“ป๊อด ธนชัย อุชชิน” อีกมุมหนึ่งของชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วย “ศิลปะ”

ถ้าพูดถึงผู้ชายที่มีชื่อว่า นาย ธนชัย อุชชิน หรือ “ป๊อด Modern Dog” หลายๆ คนคงเห็นภาพของนักร้องร่างเล็กที่กำลังจับ Microphone กระโดดโลดแล่นอยู่บนเวทีคอนเสิร์ต และมอบความสุขให้กับคนดูมาเป็นเวลาถึง 22 ปี และถึงแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ป๊อด Modern Dog ก็ยังเป็นไอดอลของวัยรุ่นในทุกๆ Generation เพราะนอกจากการร้องเพลงแล้ว การดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วย “ศิลปะ” ของ ป๊อด Modern Dog ก็ยังเป็นอีกสิ่งนึงที่หลายๆ คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เจ๋ง” และยิ่งถ้าคุณมีโอกาสได้ นั่งพูดคุย ฟังเรื่องราว และแนวทางการใช้ชีวิตที่ได้ผ่านการตกผลึกความคิดที่ได้รับอิทธิพลมากจาก “ศิลปะ” และ “ธรรมชาติ”  ของผู้ชายคนนี้แล้วล่ะก็ ต้องเปลี่ยนจาก เจ๋ง เป็น โคตรเจ๋ง กันอย่างแน่นอน

และวันนี้ UNLOCKMEN รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เมื่อ ป๊อด Modern Dog เปิดโอกาสให้เราได้เข้าไป UNLOCK อีกมุมหนึ่งที่เชื่อว่าน้อยคนนักจะรู้ว่า จริงๆ แล้ว ป๊อด Moderndog เป็นจิตรกรที่มีฝีมือจัดจ้าน และไม่ธรรมดา

เมื่อทีมงาน UNLOCKMEN เดินทางไปถึงจุดนัดพบ สิ่งแรกที่ได้เห็นก็คือ ป๊อด Modern Dog ในลุคสบายๆ ยืนยิ้มต้อนรับพวกเราอย่างเป็นกันเอง และสิ่งนึงที่ทำให้เราแปลกใจที่สุดคือ เฟรมของภาพวาดจำนวนมากที่ตั้งอยู่เต็มห้อง ซึ่งดูแล้วเหมือนห้องของจิตรกร ที่ชื่นชอบการวาดรูปเป็นอย่างมาก

“จริงๆ เรียนมาทางศิลปะนะ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็อยู่คณะ ครุอาร์ต ที่จุฬาฯ แต่ว่าพอเริ่มทำอัลบัมแรกตอนปี 4 จนมาออกตอนเรียนจบพอดี ก็เลยกลายมาเป็นนักดนตรีนักร้อง ทำเพลงมาจนตอนนี้เข้าปีที่ 22 แล้ว ทีนี้ศิลปะที่เรียนมามันก็ถูกใช้อยู่บ้าง ในเวลาเรื่องของการออกแบบปก หรือคิดมิวสิควิดีโออะไรแบบนี้แต่มันยังไม่ได้ถูกนำมาทำเป็นงานศิลปะเป็นเรื่องเป็นราวเลยจริงๆ”

“ในขณะที่มีงานเพลง ก็ยังวาดรูป ยังชอบทำงานแบบงานคอลลาจ (Collage art) ไปด้วย เพราะมันเป็นเหมือนความชอบส่วนลึกของเรา เป็นอีกส่วนนึงของเรา คือถ้าไม่เป็นนักร้องก็คงจะมาทางสายนี้เลย คือฝันของเราจริงๆ ตอนเด็กๆ ของเราเลยคือจิตรกร พอตอนที่เรามีเวลา เราก็จะกลับมาทำอะไรที่มันเติมเต็มความฝันในวัยเด็กของเรา”

“ผมชอบวาด Abstract ที่สุด เพราะว่าในทุกวันนี้ที่เราออกไปร้องเพลง หรืออะไรก็ตาม เราต้องสื่อสารกับคนอื่น แต่ทีนี้เราอยากจะกลับมาหาตัวเองบ้าง เพื่อสร้างสมดุล ก็เลยเลือกทำศิลปะโดยที่ไม่สนใจเรื่องราวแล้ว เป็นอารมณ์อย่างเดียว เป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ”

“ผมเริ่มมีนิทรรศการเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่จะบอกว่า ตอนทำงานแสดงครั้งนั้นเนี่ย ก็ยังพูดเลยว่า ศิลปะมันเป็นส่วนที่เข้ามาสร้างสมดุลกับงานเพลง เราว่าความต่างคือการเล่นดนตรีร้องเพลงคือการสื่อสารกับคนอื่น แต่การทำงานศิลปะเนี่ยคือการสื่อสารกับตัวเอง เราอยู่กับเฟรมตรงหน้า หรือว่ากระดาษข้างหน้าเนี่ย เราคุยกับตัวเอง มันเหมือนการบำบัดด้วยนะ คือดนตรีก็บำบัดส่วนหนึ่ง ศิลปะก็บำบัดอีกอย่างหนึ่ง ใช้คำง่ายๆ ก็คือมันได้ระบาย เป็นการระบายความรู้สึกส่วนตัวออกไป แล้วก็ไม่ต้องกังวลถึงผู้คนว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เพราะนี่คือพื้นที่ส่วนตัวของเราแล้ว จริงๆ”

“เราเคยไปบวชเป็นพระป่ามา 4 เดือน มันเป็นกระบวนการของการเรียนรู้ เพื่อจะทำความเข้าใจตัวเองด้วย ตอนนั้นเราคิดว่าเราเป็นคนเขียนเพลงเอง เราควรเข้าใจเพลงตัวเองมากที่สุด และทำอย่างไรจะเข้าใจที่สุดก็คือต้องเข้าใจจิตใจตัวเอง ต้องลึกเข้าไปในใจตัวเอง ตอนนั้นเราเลยลองไปบวชเป็นพระป่าอยู่ 4 เดือนครึ่ง แล้วก็ตอนนั้นในชีวิตนี่ไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อนเลย เคยตอนประถม ก็ครูจับให้นั่งนั่นแหละ นั่งหลับตาไป แต่ไม่เคยแบบนั่งเป็นจริงเป็นจัง เพราะว่าเป็นพระเนี่ยเขามีกำหนดมาเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง อย่างต้องนั่งสมาธิก่อนไปบิณฑบาตทุกวัน มันก็เลยเริ่มเจอความนิ่ง ดูลมหายใจไปเรื่อยๆ อย่างวันแรกไปถึงวัดบวชปุ๊บ เพลง ทาทา ยัง ลอยเข้ามาในหัวเลย (หัวเราะ) I believe, I believe in love อะไรอย่างเนี่ย”

“มันแทรกแน่นอน แต่ประเด็นคือ ไม่ใช่ไม่ให้มันแทรก ประเด็นคือ เห็นมัน เมื่อคุณเห็นมันแล้ว คุณหยิบมาใช้ได้ด้วย อันนี้ถ้าพูดในแง่งานนะ อ้อ มันมีอันนี้เข้ามา มีอะไรเข้ามาบ้าง จริงๆ แล้วถ้าในแง่ของการใช้ชีวิตก็คือเวลาความโกรธมันเข้ามา เราก็จะเห็นเป็นความโกรธ ก็ไม่ต่างจากวิทยุที่เรารับ เห้ยเรากำลังโกรธเว้ย แต่ทีนี้มันอยู่ที่เราจะตอบสนองต่อความโกรธนี้อย่างไร

มันต่างจากเมื่อก่อนตรงที่ว่า พอเวลามันโกรธเราก็จมไปอยู่ในมันเลย หรือว่าเศร้ากับเรื่องนี้เราก็จมไปอยู่ในมันเลย แต่ตอนนี้เราเริ่มเป็นเครื่องรับวิทยุที่เริ่มเห็นแล้ว พอเวลาเราโกรธ โอเค เรารู้เราพอละ หยุดหายใจปุ๊บ แล้วมันก็ค่อยๆ หายไป คือเราเห็นไง เราเห็นความโกรธมันวิ่งขึ้นมา แล้วเราก็ขับรถไป เราก็หายใจเข้าหายใจออก คือเปลี่ยนสวิทช์ เปลี่ยนคลื่น เปลี่ยนจากช่องความโกรธไปเป็นช่องลมหายใจ เราก็พยายามกำหนดลมหายใจให้มันเบาลง พอสักพักนึงคลื่นโกรธมันกลับมาแรงมาก มันแทรกเข้ามาแทน จนกระทั่งไปทำงาน ไปสัมภาษณ์อะไรอย่างนี้ สักพักนึง คลื่นโกรธหายไปละ ความหงุดหงิดมันหายไปเว้ย ก็เห็นว่าเมื่อกี้มันผ่านไปแล้วจบไปแล้ว คือเห็นเป็นเรื่องธรรมะ ก็คือเรื่อง อนิจจัง ทุกอย่างมันก็ผ่านมา และก็ผ่านไป”

“อย่างที่บอกเมื่อกี้นะ เราเชื่อว่าทุกอย่างมันเป็นคลื่น หมายถึงแม้กระทั่งเสียงพูดของเรา เชื่อไหมว่าคำพูดของเรา หรือความคิดก็เป็นคลื่น แต่มันยากที่จะมองเห็นได้ด้วยตาไง เพราะฉะนั้นเนี่ย ไอสิ่งที่คิดมันมีพลังงานอยู่ เพราะฉะนั้นความเชื่อนึงคือ การส่งพลังงานอะไรออกไป พอมันออกไปยังไงมันก็จะย้อนกลับมาที่เรา อันนี้คือความเชื่อที่เราเรียนรู้มา เพราะฉะนั้นพอเรารู้อย่างนี้ เราก็จะเลือกว่าเราจะส่งพลังงานไหนออกไป เราอยากจะส่งอะไรก็ได้แต่เราก็ต้องพร้อมที่จะรับแบบนั้นนะ เหมือนเราเขวี้ยงลูกบอลใส่กำแพงอะ เราเขวี้ยงด้วยความแรงขนาดไหน มันก็เด้งกลับมาหาเราอย่างนั้น ทีนี้เราจะรู้ไหมว่าแม้แต่ความคิดที่เราเปล่งหรือปล่อยออกไป มันก็เป็นลูกบอลลูกนึงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็เลือกเอาเอง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน”

ทีมงานได้ถามถึงเคล็ดลับในการใช้ชีวิตอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ และมีความสุข เพราะจริงๆ และการที่ศิลปินคนนึงจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้นานถึง 22 ปี เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย

“เอาจริงๆ เลยนะ เคล็ดลับคือใจ เราคิดว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นแค่อาชีพนักร้องนะ ทุกๆ อาชีพ ใจตัวเดียวครับ ที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จ เมื่อไหร่ที่จิตตก งานก็หล่น สมมุติคุณขับแท็กซี่ด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว คุณก็จะไม่มีความคมชัด คุณก็จะฟึดฟัด หรือเป็นนักร้องที่แบบว่าเบื่อหน่ายท้อแท้ แบบว่ากูขึ้นไปทำไมวะ คนดูก็รู้สึกได้ คลื่นที่เมื่อกี้พูดมันก็ถูกส่งออกไปเป็นคลื่นที่มันมัวๆ อันนี้แบบเห็นชัดๆ เลย แต่ถ้าจิตมันดีอะ เห้ยมันมีจิตที่จะให้ มันมีจิตที่มีกำลัง เราคิดว่าพอขึ้นบนเวที คนดูจะรับรู้ได้ เวลาเค้าฟังเพลง เห้ยดูแล้วมันมีความสุขมันมีความอิ่มว่ะ เดินออกคอนเสิร์ตแล้วมันยังค้าง เนี่ยแหละผมว่าคลื่นมันยังค้างอยู่ เหมือนคอนเสิร์ตมันจบไปแล้ว แต่ความรู้สึกในอากาศยังคงค้างอยู่”

มาถึงคำถามสุดท้ายสำหรับพี่ป๊อด ที่หลายๆ คนอยากรู้ว่า ต่อจากนี้ยังมีอะไรที่ผู้ชายอย่างพี่ป๊อดอยากจะ UNLOCK อยู่อีกบ้าง?

“ก็อย่างที่วันนี้ที่มาพูดเรื่อง ศิลปะ เนี่ยพี่ว่ามันคือ UNLOCK จริงๆ นะ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ผมค้นพบว่ามันฝังตัวอยู่ข้างไหนแล้วผมเนี่ยยังไม่ได้ปล่อยมันออกมา ทุกวันนี้พอเสร็จจากร้องเพลงก็จะมานั่งเพ้นท์อยู่ตรงนี้แหละ ก็เป็นงานต่างๆ ที่ซึ่งก็จะมีนิทรรศการ เริ่มมีคนชวนไปแสดง ก็จะได้แสดงงานศิลปะด้วยนอกเหนือจากงานเพลง และก็คิดว่าจะทำงานศิลปะเนี่ยพัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะเหมือนผมก็เป็นเด็กหัดใหม่นะพูดจริงๆ ในเรื่องศิลปะ แต่ถ้าเวลาคุยกับพวกครูบาอาจารย์รุ่นใหญ่เนี่ย เราก็รู้สึกได้ว่าเรายังขาดเหลืออีกมาก ก็ยังอยากที่จะพัฒนาไปเรื่อยๆ นะ สำหรับแฟนๆ ที่ติดตามผลงานด้านเพลงก็สามารถติดตามผลงานด้านศิลปะได้ จากพวก Instagram เนี่ยอย่างเช่น วาด Daft Punk กินไอติม เนี่ยก็มีคนมาติดต่อขอซื้อ ก็รู้สึกดีใจว่าเนี่ยขายงานศิลปะได้ด้วย”

“สำหรับใครที่เป็นแฟนของ Modern Dog สามารถติดตามได้ใน Youtube ก็จะมี Modern Dog Channel มีเพลงอื่นๆ ที่ออกไปแล้ว บางคนอาจจะยังไม่เคยดู อย่างเช่นมิวสิกีดิโอเพลง เสน่ห์หา ไม่รู้เคยผ่านตาไหม หรือว่าชุดใหม่ทั้งหมดทุกเพลงก็อยู่ในนั้น แล้วก็จะเป็นคอนเสิร์ต 22 ปี Modern Dog เร็วๆ นี้ เพราะฉะนั้นก็ช่วยติดตาม 4 เพลงที่เหลือ รวมถึงทุกคนที่ยังไม่เคยฟัง 6 เพลงแรกที่ออกไปแล้ว Instagram ส่วนตัวก็ ModernPod เพื่อนๆ ก็ ModernMay ModernPong นะครับ แล้วก็มีเพจ facebook ของ Modern Dog เข้ากด follow กันได้เลยครับ”