้ไป เรื่องผู้ชายก็เลิกปิดกั้นตัวเอง จากที่เคยบล็อกคนที่เข้ามาจีบหรือเพื่อนคนไหนจะมาสานสัมพันธ์เราก็จะเว้นระยะ กลายมาเป็นคนที่เปิดใจ ถ้ารู้สึกดีที่จะคุยก็คุย ไม่ต้องคิดถึงอนาคตไกล ๆ หรือคาดหวัง แล้วเขาก็เข้ามาพอดี เราก็ไม่ได้วิเคราะห์เขา เราเรียนรู้เขาจากการที่คุย ตามที่เห็น อะไรที่ยังไม่เคยเห็นแล้วมาเห็นก็ค่อยเรียนรู้กันไป พอคุยไปคุยมาก็รู้สึกดี สบาย ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แล้วตอนนั้นเราก็รู้สึกโดดเดี่ยว แล้วเขาก็ทำให้เรารู้สึกไม่โดดเดี่ยว เรามีความสำคัญ เรารู้สึกมีคุณค่า และก็มีอะไรคล้าย ๆ กัน ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้ตกหลุมเด็ก (หัวเราะ)”

การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมองข้ามอดีตของเรา มันเป็นเรื่องที่ยากไหม ?

“ไม่ใช่แค่เรื่องการตัดสินผู้หญิงนะ แต่ทุกคนบนโลกใบนี้มีหลายมิติ การที่เราเห็นเขาด้านเดียวไม่อาจตัดสินอะไรได้ทั้งหมด บางคนที่ฆ่าคนตาย ใช่ เขาไม่ดีที่ฆ่าคนตาย แต่เขาก็อาจไม่ได้เกิดมาชั่วร้ายเลย เขาอาจจะเคยทำเรื่องดี ๆ มาก่อน อาจเคยช่วยชีวิตคนอื่นมา เขาฆ่าคนตายกฎหมายมีหน้าที่ตัดสินเขาไม่ใช่เราที่จะมีสิทธิไปตัดสิน แต่ถ้าอยากจะตัดสินคุณก็ต้องเห็นทุกมุมของเขาคนนั้นแล้วค่อยมาวิเคราะห์ จะดีจะชั่วก็ต้องดูว่าจะเอาอะไรมาวัด จริยธรรมหรือกฎหมาย ศีลธรรมหรือวัฒนธรรม มันแยกแยะได้หลายอย่าง”

“มุมที่หลายคนมองว่าเชอรี่เซ็กซี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเยาวชน โอเค คุณบอกว่ามุมนี้ของเชอรี่ไม่ดีได้ แต่อย่ามาบอกว่าเชอรี่เกิดมาเลว การเป็นผู้ชายนั้นอาจไม่ต้องบอกว่าตัวเองเป็น gentleman แค่มองโลกในความเป็นจริง อย่าตัดสินผู้อื่น ถ้าดูอะไรที่เซ็กซี่แล้วชอบก็ดูไป แต่ถ้าคิดจะร่วมทางกับใครอย่างจริงจังก็ค่อยเอามาพิจารณาว่ารับได้มากแค่ไหน”

ตามธรรมเนียมของ UNLOCKMEN เราขอถามคุณเชอรี่ว่า ต่อจากนี้อยากจะปลดล็อกศักยภาพของตัวเองด้านไหนออกมาบ้าง ? 

“อาจจะไม่ตรงคำถามมากนะคะ (หัวเราะ) แต่เป็นสิ่งที่กำลังพยายามเดินทางไปให้ถึงอยู่ คืออยากจะออกไปเที่ยวพักผ่อนยาว ๆ ได้ซักที แต่เชอร์ยังไม่เคยทำได้เลย เพราะเราก็จะคิดวนเป็นแบบงูกินหางอยู่ว่าตอนนี้ยังมีคนให้งานเราทำอยู่เลย ก็เลยคิดว่าขอทำงานให้เต็มที่ก่อน เดี๋ยวงานซา ๆ ค่อยไปเที่ยว เรื่องนี้ก็เลยเป็นเรื่องที่อยากปลดล็อกตัวเองให้ได้ อยากจะรู้จักการปิดสวิตช์ตัวเองลงบ้าง เราคงคุ้นชินกับการทำงานเยอะ ๆ มากเกินไปแล้ว”

“เราจะคิดเสมอว่า แม่เรา ก๋งเรา เคยทำงานหนักมาตลอดแบบไม่มีวันหยุด เขาทำงานได้วันละ 100 กว่าบาทบ้าง 200 กว่าบาทบ้าง เขายังไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยสักคำ แล้วเราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเขา เราก็ต้องสู้ได้แบบเขา เราต้องไม่ขี้เกียจ”

 

การพูดคุยกับคุณเชอรี่ทำให้เราค้นพบความเซ็กซี่อีกอย่างในตัวเธอนั่นก็คือวิธีคิด ซึ่งเป็นความเซ็กซี่ที่จะติดตัวไปตลอดกาลแม้วันหนึ่งสังขารจะเริ่มโรยรา และการสนทนาครั้งนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าคุณค่าที่แท้จริงของคนอยู่ที่ข้างใน และโลกนี้ยังมีอะไรที่น่าเซอร์ไพรส์อีกมาก ต้องขอบคุณ “เชอรี่-ลฎาภา” A GIRL WE LOVE อีกท่านที่มาเปิดใจให้ชาว UNLOCKMEN ได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริง

เพราะการเปลือยที่เซ็กซี่ที่สุดก็คือการถอดเปลือกออกมาให้หมด แล้วโชว์คุณค่าทางจิตใจออกมา

 

ขอขอบคุณ Blu-O Rhythm&Bowl Esplanade Ratchada สำหรับการเอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายทำ

PEERAWIT
WRITER: PEERAWIT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line