โมเดลสุดหรูสำหรับคนรักสุนัข BMW X7 xDrive40d Poldo Dog Couture Edition แบรนด์สำหรับคนรักสุนัขสุดหรูใน Italy กับ trim พิเศษผ่านการ customized ตกแต่งได้อย่างสุดคลาสสิก ไม่ได้เห็นมานานมากแล้วสำหรับลายไม้ในห้องโดยสาร เป็นไม้มะเกลือ (Ebony wood) ผลงานจากช่างไม้ระดับ Master Capenter ตัดกับความนุ่มนวลของหนัง Alcantara สีเขียว Oxford Green แบบเดียวกับภายนอก เป็นการดีไซน์ที่สวยงามและดูดีมาก ๆ แนวคิดการออกแบบ BMW X7 edition สุดพิเศษนี้มาจากกลิ่นอาย บรรยากาศ สีสันของธรรมชาติยามเช้าในป่าที่มีสุนัขตัวโปรดอยู่ข้าง ๆ ภาพจำนั้นถูกนำมาตีความทั้งสี การตกแต่ง อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ ทุกจุดของรถผ่านการคิดคำนวณเพื่อความสุขสูงสุดของน้องหมาอย่างครบถ้วน ฟีเจอร์อันแน่นความเป็น dog-friendly ที่แม้ไม่มีหมาแต่ชอบสีเขียวลายไม้ก็ซื้อได้ ที่สุดทั้งด้านดีไซน์และการใช้งาน โดยใน Poldo Dog Couture Edition จะมีชุด travel
น่าจะเป็น Porsche 914 ที่ทำออกใหม่ได้สวยกว่าของเดิมซึ่งเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดของ Porsche นี่คือโปรเจค restomod ที่ทีม Fifteen Eleven Design ใช้เวลาพัฒนานานถึง 3 ปี ใช้โครงสร้างพื้นฐานจาก Cayman S เครื่องยนต์ 3.8-liter flat-six ผ่านการจูน ECU และอัพเกรดชิ้นส่วนภายในใหม่จนได้แรงม้าราว 400 ตัว จับคู่เกียร์ 6-speed Manual ทีม Fifteen Eleven Design ทิ้งไฟหน้า pop-up สุดคลาสสิกออกไปแทนที่ด้วยไฟ LED ย้ายมาไว้ด้านล่างของกันชนหน้าซึ่งต้องออกแบบใหม่เนื่องจากเดิม 914 ระบายความร้อนแบบ air-cooled แต่ Cayman S ใช้ liquid-cooled ซึ่งต้องพื้นที่สำหรับหม้อน้ำและ oil cooler ตัวถัง Targa เปิดหลังคาผลิตจาก Carbon Fiber ฟิลลิ่งการขับการควบคุมรถถูกออกแบบใหม่ให้รองรับกับสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น ชุดโช้ค
เปิดตัวในงาน LVMH Watch Week 2024 จักรกลระดับ Grand Complication เรือนล่าสุดจาก Hublot มาพร้อมชื่อที่ยาวไม่แพ้ป้ายราคา MP-10 Tourbillon Weight Energy System เป็นอีกครั้งที่ Hublot เลือกฉีกคำนิยามของนาฬิกาแบบเก่า ๆ ใช้ความกล้าหาญและสร้างสรรค์ในการดีไซน์ กลไก HUB9013 movement บอกเวลาผ่าน rolling cylinders time display คล้ายใน MP-05 LaFerrari โดยมีแหล่งพลังงานจาก sliding weights ที่ขยับขึ้นลงทุกครั้งที่เราขยับมือไปมา ควบคุมเวลาผ่าน inclined flying tourbillon ซึ่งมีการเพิ่ม seconds scale ลงไป เป็นครั้งแรกที่สามารถรวมสุดยอดกลไกระดับ grand-complication level ที่ซับซ้อนที่สุดมาไว้ในเรือนเดียวกันได้สำเร็จ วิธีดูเวลาของ MP-10 คือหลักชั่วโมงจะอยู่ที่ cylinders ด้านบนสุด ตามด้วยหลักนาทีด้านล่าง ลงมาจาก
ปีนี้ถือเป็นปีที่สำคัญมากสำหรับ Longines เนื่องจากเป็นปีที่ “Conquest” คอลเลคชั่นมีอายุครบ 70 ปี ตำนานที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1954 และยังเป็นปีที่ชื่อ Conquest ถูกจดลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสสุดพิเศษให้กับคอลเลคชันนี้ Longines จึงออกแบบนาฬิการุ่นคลาสสิกนี้ขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อ Conquest Heritage Central Power Reserve ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Conquest Power Reserve ลำดับที่ 2 ในปี 1959 กับจุดเด่นที่สะเทือนโลกนาฬิกาด้วยจากดิสเพลย์พลังงานสำรองบนจานหมุน (rotating disc) ที่ตั้งอยู่กลางหน้าปัด บ่งบอกระดับพลังงานสำรองที่เหลืออยู่ ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ที่คิดค้นและจะพบได้เฉพาะที่ Longines เท่านั้น เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับ 70 ปีแห่งนวัตกรรมและความสง่างามของ Longines Conquest collection เราจะพาทุกท่านย้อนเวลาไปทำความรู้จักกับ Conquest ให้ดีขึ้นตั้งแต่เรือนแรกในปี 1954 จนถึงเรือนล่าสุดเพื่อพิสูจน์ความสง่างามเหนือกาลเวลาของนาฬิการุ่นนี้กันครับ 1954 – LONGINES CONQUEST REF. 9001 ; ตัวเรือนขนาด
ช่วงปี 1956 ผลงานการออกแบบของ Pininfarina เป็นที่ยอมรับอย่างสูง เป็นดีไซน์เนอร์เบอร์หนึ่งของ Ferrari ที่รับผิดชอบผลงานเกือบ 100% ของโมเดลในยุคนั้น และเมื่อ 250-based concept ถูกเปิดตัวในงาน Geneva Motor Show ผู้คนต่างสนใจจนนายใหญ่สั่งเดินหน้าเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนพัฒนาต่อไป แต่ติดที่งานมันล้นเหลือเกิน จน Pininfarina ต้องเรียกมือขวามาช่วยพัฒนาต่อบน prototype ที่ตัวเองวางไว้ และ 250 GT Coupé คันนี้ก็ได้ Ezio Ellena จากสำนักออกแบบ Carrozzeria Ellena มาสานต่อจนเสร็จเรียบร้อย ทำให้รถคันนี้มีรายละเอียดและความรู้สึกที่แตกต่างออกไป Ferrari 250 GT Coupé ถูกผลิตออกมาทั้งหมดจำนวน 130 คัน แบ่งเป็นผลงานของ Mario Felice Boano 80 คัน และ Carrozzeria Ellena เพียง 50 คันเท่านั้น
โลดแล่นมากว่า 10 ปี วันนี้ Porsche Macan EV ก็เปิดตัวมาในขุมพลังไฟฟ้าล้วนเป็นครั้งแรก พัฒนาบน Premium Platform Electric (PPE) platform ที่รองรับไฟฟ้าสูงสุด 800-volt electrical architecture ซึ่งคิดค้นร่วมกับ Audi เป็นครั้งแรก และคาดว่าจะใช้ platform นี้กับ Audi A6, Q6 และ Cayenne EV โมเดลต่อไปด้วยเช่นกัน แบตเตอรี่ของ Macan EV ใช้เป็น Lithium-Nickel Manganese Cobalt cells ทั้งหมด 12 modules ให้ความจุไฟฟ้ารวม 100 kWh ได้ Range ไกลสุดราว 380 mile หรือ 600 km ต่อการชาร์จ มีสองระดับความแรงให้เลือก
เผลอแป้ปเดียว Omega Dark Side of the Moon ก็มีอายุครบ 10 ปีแล้ว เผยโฉมครั้งแรกในปี 2013 สำหรับ Speedmaster โทนสีดำล้วนสุดเท่ซึ่งมีปล่อยออกมาหลายรุ่น และในโมเดลอัพเดทใหม่นี้ก็ผ่านการปรับรายละเอียดที่น่าสนใจบนพื้นฐานของ Speedmaster Dark Side of the Moon Apollo 8 ตัวเรือนยังคงมีขนาด 44.25 mm black ceramic case หน้าปัดสวยงามด้วยการออกแบบกึ่ง skeletonized และ Moon-textured plates ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก DSOTM Apollo 8 ตัดกับเข็มและชื่อรุ่นสีเหลืองบนหน้าปัดได้อย่างสวยงาม โดยฝั่งด้านหน้าจะโชว์พื้นผิวดวงจันทร์ที่เรามองเห็นได้จากโลก และด้านหลังจะเป็นด้านที่มืดกว่าของดวงจันทร์ สะท้อนมุมมองที่นักบินอวกาศของ Apollo 8 ได้เห็นขณะปฏิบัติภารกิจในปี 1968 และที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นนี้ก็คือเข็มทรง Saturn V rocket บน small seconds ที่ผลิตจากวัสดุ
Swatch Group เปิดตัวปีใหม่อย่างดุดันด้วย Scuba Fifty Collection ล่าสุด เป็น Blancpain X Swatch รุ่นที่ 6 “Ocean of Storms” ในโทนสีดำ ตัวเรือน black bioceramic case ผิว satin-finished ขนาด 42.3mm x 14.4mm x 48mm (lug-to-lug) หน้าปัดดำตัดกับ markers และ hands สีขาว รวมถึงเส้นนาทีบนขอบได้อย่างลงตัว เพิ่มรายละเอียดด้วยตัวเลขกันน้ำลึก 91 เมตรสีส้ม และยังคงใช้สาย NATO-style เช่นเดียวกับรุ่นอื่น ๆ ใน collection เดียวกัน ถือว่าเป็นการเปิดตัวที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจ เพราะเดิมเราเข้าใจว่า Scuba Fifty น่าจะมีแค่ 5 รุ่นตามชื่อ Ocean ซึ่งมีเพียง
เชื่อว่าไม่น่าจะมีใครคุ้นตา BMW คันนี้กันมากนัก หรือบางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงภาพจำลองในอดีต ที่จริงแล้ว BMW M12 สุดลึกลับคันนี้ คือรถที่เคยถูกสร้างขึ้นในฐานะ Concept car สามารถใช้งานได้ทุกอย่าง และเกือบจะถูกส่งต่อไปในขั้นตอน pre-production model เพื่อขายให้ลูกค้าทั่วไป แต่น่าเสียดาย ที่รถคันนี้ไม่ได้ถูกขึ้นไลน์ผลิตสู่สาธารณะในปี 1991 BMW Nazca M12 รถยนต์ที่ BMW ได้มอบหมายให้ Giorgetto Giugiaro และ Fabrizio Giugiaro เจ้าของ Italdesign สำนักออกแบบรถยนต์อันโด่งดังเป็นผู้ดีไซน์เพื่อนำไปจัดแสดงในงาน Geneva Motor Show ซึ่งในปีนั้นทุกสื่อต่างพูดถึงชื่อ BMW Nazca M12 และถูกนำไปพาดหัวข่าวกันอย่างครึกโครม Italdesign สำนักออกแบบสุดเนื้อหอมมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีผลงานระดับตำนานผ่านมือมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน เช่น 1976 Lotus Esprit, 1981 DeLorean DMC-12, 1984 Saab 9000, 2004
แม้ Mercedes จะไม่สร้างตัวถัง AMG G63 Convertible ออกมา แต่ก็หยุดความต้องการของสำนัก Refined Marques ไม่ได้ โดยจุดเริ่มต้นของไอเดียนี้มาจากลูกชายที่ขับ Brabus G700 แล้วปรึกษาพ่อว่าอยากทำหลังคา soft-top roof ความเป็นพ่อที่มีและมีกำลังทรัพย์สูง จึงนำไอเดียนี้ไปรวมทีมเพื่อสร้างแบบ One-off ให้ลูกชาย เพื่อพบว่ามีลูกค้าอีกมากมายต้องการ G63 Cabriolet เช่นกัน จึงเปิดรับออเดอร์ในจำนวนจำกัดเพียง 20 คันเท่านั้น ความเจ๋งของไอเดียนี้คือบอดี้ที่ดัดแปลงให้เข้าออกได้สะดวกกว่า G500 Cabriolet Final Edition 200 limited 200 คัน เครื่อง 5.5-liter V8 388 แรงม้า ซึ่งทาง Refined Marques เลือกใช้ประตู suicide doors เพื่อความสะดวกสบาย หลังคา soft-top ที่เปิดและปิดง่ายกว่า และที่สำคัญคือขุมพลัง 4.0-liter twin-turbo
ท่ามกลางการแข่งขันของรถยนต์ EV ที่กำลังร้อนแรง ซึ่งหลายคนต่างโฟกัสไปที่ราคา รวมไปถึงตัวเลขเร้าใจต่าง ๆ จากตารางสเปค แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายปัจจัยในการตัดสินใจเลือกซื้อยนตรกรรมพลังไฟฟ้ามาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้นของแบรนด์ ความพร้อมในการให้บริการหลังการขาย รวมไปถึงรางวัลระดับโลกที่สามารถการันตีความมั่นใจได้อีกขั้น และการมาของ IONIQ 5 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจาก HYUNDAI ค่ายรถยักษ์ใหญ่แดนโสมที่พกพาเอาชื่อเสียง ความนิยม และรางวัลมากมาย พร้อมลุยตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ น่าจะทำให้หลายคนที่รอคอยการเป็นเจ้าของ mid-size CUV พลังไฟฟ้าคันนี้สมหวังกันถ้วนหน้า แต่สำหรับใครที่กำลังลังเลว่าว่าจะควักกระเป๋าออกใบจองทันที หรือจะรอเก็บข้อมูลประกอบการตัดสินใจไปอีกสักพัก วันนี้ UNLOCKMEN จึงขออาสา สรุป 5 เหตุผล ที่ตอกย้ำว่า IONIQ 5 ควรค่าแก่การครอบครองมากขนาดไหน เริ่มต้นที่เหตุผลแรกกับงานออกแบบอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของ IONIQ 5 ภายใต้คอนเซปต์ Retrofuturistic โดย Giorgetto Giugiaro นักออกแบบยานยนต์ชื่อดังชาวอิตาลีที่เคยร่วมงานกับ HYUNDAI ผู้กลับมาปลุกตำนานรถยนต์คลาสสิกอันโด่งดังให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในฐานะยนตรกรรมพลังไฟฟ้าแห่งอนาคต ด้วยการนำดีไซน์ของรุ่นคลาสสิกอย่าง HYUNDAI PONY ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นแรกของค่ายที่ส่งออกทั่วโลกในปี 1975 มาผสานกับรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ
เหมือนจะทิ้งทวนก่อนเข้าสู่ยุคของการจูนรถไฟฟ้า Manhart ถึงได้จัดเต็มสร้าง M5 ที่แรงที่สุดเท่าที่สำนักเคยทำมา รหัส MH5 900 สื่อถึงตัวเลขแรงม้าทะลุ 928 horsepower (ปกติมีแต่คนปัดขึ้น แต่ Manhart ปัดเลขแรงม้าลง) 914 lb-ft of torque จากขุมพลัง 4.4-liter twin-turbo V8 engine ในจำนวนจำกัดเพียง 5 คันเท่านั้น เครื่องยนต์ S63 ถูกนำมาอัพเกรดระบบและไส้ในใหม่ทั้งหมด จัดเต็มทุกจุดไม่ว่าจะเป็น carbon fiber intake, Wagner Tuning intercooler, Carillo forged pistons, H-shaft connecting rods สามารถรองรับแรงม้าได้สูงสุดถึง 1,200 HP ระบบไอเสีย racing downpipes พร้อมท่อ stainless steel และปรับจูน ECU เต็มระบบ