CARS

CONVERSATION WITH หมอโดม DOGTOR GARAGE จากหมอรักษาสัตว์ สู่หมอรักษารถที่ CUSTOM มาแล้วเป็นร้อยคัน

By: SPLESS September 23, 2018
งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข

อาจฟังดูง่ายๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วมันเป็นคำที่ค่อนข้างไกลตัวสำหรับผู้ชายหลายคน เพราะมีความเป็นไปได้น้อยมากหากชีวิตเราจะมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักไปด้วย หาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัวไปด้วยพร้อมกัน แต่สำหรับผู้ชายชื่อ สุทธิพงษ์ ธีติปริวัติร์ หรือที่หลายคนเรียกกันว่า หมอโดม แห่ง Dogtor Garage คงเป็นข้อยกเว้น

เพราะนับตั้งแต่เขาหันเหออกจากอาชีพสายสัตวแพทย์มาสู่การเป็นนักซ่อม ดัดแปลง และคืนชีพรถคลาสสิก นับแต่นั้นเขากลายเป็นคนที่ได้ทำอาชีพซึ่งมีพื้นฐานมาจากความหลงใหลส่วนตัวพร้อมกับเลี้ยงปากท้องไปพร้อมกัน ถือเป็นความสุขที่เป็นมากกว่าช่างซ่อมรถยนต์ทั่วไป แต่อะไรที่ทำให้เขาตัดสินใจละทิ้งรูปแบบการใช้ชีวิตที่สังคมยอมรับว่าเป็นเส้นทางความมั่นคง สู่จุดหมายใหม่ที่ระหว่างทางมีความเสี่ยงมากกว่า

วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเขาให้ดีขึ้นกว่าเดิม

เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ ความรักรถยนต์เกิดขึ้นตั้งแต่ยังเด็ก

“จริงๆ ตั้งแต่จำความได้ เราก็รู้สึกชอบรถคลาสสิกมาตั้งนานแล้วครับ ส่วนหนึ่งเพราะเราใช้ชีวิตอยู่กับมันโดยที่เราไม่รู้ตัว เริ่มเล่นมาตั้งแต่รถจักรยานตั้งแต่สมัยเด็กแล้วมันก็ค่อยๆ ผ่านทุกมุมของคนเล่นรถเก่ามาเรื่อย ๆ

เริ่มจากความชื่นชอบโดยที่ยังไม่ต้องลงทุนอะไร ขยับมาเป็น User  และเปลี่ยนจาก User มาเป็นพ่อค้า

กระทั่งวิวัฒนาการมาถึงการทำรถด้วยตัวเอง มาสู่การผลิตรายการ TV ที่เกี่ยวข้องกับรถคลาสสิกเหมือนอย่างในปัจจุบัน”

เสน่ห์ของรถคลาสสิก ที่ส่งหมอโดมเข้ามาบนเส้นทางนี้

“สำหรับผมเสน่ห์ของมันคือความแตกต่าง รถคลาสสิกคือตัวแทนการบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของยุคสมัยนั้น ๆ ซึ่งมีทั้งเรื่องราวประวัติศาสตร์ของตัวรถ กระทั่งเรื่องราววัฒนธรรมสะท้อนสิ่งต่าง ๆ ในยุคนั้นอยู่ด้วย เราเชื่อว่าในรถทุกคันไม่ว่าจะมีคนเล่นหรือเปล่า เป็นที่นิยมหรือไม่ ก็ต่างมีเรื่องราวที่มีคุณค่าในตัวมันเอง

เช่น รถบางคันอาจตีมูลค่าได้แค่หลักหมื่น แต่ถ้ามันมีเรื่องราวหรือความทรงจำ เป็นรถที่พ่อใช้ขับรับส่งไปโรงเรียนทุกวันตั้งแต่เด็ก ๆ แบบนั้นมันกลายเป็นรถที่ตีมูลค่าแทบไม่ได้เลย เราต้องแยกมูลค่าให้ออกระหว่างมูลค่าทางการตลาดที่คนกำหนดกับมูลค่าทางจิตใจ”

จากหมอรักษาสัตว์ สู่หมอรักษารถ 

“คือที่คนเรียกว่าหมอโดม ๆ มาจากเรื่องการศึกษาสมัยก่อนที่เราเรียนและจบมาในสายทางสัตวแพทย์ เลยคิดว่าทุกคนเรียกกันติดปากมากกว่า ก็เลยได้คำนำหน้าว่า หมอ ซึ่งเราเองก็คุ้นชินกับคำนี้ พอวันนึงไม่ได้ทำเกี่ยวกับการรักษาสัตว์แล้ว มาทำเกี่ยวกับรถ ชื่อนั้นมันก็ยังติดตัวมาอยู่เรื่อย ๆ คนเองก็เริ่มคุ้นชื่อกับ หมอโดมรถนิยม แต่คำขึ้นต้นว่าหมอคำนั้นมันอาจจะเปลี่ยนไปเป็นหมอรักษารถ หรือหมอที่เล่นรถเก่า บูรณะหรือชุบชีวิตรถเก่าขึ้นมามากกว่า”

จุดเริ่มต้นที่ตัดสินใจพุ่งชนความท้าทายบนเส้นทางใหม่อย่างเต็มตัว 

“ที่จริงเรารู้ตัวเองว่าชอบในรถเก่าอยู่แล้วตั้งแต่เด็กจนโต แต่ด้วยสังคมและวัฒนธรรมของบ้านเราในเวลานั้นที่หลายอย่างจะต้องอยู่ในกรอบ ซึ่งเป็น Pattern ของเด็กสมัยก่อน คือต้องเรียนหนังสือดีหน่อย ด้วยความที่เราเป็นคนต่างจังหวัด แต่เราเข้ากรุงเทพมาเรียนที่สวนกุหลาบวิทยาลัย ตอนนั้นไม่มีอะไรแนะแนวเราเลยในช่วงเข้ามหาวิทยาลัย กลายเป็นว่าเราต้องยึดตามรูปแบบพื้นฐานที่มันเป็นในตอนนั้น ประกอบกับทางบ้านก็อยากให้เราเรียนที่จุฬาคณะอะไรก็ได้ เราก็เลือกมาอยู่คณะสัตวแพทย์แล้วก็เรียนจนจบ

หลังจากจบมาเราก็ทำงานในสายนั้นสักพักหนึ่ง ในระหว่างนั้นเราก็อยู่กับรถตลอดเวลา ยังชอบไปดูชอบศึกษาอยู่ตลอด แต่ยังไม่ได้ถึงขั้นจริงจังมาก พอวันนึงเหตุการณ์ในชีวิตมันพลิก เป็นวันที่เรามาคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเอง ว่า เฮ้ย เราจะใช้ชีวิตในแบบที่เป็นอยู่ไปตลอดจริงหรอ? ความสนุกในชีวิตแค่ 20,000 กว่าวันมันอยู่ตรงไหน วันนั้นเราเลยตัดสินใจเปลี่ยนเลย

จากที่เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตวแพทย์ในสายเวชภัณฑ์ยาและอาหารปศุสัตว์ ในขณะเดียวกันเราก็มีคลีนิกรักษาสัตว์ด้วย พร้อมธุรกิจนำเข้ายาสัตว์วันหนึ่งมันเจ๊งบวกกับความที่เศรษฐกิจในยุคนั้นค่อนข้างรุนแรง พอเรากลับมาย้อนดูตัวเรา ก็เกิดคำถามว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ โอเคที่ผ่านมาอาจจะได้เงินเยอะ แต่ข้อเสียมันก็เยอะเพราะความสุขในชีวิตเรามันหาไม่เจอว่าอยู่ตรงไหน กับคำถามที่ว่าเราได้ทำอะไรที่อยากทำหรือยัง จะลองไปเปลี่ยนสิ่งที่รักให้กลับมาเป็นเงินเลี้ยงดูเราแทนได้ไหม เป็นโจทย์ให้เราก้าวออกมาทำตรงนี้เต็มตัวในตอนแรก”

ต้องแลกกับอะไรไปบ้าง ในเมื่ออาชีพที่ทำก่อนหน้ามีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า อย่างน้อยก็ในสายตาคนทั่วไป

“ผมใช้คำว่าขายทั้งวิญญาณเลยละกันครับ เพื่อแลกกับความเชื่อของเราที่มีต่อมันนะ สิ่งที่จะทำเราคิดว่าเราเห็นโฟกัสของมันในแบบที่คนอื่นไม่เห็น ถึงตอนนั้นพ่อแม่ครอบครัวหรือเพื่อนฝูงไม่ได้เห็นมันกับเราก็ตาม มีตัวเราที่เห็นว่ามันเป็นไปได้ถ้าลงมือทำ วินาทีนั้นเราตัดสินใจวิ่งไปหามันเลย”

อะไรที่ทำให้การผ่านช่วงเวลายากลำบากเหล่านั้นมาจนวันนี้

“มันอาจจะมีคำพูดเท่ ๆ คำนึงที่พูดว่า Only Time Will Tell หรือ เวลาจะบอกกับเราเอง ว่าไอ้สิ่งที่เราทำอยู่ในวันนี้  ไม่ว่าเราจะโดนคำพูดหรือการกระทำโจมตียังไงก็แล้วแต่ มันจะไม่มีวันหยุดความฝันที่เราทำอยู่ ณ ตอนนั้นได้หรอก เพราะถ้าเราลงมือทำไปแล้ว ผมว่าเราสำเร็จไประดับหนึ่งแล้ว สำเร็จในแง่ของความสุข เราได้มันมาแล้ว เพราะฉะนั้นเหลือแค่การไปต่อเพื่อพิสูจน์บางอย่างที่เรากำลังเชื่ออยู่”

การตัดสินใจที่เด็ดขาดบวกกับความกล้าที่เลือกเดินบนเส้นทางอันท้าทาย เป้าหมายที่เรามองเห็นแต่คนอื่นมองไม่เห็น แม้จะต้องเผชิญหน้ากับความไม่เชื่อใจของคนรอบตัว ก็ไม่สามารถหยุดความกล้าลุยไล่ตามความสุขจากความฝันของชายคนนี้ได้ ต่อมาชื่อของเค้ากลายเป็นหนึ่งในผู้คร่ำหวอดในวงการรถคลาสสิก ไม่ว่าจะเป็นการซ่อม การสร้างหรือดัดแปลง กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เมื่อใครมีปัญหาก็ต้องวิ่งมาปรึกษาให้หมอโดมเป็นคนดูแลรถให้จนงานล้นมือ และมีผลงานออกมาให้เราได้เห็นมากมาย

ผลงานหลายชิ้นที่ทำมา มีความสร้างสรรค์แตกต่างจากคนอื่น ใช้หลักอะไรในการครีเอทผลงานเหล่านี้ขึ้นมาบ้าง

“คือต้องเกริ่นก่อนว่าเราอยู่กับรถเก่าผ่านหลาย ๆ มุม เช่นผมตั้งแต่คนเล่น พ่อค้า คนทำรถ จนทำคอนเทนต์เกี่ยวกับมัน ก็จะเห็นตัวเองตลอดเวลาที่มองย้อนกลับไป เช่น ตอนยังวัยรุ่นของเราไม่มีอินเทอร์เน็ตในการใช้หาข้อมูลเกี่ยวกับรถได้ง่ายเหมือนตอนนี้ ความรู้มาจากการพูดคุยบอกเล่าหรือจากหนังสือที่เราซื้อมาอ่าน มันจึงเป็นรูปแบบ Conservative หรืออนุรักษ์นิยม คือทำยังไงก็ได้ให้เก็บของเดิมไว้ใช้งานให้ได้นานที่สุด

แต่วันนึงเมื่อเราได้ผ่านชีวิตมุมมองไปเรื่อย ๆ ก็คิดได้ว่ามันมีรูปแบบอื่นอยู่ด้วย มันมีการแหวกแนว มีการ Custom หรือมุมมองใหม่ที่ไม่ตายตัว ซึ่งเราเห็นว่าสิ่งที่มันเข้ากับโจทย์ที่อยากทำมากที่สุด คือการทำรถคันนั้นให้เข้ากับคาแรคเตอร์ของคน ๆ นั้นคนเดียว มันจะคลาสสิกสุดสำหรับเราและท้าทายด้วยว่าเราจะทำมันออกมาได้ยังไง”

ชอบผลงานคันไหนชิ้นไหนเป็นพิเศษ

“จริง ๆ เราชอบทุกชิ้นครับ บางชิ้นกลับมาดูวันนี้เราอาจไม่ค่อยพอใจกับมันเท่าไหร่ อาจจะเกิดจากช่วงเวลาที่เราทำตอนนั้นมันมีข้อจำกัดอะไรหลาย ๆ อย่าง เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ แต่เราก็เห็นมันเป็นการเริ่มต้นเพราะถ้าเราไม่ลงมือทำลงไปในตอนนั้น เราก็จะไม่รู้ขั้นตอนว่าเป็นแบบไหน และเทคโนโลยีที่ใช้ทำรถคลาสสิกมันก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เราเลยภูมิใจและดีใจในผลงานทุกชิ้น ไม่ว่ามันจะออกมาแล้วถูกใครตัดสินว่าดีหรือไม่ดี แต่เรามีความสุขกับการทำมันขึ้นมาทุกผลงาน”

กิจวัตรประจำวันของหมอโดมทำในแต่ละวัน

“เราจะแบ่งธุรกิจออกเป็น 2 ส่วน มีโซน The Retro Classic Cafe ที่ให้ลูกน้องดูแล เพราะตัวเราเองสนุกกับมุมมองนั้นมาตั้งแต่วัยรุ่นแล้ว แต่ทุกวันนี้ความสุขของชีวิตในแต่ละวันของเราอยู่ที่ Dogtor Garage มากกว่า เป็นส่วนใหญ่ซึ่งเวลาในชีวิต 80 หรือ90 เปอร์เซ็นต์จะมาอยู่ที่การทำงานสร้างศิลปะในแบบของเรา รวมถึงถ่ายทำเก็บฟุตเทจเพื่อทำรายการอีกด้วย เพราะเรามีความฝันอีกอย่างที่เราอยากไปต่อ”

“ฝันที่พูดถึงคือ เราได้แรงบันดาลใจมาจากรายการทำรถคลาสสิกในช่อง Discovery ทั้งในโซนอเมริกาและยุโรป จนไปถูกใจรายการคืนชีพรถแต่ละคันถึงที่ที่เจอเลย ชื่อว่ารายการ “Chop Shop” จะมีวิศวกรชาวอังกฤษทำงานกับนักออกแบบชาวบังคลาเทศ เข้าไปทำรถในประเทศบังคลาเทศ ซึ่งไม่มีเทคโนโลยีในการช่วยเหลืออะไรเลย เขาใช้ลา (donkey) ลากเกวียนบรรจุเครื่องยนต์ในการขนส่ง งานเกี่ยวกับ Body ไม่ว่าจะเชื่อม ตัด หรือต่อ มาจากฝีมือคนทั้งหมดเลย ซึ่งเรามองว่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราอยากมีโอกาสสัมผัสงานแบบนั้นสักครั้งในชีวิต

หรืออีกรายการคือการเข้าไปดูวิธีทำรถในคิวบา ซึ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่มีเฉพาะหน้า ตรงนั้นมันสื่อสารให้คนได้เห็นว่า วิธีการทำรถแบบไทยเราก็สามารถทำออกมาให้มีคุณภาพสูงได้ ความฝันของเราคือเก็บฟุตเทจที่เราเคยทำมันมาทั้งหมดไปจนถึงอายุประมาณ 60 ทำมันออกมาเป็นรายการ มีคำบรรยายภาษาอังกฤษ แล้วเล่าเรื่องสิ่งที่เราได้ทำมาทั้งหมดเกี่ยวกับรถคลาสสิก สื่อสารให้คนทั้งโลกได้เห็นในมุมมองการทำของคนไทย หรือกระทั่งคนใกล้ตัว เราก็อยากให้เขาเห็นว่ามันเป็นไปได้ถ้าเราตั้งใจทำมัน”

ในฐานะผู้ชายที่เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลาย ๆ คนได้ ฝากอะไรถึงคนที่กำลังลังเล ไม่กล้าตัดสินใจเลือกชีวิตให้เดินบนเส้นทางที่ตัวเองหลงใหล

อย่างแรกเลยคือเราควรอยู่บนพื้นฐานความจริง ต่อมาคือไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม แยกให้ออกว่าสิ่งที่ทำอยู่เรากำลังทำมันเพื่ออะไร เพื่อเงิน ทำเพราะความชอบ หรือทำเพราะความรัก เราต้องตอบตัวเองให้ได้ สิ่งที่เราอยากบอกคือสิ่งที่ชอบอาจจะมีเป็นร้อยเป็นพันอย่างก็ได้ วันนี้ชอบ พรุ่งนี้อาจไม่ชอบก็ได้ สามารถเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่รักในชีวิตมีได้อย่างเดียว

ถ้าคุณได้ทำในสิ่งที่รัก หรือขอแค่ให้ได้เจอกับมัน คุณจะไม่มีข้อแม้กับสิ่งนั้นอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนรอบข้างหรือจากตัวเอง ถ้าขึ้นชื่อว่าสิ่งที่รัก เราจะไม่มีข้อแม้มาขัดแย้ง

เหมือนที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้ เราไม่มีเคยมีข้อแม้กับมันเลย เพราะเราค้นเจอแล้วว่าอะไรเป็นสิ่งที่เรารักมันเราก็อยู่ด้วยกันไปตลอด”

เรื่องราวชีวิตที่มีประสบการณ์โชกโชนแฝงอยู่เต็มเปี่ยมของผู้ชายคนนี้ จากหมอที่วันนึงเคยอยู่ในคลีนิกรักษาสัตว์ แต่ถูกกระตุ้นให้ลงมือทำในสิ่งที่รัก ก่อนจะ ตัดสินใจวางอุปกรณ์แพทย์ที่สะอาดหมดจด เปลี่ยนมาจับ ค้อน ประแจ และเครื่องพ่นสีเข้ามาอยู่ในอู่ที่ไม่มียาฆ่าเชื้อ เพื่อใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักมาตลอด แต่ไม่ใช่การหลับหูหลับตาไล่ตามความฝัน มันต้องมีแผนในอนาคตที่ไม่เคยเบนเข็มออกไปจากรถคลาสสิกที่เขารักเหมือนชีวิต ถือเป็นตัวอย่างของผู้ชายที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง รวมถึงความแข็งแกร่งของจิตใจที่พร้อมสู้จนประสบความสำเร็จ แม้จะไม่มีใครมองเห็นสิ่งที่เราวาดฝันไว้ในตอนแรกเริ่มก็ตาม

แล้วความฝันของพวกเราวันนี้คืออะไร?

 

SPLESS
WRITER: SPLESS
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line