‘รอยสัก’ นับเป็นงานศิลปะและลวดลายแฟชั่นที่เพิ่มความงดงามให้กับเรือนร่างของผู้ชายมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่นอกเหนือจากความสวยงาม รอยสักยังสะท้อนถึงความเชื่อ ความหมาย ตัวตน และความชอบที่แตกต่างกันออกไป มันจึงเป็นสิ่งที่ต้องการความปราณีตและความเป็นมืออาชีพของช่างในการสลัก วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปเยี่ยมร้านสักหลากสไตล์ที่จะเปลี่ยนผิวหนังของคุณให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความทรงจำ INK AGAIN มาเริ่มกันที่ INK AGAIN TATTOO ร้านสักลายขนาดย่อมที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยรัชดา 36 แม้ตัวร้านจะมีขนาดเล็ก แต่ฝีมือของช่างก็ไม่ได้เล็กน้อยตามตัวร้านเลย เพราะช่างประจำร้านมีประสบการณ์ด้านนี้มานานถึง 10 ปี แถมยังสลักลายได้หลายแนวไม่ว่าจะเป็น Black Work / New School / Minimal หรือ ถ้าคุณอยากได้ลายแนว Custom ทางร้านก็จัดให้ได้เหมือนกัน หากใครสนใจลองไปดูผลงานของร้านเพิ่มเติมได้ที่ IG: @inkagaintattoo หรือ ดูพิกัดร้านได้ที่ Google Maps AOMOA ใครที่ชื่นชอบรอยสักที่มีสีสันสวยงามฉูดฉาด หรือ ที่เป็นลายกราฟิกที่โดดเด่นทั้งสีและเส้น เราขอแนะนำร้านสักที่น่าจะตอบโจทย์คุณ ร้านนี้มีชื่อว่า AOMOA TATTOO STUDIO ซึ่งตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 21
ใครคือนักเต้นที่ดังที่สุดในประเทศไทย? อาจจะเป็นคำถามที่ตอบได้ยาก แต่ถ้าถามว่าใครคือนักเต้นที่อยู่ในระดับแถวหน้าของโลก รับรองว่าเราจะต้องเห็นชื่อ ‘Les Twins’ สองพี่น้อง duo นักเต้นจากฝรั่งเศสเจ้าแห่ง new-style hip-hop dancing ปรากฎอยู่ในระดับหัวแถวแน่นอน “Les Twins” คือชื่อทีมสุดขลังระดับ Icon ของวงการ Street Dancers ที่โด่งดังทะลุไปถึงในวงการ Design และ Entertainment ทั่วโลก ประกอบด้วยสองพี่น้องฝาแฝดชาวฝรั่งเศส Laurent และ Larry Bourgeois aka “Lil Beast” and “Ca Blaze” คู่หูที่ปัจจุบันคำว่านักเต้นอาจจะน้อยเกินไป เราขอเรียกว่าเป็น “Urban Movement Creators” ศิลปินที่สามารถเปลี่ยนทุกสิ่งรอบตัวให้กลายเป็นการเคลื่อนไหวที่ฉีกกรอบความสร้างสรรค์ได้อย่างไร้ขีดจำกัดจะเหมาะสมกว่า Laurent และ Larry Bourgeois สองนักเต้นฝาแฝด Les Twins เกิดในปี 1988 และเติบโตในเมืองทางตอนเหนือของปารีส พวกเขาไม่เคยเข้าคอร์สเรียนเต้นอย่างจริงจังมาก่อนเลย แต่ใช้วิธีเรียนรู้ด้วยตัวเองจากการสังเกตนักเต้นคนอื่น
สำหรับหนุ่ม ๆ Urban Men ที่มีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับย่านใจกลางเมืองเป็นส่วนใหญ่ คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘สาทร’ ย่านธุรกิจที่มีเสน่ห์ เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา เพราะที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่ตึกออฟฟิศ หรืออาคารสำนักงานต่าง ๆ เพียงเท่านั้น ย่านสาทรเป็นเหมือนศูนย์กลางของ Urban Lifestyle ที่สะดวกสบายทั้งการเดินทาง และการใช้ชีวิต รายล้อมไปด้วยร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์, ห้างสรรพสินค้า, คาเฟ่บิสโทรสุดชิค รวมไปถึงสถานศึกษา โรงพยาบาล สถานทูต และโรงแรมระดับ 5 ดาว มากมาย นอกจากอาคารสำนักงาน และสถานที่ไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ที่ครบครัน ‘สาทร’ ยังเป็นโลเคชั่นซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับใครที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตใจกลางมหานครได้อย่างสมบูรณ์แบบ กับโครงการ TAIT Sathorn 12 (เทตต์ สาทร ทเวลฟ์) ที่เราอยากชวนชาว UNLOCKMEN ทุกคนไปทำความรู้จักในทุกแง่มุมของคอนโดมิเนียมโครงการนี้ไปพร้อมกัน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เลือกคอนโดใหม่ที่พร้อมตอบสนองวิถีชีวิตคนเมืองได้อย่างลงตัว โครงการ TAIT Sathorn 12 เป็นคอนโด High Rise ระดับ Luxury ความสูง
Omega เปิดตัว Speedmaster edition สุดพิเศษ “Chronoscope” คำนิยามที่หมายถึงเครื่องมือที่ใช้เพื่อวัดระยะเวลาที่ดำเนินไประหว่างเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดจากการนำคำในภาษากรีกสองคำมาผสมกัน คือ “Chronos” ที่แปลว่า เวลา และ “Scope” ที่แปลว่า การสังเกต คำแทนเครื่องมือที่ใช้เพื่อบอกระยะเวลาระหว่างตำแหน่งเวลาหรือเหตุการณ์ OMEGA Speedmaster Chronoscope รุ่นใหม่ขนาด 43 มม. อันน่าทึ่งสามารถทำหน้าที่ดังกล่าวได้อย่างยอดเยี่ยม – และในหลากหลายระดับ สำหรับเหล่าผู้ที่หลงใหลในบรรดาเรือนเวลาระดับตำนานของ OMEGA นาฬิการุ่นนี้ถูกอัดแน่นไปด้วยรายละเอียดที่เป็นเอกลักษณ์มากมาย ทั้งหน้าปัดแบบพิมพ์ที่รวมสามสเกลเวลาเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างสวยงามสะกดทุกสายตา Tachymeter เครื่องมือบอกความเร็วจากระยะทาง จะสามารถบอกความเร็วที่คุณใช้ในการเดินทางได้ โดยอิงจากระยะทางที่เดินทาง โดยสเกลจะช่วยวัดระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางเฉลี่ยระหว่างตำแหน่งสองตำแหน่ง ไม่มีว่าการเดินทางของคุณจะเป็นในหน่วยไมล์หรือกิโลเมตร Telemeter บอกระยะทางจากความเร็วของเสียง เพียงสองขั้นตอนสุดง่าย เครื่องบอกเวลาอันเที่ยงตรงจาก OMEGA สามารถบอกได้อย่างแม่นยำว่าคุณอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดที่สามารถมองเห็นและมีเสียง เช่น พายุฝนฟ้าคะนอง Pulsometer วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เต้นช้าไป เร็วไป หรือกำลังพอดี? ต้องขอบคุณสเกล 30 ครั้งต่อนาที ที่ทำให้คุณสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทั้งตนเองหรือผู้อื่นได้ เรือนเวลา
นาฬิกาที่สร้างมาสำหรับข้อมือผู้ชายโดยเฉพาะ การร่วมมือที่ใช้เวลาพัฒนานานถึง 3 ปี นี่คือ Panerai x Brabus Submersible S Black Ops Edition PAM01240 ความเท่ขรึมสุดพิเศษที่มีจำกัดเพียง 100 เรือน หลายคนอาจสงสัยที่เห็น Panerai นาฬิกาที่เกิดมาจาก Royal Italian Navy ผู้เชี่ยวชาญทางน้ำ ทำไมถึงมาร่วมงานกับสำนักแต่งรถ Benz จากเยอรมนีอย่าง Brabus ได้ ที่จริงแล้ว Brabus ยังมีเรือ ‘Shadow Black Ops’ ที่ผลิตโดยทีม Brabus Marine division เรือทรงพลังระดับ 450 แรงม้าจากเครื่องยนต์ V8 ความเร็วระดับ 60 knots เป็นเรือความเร็วสูงที่ขึ้นชื่อในหมู่นักเล่นเรือ มีจุดเด่นคือการออกแบบที่สวยงามในโทนสีเทา gunmetal gray และแดง มีการตกแต่งที่หรูหราพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน นาฬิการุ่นพิเศษเรือนนี้มีหน้าปัดขนาดใหญ่ 47mm ตัวเคสผลิตจากวัสดุสุดแกร่ง
ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ไม่เว้นแม้แต่ Harley-Davidson ที่วันนี้ยังต้องหันมาจับตลาดสองล้อภายใต้แบรนด์ Serial 1 Cycle และนี่คือ S1 Mosh/Tribute eletric bike รุ่นล่าสุดที่สร้างจากแรงบันดาลใจต้นแบบ ‘Serial Number One’ มอเตอร์ไซค์ที่เก่าแก่ที่สุดของค่ายจากปี 1903 และดีไซน์ที่ต่อยอดมาจาก prototype แรกสุดที่ Harley-Davidson ใช้เปิดตัวแบรนด์จักรยานไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2020 Harley-Davidson S1 Mosh/Tribute จักรยานไฟฟ้า Limited Edition โมเดลแรกของค่าย ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์กึ่ง Vintage ผสมผสานความ Modern ออกแบบได้แข็งแกร่งบึกบึนไม่ทิ้งลายเก๋า เฟรมสีดำเงาพิมพ์ตัวอักษรสีทองตัดกับล้อสีขาวสุดเท่สะท้านใจจาก Schwalbe Super Moto-X ซึ่งเป็นยางพิเศษเฉพาะสำหรับ Serial 1 บริเวณ handgrips และเบาะนั่งใช้หนังแท้จาก Brooks England หุ้ม สร้างสัมผัสแบบลูกผู้ชายที่คุ้นเคย ภายในเฟรมบรรจุมอเตอร์ไฟฟ้า 250W จาก Brose ทำความเร็วสูงสุดได้
หากใครเป็นคอหนังภาพยนตร์ไซไฟคงคุ้นเคยกับ ‘ไซบอร์ก’ หรือ สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างคนและเครื่องจักรเป็นอย่างดี หลายคนน่าจะรู้จักมันเป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์สุดคลาสสิก เช่น RoboCop และ Terminator แต่อาจไม่รู้ว่าในโลกเราก็มีมนุษย์ไซบอร์กตัวจริงเหมือนกัน หนึ่งในนั้น คือ Neil Harbisson ชายชาวสเปนผู้เติบโตมาพร้อมกับโรค achromatopsia หรือ ที่เราเรียกว่าภาวะตาบอดสีแบบ 100% เขามองเห็นโลกมีเพียงสีขาวดำมาตลอด จนกระทั่งวันที่เทคโนโลยีกับเขาเริ่มกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน กว่าจะมาเป็นไซบอร์ก Neil Harbisson เกิดและเติบโตใน Mataro เมืองชายฝั่งแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในบาเซโลน่า ประเทศสเปน เขามีความสามารถด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก หลังจากได้เรียนรู้การเล่นเปียโนที่บ้านเกิด เขาก็สามารถแต่งประพันธ์เพลงของตัวเองได้ตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้เรียนวิจิตรศิลป์ (Fine Art) ในสถาบัน Institut Alexandre Satorras และได้รับอนุญาตให้สร้างสรรค์งานศิลปะแบบไม่ใช้สีได้ ผลงานศิลปะในช่วงแรกของชีวิตเขาเป็นสีขาวดำทั้งหมด แต่ชีวิตของ Harbisson ก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อเขาอายุ 19 ปี และได้ไปศึกษาเรื่องการประพันธ์เพลงที่ Dartington College
Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้นำเสนอนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ 3 โมเดลใหม่ที่พัฒนาจากรุ่นดั้งเดิมในปี 1993 รังสรรค์ด้วยวัสดุที่แตกต่างกัน ได้แก่ สเตนเลส สตีล (Stainless steel) ไทเทเนียม(Titanium) และพิ้งค์โกลด์ 18 กะรัต ถึงแม้จะคงไว้ซึ่งรายละเอียดสำคัญของนาฬิการุ่นดั้งเดิม ทว่าเรือนเวลาขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรทั้ง 3 เรือนนี้มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟ (Selfwinding Flyback Chronograph) คาลิเบอร์ล่าสุดจากโอเดอมาร์ ปิเกต์ รวมถึงระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเองแบบใหม่ อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์หน้าปัดเล็กน้อย พร้อมยังนำฝาหลังแซฟไฟร์กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อนำเสนอกลไกโครโนกราฟซึ่งรังสรรค์อย่างประณีต แม้รังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ รุ่นดั้งเดิมจากปี 1993 ทว่านาฬิกา 3 เรือนใหม่ในขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตร มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟใหม่ล่าสุด และระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์บนหน้าปัดเล็กน้อย การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย นาฬิการุ่นรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ใหม่ทั้ง
Audemars Piguet เปิดตัวนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ ขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรรุ่นใหม่ที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 เรือน เช่นเดียวกับนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ 3 โมเดลที่เปิดตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นาฬิการุ่นลิมิเต็ดเรือนนี้ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 4308 ซึ่งเป็นกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง (Selfwinding) ล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ อีกทั้งยังใช้ระบบถอดเปลี่ยนสายนาฬิกาด้วยตนเอง พร้อมดีไซน์หน้าปัดที่ตอบโจทย์ทุกการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะบนบกหรือใต้น้ำ กลไกที่พร้อมสำหรับทุกการผจญภัย นาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ รุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น มาพร้อมกลไกอัตโนมัติแบบล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ พร้อมการแสดงวินาทีและการแสดงวันที่แบบ Instant-Jump คาลิเบอร์ 4308 ถูกติดตั้งพร้อมกลไกที่ช่วยมอบเสถียรภาพและความแม่นยำเมื่อปรับฟังก์ชันของนาฬิกา สเกลเวลาการดำน้ำที่แสดงอยู่บนวงแหวนด้านในที่สามารถหมุนได้ของหน้าปัดสามารถเปิดใช้งานด้วยกลไกการคลิกแบบทิศทางเดียวที่ถูกติดตั้งให้เชื่อมกับเม็ดมะยมตรงที่ตำแหน่ง 10 นาฬิกา ฝาหลังแซฟไฟร์เผยให้เห็นเทคนิคการตกแต่งสุดประณีตของคาลิเบอร์ 4308 ไม่ว่าจะเป็นลาย โกตส์ เดอ เฌอแนฟ (Côtes de Genève) เทคนิคเทรตส์ ทิเรส์
เชื่อว่าสาวกเรือนเวลาทั้งหลายที่ชอบแสวงหาความแปลกใหม่ไม่จำเจ คงคุ้นเคยกับชื่อของ ALBA แบรนด์นาฬิกาดีไซน์สวย ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องราคาที่สามารถจับต้องได้ภายใต้คุณภาพการผลิตที่การันตีโดย SEIKO แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ALBA นั้นถือเป็นแบรนด์น้อง ที่รวมพลังร่วมบุกตลาดในไทย ยืนหยัดเคียงข้างแบรนด์พี่ใหญ่อย่าง SEIKO มายาวนาน ล่าสุดในปี 2021 นี้ ทาง ALBA ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมคอนเซ็ปต์ “The Reflection Of Japan” ด้วยงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงคุณภาพความเป็น Japan Product โดยเน้นไปที่รูปลักษณ์ของเรือนเวลา Sport Style ที่หนุ่ม ๆ อย่างเราสามารถหยิบมาสวมใส่ได้ในทุกโอกาส และในวันนี้เราได้คัดเลือกเรือนเวลา 5 โมเดลใหม่ที่น่าสนใจจาก ALBA มาอวดโฉมความเท่ ให้ชาว UNLOCKMEN ได้สัมผัส และทำความรู้จักกับจุดเด่นของทั้ง 5 เรือนนี้ ที่พร้อมประทับลงบนข้อมือในฐานะไอเทมบอกเวลาคู่ใจซึ่งช่วยอัพความเท่ให้กับคุณได้ในทุกสถานการณ์ เริ่มต้นที่เรือนแรกซึ่งต้องบอกเลยว่าใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา กับความหรูหราที่ผสานความสปอร์ตได้อย่างลงตัวกับ ALBA Automatic รุ่น AL4185X ตัวท็อปแห่งเรือนเวลาดีไซน์สปอร์ตขับเคลื่อนด้วยระบบออโตเมติก มาพร้อมหน้าปัดซันเรย์สีน้ำเงิน มีหลักชั่วโมงแบบพรายน้ำเหลือบทอง
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘SEIKO (ไซโก)’ คำภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า “นาที” “ความดีเยี่ยม” และ “ความสำเร็จ” เป็นคำคุ้นหูที่หลายคนรู้จักในฐานะชื่อแบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นที่อยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย นอกจากชื่อเสียงที่ชาวไทยคุ้นเคย ในระดับโลก SEIKO ยังถือเป็นแบรนด์ที่สร้างมาตรฐานใหม่บนหน้าประวัติศาสตร์วงการนาฬิกามาแล้วมากมาย ทั้งในฐานะแบรนด์นาฬิกาข้อมือแบรนด์แรกของญี่ปุ่นที่ริเริ่มผลิตนาฬิกาควอตซ์จนทำให้เกิดยุค Quartz Crisis และเป็นแบรนด์ที่ผลิตนาฬิกาดำน้ำไทเทเนียมรุ่นแรกของโลก รวมถึงนวัตกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย จากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ SEIKO ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 จนกลายเป็นความเชี่ยวชาญที่ผลักดันให้ SEIKO ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำในญี่ปุ่น เป็น House of Watchmaking ที่ผลิตทุกชิ้นส่วนของนาฬิกาด้วยโดยช่างผู้ชำนาญการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของนาฬิกา ภายใต้คติ Keep Going Forward ซึ่งหมายถึงการไม่หยุดพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ ที่ SEIKO ยึดถือมาจนถึงปัจจุบัน และในปี 2021 นี้ ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสพิเศษของแบรนด์คุณภาพจากญี่ปุ่นที่เดินทางมาครบรอบ 140 ปีเท่านั้น ซึ่งพวกเราชาวไทยที่เป็นสาวก SEIKO มาตั้งแต่ยุคบุกเบิกน่าจะรู้กันดีว่าช่วงเวลานี้ถือเป็น “ช่วงเวลาพิเศษ” ของไซโก
ขยับเข้ามาใกล้ทุกทีแล้ว สำหรับ Tokyo 2020 Olympics มหกรรมการแข่งขันกีฬาที่จะจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น แม้จะมีปัญหาจากโควิด-19 คอยรบกวนการจัดงานอยู่บ้าง แต่ถ้ามองข้ามเรื่องนั้นไป ก็ยังมีความน่าสนใจเกี่ยวกับ Olympics ครั้งนี้อีกหลายอย่างที่ญี่ปุ่นทำได้ดี หนึ่งในนั้นก็คือโพเดียมรับเหรียญ ที่ผลิตแบบ 3D Prints จากขยะขวดพลาสติกจากบ้านเรือน 100% จุดประสงค์ของทีมผู้จัดงานของญี่ปุ่นคือต้องการให้ประชาชนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เราได้เห็นการผลิตเหรียญรางวัลจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่บริจาคโดยประชาชนมาแล้ว เช่นเดียวกับโพเดียมรับเหรียญรางวัลในโทนสีฟ้าเข้มนี้ ที่สร้างขึ้นจากขยะขวดพลาสติกจำนวน 400,000 ขวด ที่ชาวญี่ปุ่นนำไปทิ้งในกล่องสะสมขยะพลาสติก 2,000 จุดตามห้างสรรพสินค้าและโรงเรียนในระยะเวลา 9 เดือน “เราต้องการแสดงให้โลกได้เห็นถึงความ sustainability ในสังคมญี่ปุ่น และต้องการให้ชาวญี่ปุ่นได้มีส่วนร่วมกับ Olympics ที่ทุกคนเป็นเจ้าภาพด้วยกัน” ลวดลายบนโพเดียมได้แรงบันดาลใจมาจากโลโก้ Olympics เกิดจากลูกบาศก์สี่เหลี่ยมหลาย ๆ ชิ้นประกอบเข้าด้วยกันโดยเทคโนโลยี 3D Prints จนเป็นแท่นยืนขนาดใหญ่ที่ยาวกว่าโพเดียมปกติเนื่องจากสถานการณ์สังคมปัจจุบันที่ต้อง Social Distance และยังสามารถปรับระดับให้ลาดลงสำหรับนักกีฬา Paralympics หลัง Olympics จบลงได้อีกด้วย การปรับโลโก้ 2D ให้กลายเป็น 3D ทำให้โพเดียมมีมิติและมีระดับสีฟ้าเข้มที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแสงที่แตกต่างกัน