ผิวอ่อนนุ่มของมนุษย์เอาเข็มแหลมจุ่มสีจิ้มย้ำลงไปให้เลือดซิบ หมึกซึมเข้าไปในผิวหนัง จะได้รอยสักบ่งบอกตัวตน ผู้ชายกับรอยสักเป็นของคู่กัน แต่ที่อยู่กับรอยสักได้ดีไม่แพ้ผิวหนังมนุษย์ ก็ผิวของ “หินอ่อน” จากงาน Iconic ที่ถูกเพิ่ม “รอยสัก” เข้าไปจนกลายเป็นงานศิลป์ร่วมสมัย และมีศิลปินท่านนึงที่อาจหาญทำมันได้สำเร็จจนได้ Fabio Viale เกิดใน Cuneo ทางตอนเหนือของ Italy ประเทศที่ขึ้นชื่อด้านหินอ่อนคุณภาพดี เริ่มเข้ามาคลุกคลีกับวงการหินอ่อนเมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะตอนอายุ 16 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกหลงใหลในวัสดุชิ้นนี้ ต่อมาเขาผลิตงานประติมากรรมสลักหินอ่อนมากมาย และมีผลงานบางส่วนที่โด่งดังเข้าตาวงการร้านขายของแอนทีค ถือเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเต็มตัวของ Fabio เส้นทางก่อนเป็นศิลปินอิสระ คือการสร้างรูปปั้นเพื่อตกแต่งสุสานในเมืองมิลาน แต่หลังทำไปสักพัก Fabio ก็เลือกเส้นทางศิลปินเดี่ยวออกมาทำงานคนเดียว ย้ายจากอิตาลีไปอยู่ทั้งนิวยอร์กและรัสเซีย มุ่งมั่นสร้างผลงานจนในที่สุดเขาก็มีผลงานสร้างชื่อเข้าจนได้ โดยมีรางวัล Cairo Prize ให้ชื่นใจเป็นชิ้นแรก กระทั่งปี 2015 เขาตัดสินใจทำงานร่วมกับ Poggiali Gallery ใน Florence เพื่อจัดนิทรรศการส่วนตัว และผลงานนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เพราะได้รับเกียรติให้นำเข้าไปติดตั้งไว้ในโบสถ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างมหาวิหารซานโลเรนโซ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ไวรัลเท่างานล่าสุดที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ เป็นการสร้างรูปปั้นไอคอนิกตามแบบที่สำคัญในประวัติศาสตร์ แล้วนำมาใส่รอยสักลงไปจากการตีความของ Fabio แต่มันไม่ได้ธรรมดาแค่นั้น เพราะจุดสำคัญคือรอยสักบนหินทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้วิธีทาสีทับธรรมดา แต่ใช้เทคนิคทำให้เหมือนสีซึมอยู่ด้านในจนดูคล้ายกับรอยสักมนุษย์จริง
ใครเคยเดินเหยียบเศษหมากฝรั่งที่คนถุยทิ้งไว้บ้าง? มันเป็นสิ่งที่กวนใจ สกปรกเลอะเทอะ เอาออกยาก แต่ด้วยความเหนียวหนืดของมัน จึงมีสองนักเรียนดีไซน์เนอร์ Hugo Maupetit และ Vivian Fischer คิดไอเดียการเปลี่ยนซากหมากฝรั่งให้เป็นล้อสเก็ตบอร์ดได้สำเร็จ ไอเดียนี้แจ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกคือการสะสมเศษซากหมากฝรั่งด้วยการออกแบบและติดตั้งบอร์ด “Gum Collection Board” ผลิตจาก polymethyl methacrylate (PMMA) plastic ให้คนแปะหมากฝรั่งเคี้ยวแล้วให้เป็นที่เป็นทาง จากนั้นจะมาเก็บไปทั้งกระดานสัปดาห์ละครั้ง 1 บอร์ดจะได้หมากฝรั่งประมาณ 60 ชิ้น ในขณะที่ล้อแต่ละอันจะใช้เศษหมากฝรั่งประมาณ 10 – 30 ชิ้น แล้วแต่ขนาดและความแข็งแรง ทั้งบอร์ดและหมากฝรั่งจะถูกส่งต่อไปที่โรงงานเผื่อผ่านกระบวนการใช้ความร้อนหลอมรวมกันก่อนจะแปลรูป ทำสี และพิมพ์ออกมาเป็นล้อสเก็ตบอร์ดในที่สุด ข้อดีของโปรเจคนี้คือ เมื่อล้อเหล่านี้พังเสียหาย ก็สามารถนำกลับไปกระบวนการแปรรูปได้อีกครั้ง แม้บอร์ด PMMA ที่เต็มไปด้วยเศษหมากฝรั่งจะดูไม่ค่อยสวยงาม แต่เรื่องการใช้งานถือว่าโอเคมาก เพราะลดการคายถุยทิ้งตามพื้นทางเดินได้ไปในตัว เพราะปัญหาการทิ้งเศษหมากฝรั่งใน UK นั้นค่อนข้างหนัก มีเพียง 10% ที่ทิ้งเป็นที่เป็นทาง อีก 90% ถูกทิ้งอย่างไม่เป็นระเบียบ และทุกปีต้องใช้งบประมาณถึง 2,700
บางคนอาจจะคิดว่าจักรยานก็แค่ยานพาหนะสองล้อ แต่สำหรับกลุ่มดีไซน์เนอร์ใน Extans ไม่ได้คิดแค่นั้น และนี่คือจักรยานที่น่าจะเรียกได้ว่าสวยงามที่สุดเท่าที่เคยมีมา Extans คือแบรนด์ที่เคยสร้างจักรยานระดับ masterpiece ผ่านตามาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Akhal Shadow และ Shine ซึ่งราคาของทั้งสองรุ่นนี้ก็สูงถึง $20,000 – $25,000 และผลงานชิ้นล่าสุดที่ต้องการสร้างสรรค์จักรยานที่เลอค่าและหรูหราไม่ต่างจากเพชรที่สวยงามที่สุด และ Akhal Sheen bicycle คือจักรยานที่ตอบทั้งด้านดีไซน์และวัสดุที่ใช้ประกอบมันขึ้นมาได้แตกต่างและเหนือกว่าสองช้ินแรก Extans Akham Sheen ชื่อที่ได้มาจาก “Akhal-Teke” สายพันธุ์ม้าที่เก่าแก่ที่สุด มีจุดเด่นทั้งด้านความสวยงาม ความคล่องตัว อดทน ซึ่งแสดงถึงความสามารถของจักรยานคันนี้ได้ชัดเจน การออกแบบยึดตัวเลขที่สำคัญ 3 ตัวคือ 19, 21 และ 24 มาจากการผลิตจำนวนจำกัดเพียง 19 คัน แต่ละคันน้ำหนักเพียง 21 ปอนด์ หรือราว 9 กิโลกรัม และ 24 คือ ทอง 24k
ทำยังไงให้การปูแผ่น Solar สามารถเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างมีศิลปะ และใช้ประโยชน์จากมันได้สูงสุดทั้งด้านพลังงานและการใช้สอย ถ้าเปลี่ยนจากแนวนอนเป็นภูเขา เราจะใช้แผ่น Solar ได้มากขึ้นบนพื้นที่เท่าเดิม มันจะดูสวยงาม และสามารถปรับใช้งานโครงสร้างได้ตามต้องการ เช่น ปีนผาจำลอง (Rock Climbing) คำตอบที่ได้คือ Solar Mountain ซึ่งไม่ได้มาจาก Engineer แต่เป็นงานดีไซน์เพื่อเทศกาลศิลปะ “Burning Man” ซึ่งมีแนวโน้มจะถูกสร้างจริงในฐานะแหล่งพลังงานของ “Fly Ranch” พื้นที่พัฒนาธรรมชาติยั่งยืนในทะเลทรายเวิ้งว้างทางตอนเหนือของ Nevada Solar Mountain ได้แรงบันดาลใจมาจากภูเขาซึ่งอยู่รอบ ๆ พื้นที่ ทำให้มันดูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับ landscape ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างที่เป็นพิษหรือแปลกปลอม โดยมี concept ในการตั้งต้นดีไซน์ว่า ‘grow energy’, ‘interact’, ‘play’ นอกจากจะสร้างพลังงานไฟฟ้าจากธรรมชาติได้แล้ว ยังหวังให้มันเป็นจุดที่คนจะมารวมตัวกัน และใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันจากสถาปัตยกรรมทั้ง 4 ชิ้นนี้ได้ด้วย ภูเขา Solar แต่ละลูกจะมีขนาดความสูงประมาณ 30 เมตร และยาวประมาณ 5 – 30
หลังจากที่มีการเปิดตัวกล้อง Full-Frame Mirrorless ระดับพระกาฬตัวใหม่ล่าสุดจากค่าย แคนนอน ในรุ่น EOS R5 และ EOS R6 ไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยจัดเต็มเทคโนโลยีขั้นเทพมาให้อย่างครบครัน ใช้งานได้สุดทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพนิ่ง หรือการถ่ายภาพเคลื่อนไหว หรือพูดง่าย ๆ ว่ากล้องทั้ง 2 รุ่นนี้เกิดมาเพื่อกำหนดนิยามใหม่ของความสร้างสรรค์เลยก็ว่าได้ ซึ่งคำกล่าวที่พูดมาข้างต้นไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดลอย ๆ เพราะมันถูกหยิบยกขึ้นมาปั้นให้เป็นรูปเป็นร่าง ต่อยอดแนวคิดนิยามใหม่ของความสร้างสรรค์ไปสู่อีกขั้นที่เหนือกว่า ในแบบที่ทุกคนสามารถเข้าไปสัมผัสกับประสบการณ์นี้ได้ใน Digital Exhibition ที่มีชื่อว่า ‘Canon EOS Rtist’ นิทรรศการที่จัดแสดงภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นผลงานของ 22 ศิลปินเลือดใหม่ไฟแรงที่กำลังเฉิดฉายในวงการงานสร้างสรรค์ ณ ปัจจุบัน ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานเจ๋ง ๆ ออกมาผ่านกล้อง Canon EOS R5 และ EOS R6 รุ่นใหม่ล่าสุด และในวันนี้เราได้หยิบเอาผลงานที่น่าสนใจของศิลปินส่วนหนึ่งจำนวน 8 ท่าน มาให้ชาว UNLOCKMEN ได้ดูกัน เพื่อกระตุ้นต่อมกำเนิดแรงบันดาลใจ ปลุกไฟแห่งความคิดสร้างสรรค์ให้ลุกโชน ก่อนที่จะไปรับชมผลงานของเหล่า
เมื่อพูดถึงเรือนเวลาคุณภาพสูงที่สะท้อนจิตวิญญาณอเมริกันออกมาได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่า Hamilton แบรนด์นาฬิกาซึ่งก่อตั้งขึ้นที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1892 คือชื่อแรกที่ผู้หลงใหลในเรือนเวลาต่างนึกถึง กับชื่อเสียงเรื่องมาตรฐานการบอกเวลาที่แม่นยำ พร้อมเสน่ห์ของการผสานจิตวิญญาณแห่งความเป็นอเมริกันเข้ากับความเที่ยงตรงตามแบบฉบับของนาฬิกาสัญชาติสวิส จนได้รับความไว้วางใจให้มีบทบาทในช่วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์การบินมาอย่างยาวนาน ด้วยเกียรติประวัติการได้รับเลือกให้เป็นนาฬิกาที่ใช้งานบอกเวลาอย่างเป็นทางการของเที่ยวบินไปรษณีย์สหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในความสำเร็จของเที่ยวบินปฐมฤกษ์ในเส้นทางการบินเชื่อมระหว่างสองชายฝั่งของสหรัฐฯ นอกจากภาพลักษณ์ของเรือนเวลาที่เกี่ยวข้องกับวงการการบินอย่างแนบแน่น นาฬิกา Hamilton ยังได้รับการขนานนามให้เป็น The Movie Brand ที่สะท้อนภาพวัฒนธรรมความเท่แบบคลาสสิกสไตล์อเมริกันสู่สายตาชาวโลกได้อย่างน่าประทับใจ ยืนยันได้จากการที่นาฬิกาหลายต่อหลายรุ่นของ Hamilton ได้ไปอวดโฉมอยู่ในภาพยนตร์ Hollywood ระดับ Blockbuster มาแล้วมากมายกว่า 500 เรื่อง และต้องบอกว่าหนึ่งในเรือนเวลายอดนิยมตลอดกาลจาก Hamilton ที่บรรดาผู้นิยมในสไตล์ American Classic ต่างโปรดปราน คือตำนานนาฬิกา Chronograph ชื่อเรียบง่าย ที่เปิดตัวมาพร้อมกัน 2 รุ่นอย่าง Chronograph A และ Chronograph B ซึ่งหลายคนน่าจะรู้จักกันดีในชื่อ Hamilton Panda และ Hamilton Reverse Panda
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อชั้นกิตติศัพท์ในเรื่องคุณภาพ รวมถึงชื่อเสียงด้านนวัตกรรมการบอกเวลาที่เที่ยงตรงแม่นยำ คือสิ่งตอกย้ำภาพเรือนเวลาแห่งความภาคภูมิใจของชาวเอเชียให้กับแบรนด์ Seiko (ไซโก) ได้เป็นอย่างดี และต้องบอกว่าเกียรติประวัติเหล่านี้ใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ ในระยะเวลาอันสั้น แต่มันเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ Seiko ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 โดย Kintaro Hattori (คินทาโร ฮัตโตริ) ชายหนุ่มวัย 21 ปี ที่นำเอาความตั้งใจ ความรักและความหลงใหลในกลไกบอกเวลามาใช้เป็นแรงผลักดันในการรังสรรค์นาฬิกาคุณภาพสูงจนก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำในญี่ปุ่น เป็นศูนย์กลางในการออกแบบและมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ตลอดระยะเวลา 50 ปีแรกภายใต้การคุมหางเสือของ Kintaro Hattori คือรากฐานสำคัญในการพาชื่อ Seiko ทะยานสู่ความเป็นแบรนด์นาฬิกาอันดับต้น ๆ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน และถือเป็นความสำเร็จที่ต่อยอดมาจากวิสัยทัศน์เพียงหนึ่งเดียวที่เขายึดมั่น นั่นคือ “One step ahead of the rest” หรือ “การที่ต้องนำหน้าคู่แข่งอยู่ 1 ก้าวเสมอ” โดยคำกล่าวของ Kintaro Hattori ได้ฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของแบรนด์ และเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของ
ตำนานแห่ง Ventura ถือกำเนิดขึ้น เมื่อ Hamilton ได้สร้างนาฬิกาที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เรือนแรกของโลกขึ้นในปี 1957 ซึ่งกลายมาเป็นนาฬิกาแห่งโลกอนาคต ราวกับนิยายแนววิทยาศาสตร์ได้กลายมาเป็นจริง ภายใต้ตัวเรือนทรงสามมุมที่สะดุดตา พร้อมดีไซน์คลื่นไฟฟ้าบนหน้าปัดได้พลิกโฉมวงการนาฬิกาของโลกไปตลอดกาลนับตั้งแต่นั้นมา นาฬิการุ่นตำนานอันล้ำยุคอย่าง Ventura กลับมาพร้อมดีไซน์ใหม่ล่าสุดในชื่อ ‘Ventura Elvis80 Skeleton’ ภายใต้การตีความความคลาสสิกของ Ventura ในรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างสรรค์รูปลักษณ์ที่ทันสมัยอย่างรูปทรง Elvis80 ซึ่งเป็นรูปทรงที่ได้รับการตั้งชื่อตาม Elvis Presley ผู้ที่ถือเป็นแฟนตัวยงของนาฬิกา Ventura Ventura Elvis80 Skeleton กลายมาเป็นนาฬิการะบบอัตโนมัติแทนระบบไฟฟ้า ซึ่งได้สร้างนิยามใหม่ให้กับการผลิตนาฬิกาในทุกมิติ ด้วยกลไกอันโดดเด่นที่ปรากฏบนหน้าปัด โดยหน้าปัดเปลือยของตัวเรือน Ventura Elvis80 Skeleton เผยให้เห็นกลไก H-10-S สุดล้ำ พร้อมการตกแต่งที่โฉบเฉี่ยวแบบ Côtes de Genève มาพร้อมการสำรองพลังงานถึง 80 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าเราได้ผสานอดีต ปัจจุบันและอนาคตเข้าด้วยกัน โดยยังคงไม่ทิ้งรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Ventura ด้วยดีไซน์คลื่นไฟฟ้าที่ถูกนำเสนอผ่านลายซิกแซ็กบนโครงสร้างหน้าปัดแบบเปลือยหรือโครงกระดูก (skeleton) Ventura Elvis80
หากเอ่ยถึง ‘ทองหล่อ‘ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนึกถึงพื้นที่ที่มีสีสันที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พื้นที่ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดศูนย์รวมแหล่งไลฟ์สไตล์อันหลากหลายเอาไว้บนถนนเส้นนี้เส้นเดียว แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองได้เป็นอย่างดี และในวันนี้คอลัมน์ Masterpiece จะพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปพบกับ Noble Form Thonglor (โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ) คอนโดมิเนียมระดับ Flagship โครงการใหม่ล่าสุดใจกลางทองหล่อ ที่รวมเอาฟอร์มต่าง ๆ ที่โดดเด่น ผสานไว้เป็นฟอร์มเดียวที่เป็นได้ทั้งที่อยู่อาศัยและพื้นที่ใช้ชีวิต ในราคาเริ่มต้นเพียง 6.5 ล้านบาท เรียกได้ว่าคุ้มค่าที่สุดในพื้นที่ Prime Location อย่างทองหล่อ ซึ่งเราขอทำการ Grouping รวมเป็น 3 จุดเด่นซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญ ที่ทำให้โครงการนี้เหมาะเหลือเกินสำหรับใครที่กำลังมองหาที่อยู่ทำเลดี และคุ้มค่าที่สุดในย่านทองหล่อ ตลอดเส้นทางประมาณ 2.4 กิโลเมตรของซอยทองหล่อ หรือถนนสุขุมวิท 55 หากแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนต่าง ๆ จะพบว่าแต่ละโซนนั้นมีความแตกต่างของสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งในช่วงต้นซอยฝั่งสุขุมวิทแม้จะอยู่ติดกับรถไฟฟ้าแต่ก็ยังเป็นพื้นที่ของบ้านเรือน ชุมชนเก่า ร้านค้าดั้งเดิมที่เปิดมาแล้วหลายสิบปี แต่สำหรับภาพจำของซอยทองหล่ออย่าง สีสัน ความทันสมัย รวมถึงความเป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ระดับไฮเอนด์ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Community Mall, ร้านสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม, ร้านเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้าน, ซูเปอร์มาร์เก็ต, แหล่งแฮงเอาท์อย่าง
แม้ว่ากระแสโควิดจะยังระบาดไปทั่วโลก ชะลอเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักไปตาม ๆ กัน แต่ทว่ากระแสเทรนด์แฟชั่นไม่ได้นิ่งหยุดตาม เพราะในโลกแห่งการแต่งตัวยังคงหมุนตัวไปยังรวดเร็วต่อเนื่องและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ เสียด้วย ซึ่งเทรนด์แฟชั่นที่กำลังเป็นที่นิยมทั้งในและต่างประเทศประจำปี 2021 ยังคงเป็นเทรนด์ที่ฮิตต่อเนื่องมาจากปี 2020 นั้นคือ Utility ที่เป็นกาผสมผสานวัฒนธรรมหลายๆ อย่าง ทั้งแฟชั่นญี่ปุ่นและยุโรป จนเกิดเป็นสไตล์ใหม่ สำหรับจุดสำคัญคือการที่ไอเทมเหล่านั้นจำเป็นจะต้องมีกระเป๋าอเนกประสงค์ให้เลือกใช้งาน เน้นความเรียบหรูไม่จำเป็นจะต้องมีลวดลายที่เยอะแยะให้ดูรกตา สำหรับสไตล์ Utility นั้นคือเสื้อผ้าที่เน้นฟังก์ชันเป็นหลัก โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่ที่เราเห็นบ่อย ๆ คือเสื้อผ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องแบบทหาร (Military) เนื่องจากเสื้อผ้าเหล่านี้คือเสื้อผ้าฟังก์ชันที่มีช่องกระเป๋าให้เก็บของมากมายเต็มไปหมด และสีสันส่วนใหญ่จะเน้นไปทาง Earth Tone ที่ดูสบายตาย ไม่ฉูดฉาดตา หากจะบอกว่าสไตล์นี้ฮิตขนาดไหน เพราะตั้งแต่แบรนด์บนรันเวย์อย่าง Louis Vuitton , Alyx ไปจนถึงสตรีทอย่าง Engineered Garments , Beams , Stussy ล้วนต้องมีลุค หรือไอเทมที่สอดคล้องกับแนว Utilitty สำหรับ Must Item ของสไตล์ Utility