Ford ฉลองครบ 50 ปีเพื่อระลึกถึงชัยชนะครั้งแรกของพวกเขาในการแข่งขัน 24 Hour Le Mans ปี 1968, 1969 เหนือคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Ferrari เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ทีมนักขับในเวลานั้นอย่าง Pedro Rodriguez, Lucien Bianchi, Jacky Ickx , Jackie Oliver ด้วยการเผยโฉม GT Heritage Edition 2019 Ford GT Heritage Edition 2019 มาในเครื่องแบบเอกลักษณ์ของแชมป์สีส้มฟ้าที่เรียกว่า the Gulf livery ผู้สนับสนุนคนสำคัญในตอนนั้น โดยคาดกันว่ารุ่นปี 2019 จะสวมเครื่องแบบหมายเลข 9 ที่คว้าแชมป์ในปี 1968 และรุ่นปี 2020 จะใช้เครื่องแบบของรถหมายเลข 6 ที่ป้องกันแชมป์เอาไว้ได้ในปี 1969 ในการแข่งขันความอึด 24 Hour LE Man ครั้งที่ 36
หลังจากเปิดตัวใน Detroit Auto Show 2018 ทำให้เราได้เห็นการกลับมาอีกครั้งของ Ford Mustang GT รุ่นพิเศษอย่าง Mustang Bullitt 2019 Steve Mcqueen Editon เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปีของ Ford Mustang Bullitt 1968 Iconic Car จากภาพยนตร์ที่แสดงนำโดย The King of Cool ‘Steve McQueen’ ต้องขอเกริ่นก่อนว่า Steve Mcqueen มาเกี่ยวข้องกับรถรุ่นพิเศษนี้ได้ยังไง โดยต้องย้อนกลับไปในปี 1968 เมื่อเขารับแสดงในบท Frank Bullitt พระเอกของหนังชื่อว่า Bullitt ซึ่งการแสดงที่หมดจดของ Mcqueen และฉากขับรถไล่ล่าอันบ้าระห่ำระยะเวลา 9 นาที 42 วินาทีที่ได้สร้างความฮือฮาสำหรับวงการภาพยนตร์ในเวลานั้นส่งผลให้เขาโด่งดังยิ่งขึ้นไปอีก และรถที่ใช้ในเรื่องอย่าง Ford Mustang 1968 สี Highland Green ก็กลายเป็นตำนานไปด้วย
EQ Silver Arrow เป็นคอนเซ็ปต์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าล่าสุดจาก Mercedes-Benz ผลงานชิ้นโบว์แดงของประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายออกแบบอย่าง Gordon Wagener ที่มาพร้อมกับกับนวัตกรรมแห่งอนาคตอัดแน่นไว้เต็มคัน ซึ่งความแตกต่างและล้ำหน้าของมันทำให้เราเชื่อว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนจะกล้าปฏิเสธการได้เป็นเจ้าของอย่างแน่นอน Electric Car จากค่ายรถยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์คันนี้เปิดตัวเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาใน Monterey Car Week แคลิฟอร์เนีย โดยถูกออกแบบมาเพื่อให้เกียรติกับรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกของปี 1937 อย่าง Mercedes W125 ซึ่งถ่ายทอดต้นแบบการพัฒนารถยนต์ที่นั่งเดียวมาสู่ปัจจุบัน EQ Silver Arrow คันนี้มาพร้อมกับขุมพลัง 750 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่ไฟฟ้าขนาด 80 กิโลวัตต์ ซึ่งถูกพัฒนาให้เสียงเบาสวนทางกับความแรงของเครื่องยนต์ แต่เสริมฟังก์ชันสำหรับผู้ชายที่ชื่นชอบความดุดัน ด้วยระบบการขับแบบ Sport และ Sport+ สามารถปล่อยเสียงเครื่องยนต์ให้ดุดันสนั่นหูแบบ Mercedes-AMG V8 หรือ Formular 1 ได้โดยสามารถทำระยะการวิ่งได้ประมาณ 250 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเตอรี่เต็มหนึ่งครั้ง ดีไซน์ภายนอก EQ Silver Arrow มาพร้อมรูปทรงคล่องตัวด้วยความยาวตั้งแต่หัวจรดท้ายเพียง 5.3 เมตร ในเฉดสี Alubeam Silver รูปทรงโค้งมนที่จะสร้าง Aerodynamic ซึ่งจะช่วยเสริมสมรรถนะทั้งในด้านการทำความเร็วและระบบเบรก
เป็นเวลาเกือบ 20 ปีมาแล้ว หลังจาก Air-Cooled 911 คันสุดท้ายจากสายพานการผลิตของ Porsche ในรหัส 993 วันนี้ Porsche บังเอิญมีโครงสร้างเหลืออยู่ในโรงงานอีก 1 คัน จึงเป็นโอกาสดีที่จะหยิบมันมาสร้างใหม่ในรุ่น 2018 Porsche 993 Turbo S หนึ่งใน ‘Classic Series’ ที่เป็นการส่งข้อความถึง Singer และ Gunther Werks ว่าการสร้าง Porsche Classic ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้มันดูทันสมัยเหลือล้ำหน้าเกินไป แต่เป็นการสร้างรถที่เก็บรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้เหมือนเดิม ที่จริงแล้ว Porsche มีการนำรถเก่ามาฟื้นสภาพใหม่หลายครั้งแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการทำไว้ใช้งานภายในหรือใช้โชว์ตาม Exhibition มากกว่า ต่างจาก 2018 Porsche 993 Turbo S Project Gold Classic Series คันนี้ที่ทำออกมาให้ลูกค้าได้เป็นเจ้าของ ใช้เวลาถึง 1 ปีครึ่งตั้งแต่การนำโครงรถที่ยังไม่เคยผ่านการใช้งาน จึงยังไม่เคยผ่านการจดทะเบียนใด ๆ ในทางปฏิบัติแล้วมันจึงเป็นรถใหม่เอี่ยมปี 2018 แต่ไม่สามารถจดทะเบียนสำหรับใช้งานได้ มันจึงเป็นรถสำหรับประมูลไปสะสมหรือใช้ในสนามแข่งโดยเฉพาะ ซึ่งเหตุผลที่ Porsche
เห็นป้ายโลโก้ Bugatti เปิดตัวรถรุ่นใหม่ทีไร สิ่งแรกที่หลายคนอยากรู้คือราคาเท่าไหร่ และวิ่งได้เร็วแค่ไหน ซึ่ง Bugatti Divo คันนี้มีราคา $6 ล้านเหรียญ แพงเป็น 2 เท่าของ Chiron ที่ $3 ล้านเหรียญ แต่มันไม่ได้วิ่งได้เร็วกว่าโมเดลเก่าเลย แต่ถึงกระนั้น Divo ก็สามารถทำความเร็วได้ถึง 380 km/h ซึ่งเจ้าของรถส่วนใหญ่น่าจะกดไม่ถึง Top Speed อยู่แล้ว สิ่งที่พิเศษกว่าใน Divo คือความเป็นรถที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน และสามารถพิชิตได้ทุกโค้งในทุกย่านความเร็ว เพราะมันถูก set up ให้มีบาลานซ์ในการขับขี่ที่สุดยอดกว่าที่ผ่านมา แน่นอนว่า Bugatti Divo แชร์โครงสร้างพื้นฐานมาจากรุ่นพี่ Chiron รวมถึงเครื่องยนต์ 8.0-liter W16 1,500 แรงม้า เช่นเดียวกัน แต่ Divo ได้ผ่านกระบวนการลดน้ำหนักลงด้วยการใช้ตัวถัง Carbon Fiber ไปกว่า 50 กิโลกรัม และมีการออกแบบ
หลังจากเฝ้ารอมานาน ในที่สุดผ้าคลุมของ 2019 BMW Z4 ใหม่ก็ถูกกระชากออกไปเป็นที่เรียบร้อยในงาน Pebble Beach Concours d’Elegance สถานที่เดียวกันที่ใช้เปิดตัว Concept Car ไปในปีก่อน วันนี้ BMW ได้เผยให้เห็นโฉมหน้าความหล่อเหลาที่มาในอารมณ์สปอร์ตดุดันอย่างเต็มตัวมากขึ้น และรายละเอียดแทบจะเหมือนใน Concept Car เกือบทุกจุดเลยทีเดียว ภายนอกของ 2019 BMW Z4 มีคาแรคเตอร์ที่ก้าวร้าวกว่าเดิมอย่างชัดเจน ดูโฉบเฉี่ยว ทันสมัยมากขึ้นด้วยโคมไฟหน้าและไตคู่ดีไซน์ใหม่แบบตาข่ายขนาดใหญ่ แทนที่จะเป็นซี่เหมือนใน BMW โมเดลอื่น ช่องดักลมหลังซุ้มล้อหน้าขนาดใหญ่เพื่อการทรงตัวที่ดีขึ้น รับกับเส้นสายด้านข้างลากยาวไปถึง Integrated Spoiler ด้านหลัง พร้อมสีใหม่ Frozen Orange Metallic ตัดกับเส้นขอบสีดำ BMW Individual High Gloss Shadow Line และหลังคา Soft Top สีดำ ขอบกระจกข้าง และล้อลาย Double-Spoke สีดำขอบ 19 นิ้ว ข่าวดีสำหรับคนที่อยากได้ Cockpit
ผู้ชายทุกคนมีเรื่องให้หลงใหลในชีวิตมากมายต่างกัน บ้างมี 2 บ้างมี 10 อยู่ที่ว่าอะไรทำให้เรามีความสุขได้ ถ้าทั้งสองสิ่งได้มาหลอมรวมเข้าด้วยกัน เพื่อสนองความอยากของตัวเอง เหมือนกับ James Turner ได้สร้าง Porsche 911 Paul Smith Artist Stripe ขึ้นมา โปรเจคส่วนตัวที่นำเอา The best of both world มารวมเข้าด้วยกันได้อย่างยอดเยี่ยมชิ้นนี้คือ Porsche 911 x Paul Smith Artist Stripe ที่งามงดหยดย้อย พึ่งผ่านการอวดโฉมในงานรวมยอดรถคลาสสิกอย่าง Le Mans Classic 2018 ไปหมาด ๆ และล่าสุดกับงาน GoodWood Festival Of Speed ในโอกาสฉลองวาระครบรอบ 70 ปีของ Porsche ในปีนี้ ซึ่งก็สวยเตะตาสุด ๆ ทั้งยามหยุดนิ่งและเมื่อโลดแล่นบนถนน จุดเริ่มต้นของโปรเจคนี้เกิดจากความชื่นชอบส่วนตัวของ James
เพราะความเท่ของยานพาหนะไม่จำกัดอยู่แค่ซูเปอร์คาร์คันหรูเท่านั้น รถที่บึกบึนแข็งแกร่งพร้อมลุยทุกสภาพการเดินทางจากแบรนด์ Hummer ก็เท่ไม่แพ้กัน วันนี้ UNLOCKMEN ขอพูดถึงรถรุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายนี้ Mil-Spec Hummer H1 Launch Edition No. 003 เจ้า Hummer คันนี้สมบุกสมบันไม่ต่างจากรถที่ใช้กันในกองทัพ มันถูกออกแบบมาให้สามารถทนต่อความโหดร้ายสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสนามรบ ทะเลทรายร้อนระอุ หรือแม้กระทั่งทุ่งหิมะแห่งอาร์กติกก็ไม่ใช่ปัญหา มาเหอะพร้อมลุย! Mil-Spec Hummer H1 Launch Edition No. 003 คือรถกระบะ 4 ประตูที่พัฒนาจากรุ่นก่อน ๆ หลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางขึ้นถึง 8 นิ้วทั้งด้านหน้าด้านหลัง เครื่องยนต์ขนาด ทอร์โบชาร์จเจอร์ขนาด 6.6 ลิตร พร้อมความแรง 500 แรงม้า และแรงบิด 1000 lb-ft Mil-Spec Hummer H1 Launch Edition No. 003 ไม่ได้มีดีแค่ความแข็งแกร่งสมบุกสมบันลุยได้ทุกที่เท่านั้น เพราะภายในก็สะดวกสบายไม่แพ้รถยนต์หรูหราทั่วไปเลย เบาะหนังกันน้ำเย็บมือชั้นดีมาพร้อมกับระบบเครื่องเสียงดำกระหึ่ม ดังนั้นไม่ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกจะโหดร้ายแค่ไหน
เชื่อว่าหนึ่งฝันของสาวกภาพยนตร์สายลับตระกูล James Bond ก็คือการได้ครอบครองรถสปอร์ตคันงามที่พยัคฆ์ร้าย 007 ใช้ขับขี่หล่อ ๆ แถมด้วยอุปกรณ์สุดไฮเทคไว้ใช้ไล่ล่าเหล่าร้าย และก็ดูเหมือนว่าความฝันนี้กำลังจะกลายเป็นจริง Aston Martin ค่ายผลิตรถสปอร์ตสุดหรูจากอังกฤษ ประกาศออกมาแล้วว่า บริษัทของพวกเขาเตรียมจะผลิตรถ Aston Martin DB5 รุ่นที่สายลับเมืองผู้ดีคนนี้ใช้งานในตอน Goldfinger (1964) ออกมาทั้งหมดแบบลิมิเต็ด 25 คันเท่านั้น ซึ่งหนัง James Bond ภาคดังกล่าวเป็นหนึ่งในตอนที่ได้รับคำชมและมีคนชื่นชอบมากที่สุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเป็นตอนแรกที่เอเยนต์ Bond ของเราได้โชว์ของสุดไฮเทคทั้งหลายรวมถึงเจ้ารถคันงามนามว่า DB5 คันนี้ด้วย โดยหลังจากนั้นรถสปอร์ตคลาสสิคสุดไฮเทคคันนี้ก็ถูกนำมาให้สายลับเสน่ห์แรงได้คุมพวงมาลัยอีก 6 ตอน แน่นอนว่ามันไม่ได้มาแค่รูปลักษณ์ แต่ว่ามันมาพร้อมกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ปรากฏในหนัง จากการร่วมมือกันผลิตของ Aston Martin และ EON Production ราวกับว่า Q มาเอง Andy Palmer CEO ของ Aston Martin เล่าว่า “สายสัมพันธ์ของ Aston Martin กับ James Bond เป็นอะไรที่เราภาคภูมิใจมาก
เมื่อการขับเคลื่อนไปบนถนนไม่จำกัดจำนวนล้ออยู่แค่เลขคู่เท่านั้น จึงเป็นที่มาของ Vanderhall Venice Speedster รถ 3 ล้อสายสปีดที่มาพร้อมกับความแรงกว่า 180 แรงม้า เรียกว่ารถซูเปอร์คาร์ 4 ล้อบางคันยังต้องชิดซ้ายเลยทีเดียว Vanderhall Venice Speedster คือรถรุ่นใหม่แห่งค่าย Vanderhall ซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงการ 3 ล้อความเร็วสูงมาอย่างยาวนาน และคราวนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งพร้อมความเร็วที่มากกว่าเดิม Vanderhall Venice Speedster รถ 3 ล้อ 1 ที่นั่ง มาในรูปทรงสุดคลาสสิคที่เห็นแล้วชวนให้นึกถึง 3 ล้อยุคเก่าในบรรยากาศภาพขาวดำ ซึ่งแตกต่างกับสมรรถนะภายในโดยสิ้นเชิง และหนึ่งสิ่งที่พิเศษสุด ๆ สำหรับเจ้า 3 ล้อคันนี้คือในส่วนของที่นั่งคนขับนั้นประกอบมาจากชิ้นส่วนเครื่องบิน นอกจากนั้นยังเพิ่มความ Vintage เข้าไปอีกด้วยโทนสีเงินโลหะตัดกับสีน้ำตาลของเบาะนั่ง ภายนอกยังสวยเฉียบขาดขนาดนี้ มาถึงภายในกันบ้างว่า Vanderhall Venice Speedster มีอะไรซ่อนอยู่ในรูปทรงสุดเท่ Vanderhall Venice Speedster ใช้เครื่องยนต์ 1.4 4 Cyl Turbo 180
รถยนต์และผู้ชายแยกออกจากกันไม่ได้เพราะมันคือสัญชาตญาณที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด สังเกตได้จากทุก ๆ ครั้งที่ Supercar คันงามเคลื่อนตัวผ่านไปด้วยความเร็ว เสียงของเครื่องยนต์มันจะกระตุ้นให้หัวใจเต้นรัว เลือดลมสูบฉีด จนเราต้องหันไปมองตามแบบอัตโนมัติเสมอ แต่ถ้าพูดถึง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ Electric Car ผู้ชายอย่างเรากลับพากันเบือนหน้าหนี Say No กันเป็นแถบ เพราะภาพลักษณ์ของคอนเซ็ปต์รักโลก ทำให้จินตนาการแทบไม่ออกว่าจะทำความเร็วได้สะใจแค่ไหน เสียงมอเตอร์ไฟฟ้าจะมันส์เท่าเสียงเครื่องยนต์เผาไหม้ได้ยังไง แต่วันนี้กรอบความคิดเก่า ๆ นั้นจะถูกทลายลงด้วยพระเอกจากสองโลก Vanda Dendrobium หลังจาก Vanda Electrics บริษัทด้านนวัตกรรมการขนส่งและไฟฟ้าสัญชาติสิงคโปร์เปิดตัวโมเดลรถต้นแบบของ Vanda Dendrobium ในงาน Geneva International Motor Show 2017 พร้อมกับเสียงตอบรับในด้านบวกมากมาย แต่ของในฝันมักต้องรอคอยเสมอ เมื่อ Vanda Electrics ได้ทิ้งคอนเซ็ปต์คร่าว ๆ เรียกน้ำย่อยไว้ แต่กลับเงียบหายไปเกือบ 1 ปีเต็ม ๆ จนในที่สุด Larissa Tan ซีอีโอของ Vanda Electrics ได้ออกมายืนยันแล้วว่ากำลังจะเริ่มพัฒนาและสร้าง
เป็นเรื่องที่กำลังฮือฮาใน Reddit เว็บไซต์พูดคุยครอบจักรวาล เมื่อมี User ที่ใช้ชื่อว่า Eriegin โพสต์ภาพรถ Supercar 2 คันจอดในโรงรถสภาพฝุ่นเกาะแน่นพร้อมข้อความว่า “ ถึงจะเต็มไปด้วยสนิมและฝุ่น แต่ Lamborghini Countach ของคุณยายแม่งก็ยังเจ๋งอยู่ดี!” จนทำให้คนคลั่งรถจำนวนมากร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเมามัน เรื่องเกิดขึ้นเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาอยากทำหน้าที่หลานชายผู้น่ารัก เลยอาสาทำความสะอาดโรงรถให้คุณย่าของเขา แต่เมื่อเลื่อนประตูโรงรถขึ้นกลับต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อมีรถ Supercar 2 คัน จอดนิ่งสงบเหมือนไม่มีใครเคยแตะต้องเป็นเวลานาน! ความจริงปรากฏเมื่อคุณย่าเล่าให้เขาฟังว่า มันเคยเป็นของปู่ ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ในเวลาต่อมาราคาประกันรถยนต์ Supercar ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าแพงมาก ๆ เริ่มพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับรายได้ของบริษัท จึงจำเป็นต้องจอดปีศาจทั้งสองตัวทิ้งไว้จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลารวมกันเกือบ 20 ปี รถคันแรกคือ Ferrari 308 GTS สีแดงสด มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขนาด 2.9 ลิตร กำลังขับ 237 แรงม้า ซึ่งคาดว่าหากออกขายทอดตลาดราคาจะอยู่ที่ ประมาณ 25,000 – 80,000