Honda S2000 หยุดสายการผลิตไปในปี 2009 หลังทำตลาดมานาน 9 ปี แต่ไม่เคยจะทำรุ่น Type R version ที่พวกเรารอคอยออกมาอย่างเป็นทางการ ทางสำนัก Evasive Motorsports จึงตัดสินใจสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองในรหัส S2000R ได้แรงบันดาลใจจาก Type R มาเต็ม ๆ เริ่มจากการยกเครื่อง F20 NA ของเดิมออก หันมาใช้เครื่องยนต์ K20 turbocharged จาก Civic Type R FK8 แม้ชาวเล่นของเดิมอาจจะเบือนหน้าหนี แต่เราว่ามันเป็นไอเดียที่น่าสนใจมาก เปลี่ยนระบบท่อไอดีไอเสียใหม่เป็นของสำนัก Evasive เอง อัพเกรด downpipe ใส่ Mugen carbon fiber intake กล่องควบคุม MoTec M140 engine management system ให้สมรรถนะรวม 306 แรงม้า
Mercedes-Benz ฉลองความสำเร็จให้กับ G-Class ที่ได้รับความนิยมมาตลอด 44 ปี นับตั้งแต่ G-Class คันแรกที่ผลิตในปี 1979 มาถึงวันนี้ก็ทำสถิติครบ 500,000 คันเป็นที่เรียบร้อย ส่งดีไซน์การตกแต่งพิเศษแบบ retro looks ย้อนกลิ่นอายด้วยลุค Geländewagen 280 GE จากปี 1986 สีภายนอก Agave Green และภายในใช้ผ้าหุ้มลายตารางตรงปก ล้อลายคลาสสิคแบบ Five-spoke sterling silver alloy wheels หุ้มด้วยยาง mud-terrain สำหรับลุยสภาพถนนสุดท้าทายมาตลอด 44 ปี ย้อนไปปี 1979 ยุคนั้น G-Class มีเครื่องยนต์ให้เลือกมากถึง 4 ขนาดความจุ พละกำลังไล่ตั้งแต่ 72 – 150 แรงม้า ส่วนในปัจจุบัน G-Class ใช้เครื่องยนต์ twin-turbo V8 เริ่มต้นที่
หลังจากความสำเร็จของ Montblanc 1858 Iced Sea Automatic Date ที่เปิดตัวเมื่อปี 2022 ด้วยหน้าปัดดีไซน์ผลึกน้ำแข็ง Montblanc กลับมาอีกครั้งในปีนี้พร้อมกับสีหน้าปัดใหม่เฉดสีเทาที่เรียบง่ายแต่ดูภูมิฐาน ซึ่งหน้าปัดรูปแบบธารน้ำแข็งสีเทาใหม่นี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Mer de Glace หนึ่งในธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดบนยอดเขามงต์บลองค์ เมื่ออยู่ในสภาวะแสงที่เที่ยงตรง ธารน้ำแข็งจะปรากฏเป็นสีเทาเผยให้เห็นแร่ธาตุที่จับตัวอยู่ในโครงสร้างของน้ำแข็งที่สะสมมาเป็นเวลานับพันปี นาฬิกา Iced Sea รุ่นใหม่นี้มาในตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 41 มม. พร้อมฝาหลังที่มีการแกะสลักรูปภูเขาน้ำแข็งแบบ 3 มิติ และนักดำน้ำในชุดสีดำออกสำรวจธารน้ำแข็งเบื้องล่าง กระบวนการสร้างสรรค์ สำหรับกระบวนการสร้างหน้าปัดผลึกธารน้ำแข็งนี้ได้มีการใช้เทคนิคพิเศษที่เรียกว่า Gratté-boisé ในการสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา หน้าปัดแต่ละเรือนสามารถสื่อถึงความลึก และความส่องสว่างของธารน้ำแข็งได้เป็นอย่างดี ทำให้ดูมีมิติ และสมจริง โดยกระบวนการแกะสลักบนฝาหลังตัวเรือนนั้นใช้เลเซอร์กำหนดโครงสร้างโลหะ เพื่อสร้างภาพนูน 3 มิติที่มีความลึก และความสมจริงสอดคล้องกับชุดพื้นผิวด้าน และเงา เกิดเป็นความแตกต่างที่น่าหลงใหล ISO 6425 มาตรฐานหลักสำหรับนักดำน้ำ Montblanc 1858 Iced Sea เป็นมากกว่านาฬิกาสปอร์ต เพราะเป็นเครื่องมือดำน้ำที่เป็นไปตามมาตรฐาน ISO 6425
อวดยนตรกรรมที่มาพร้อมนวัตกรรมระดับโลกในงาน เซี่ยงไฮ้ออโต้โชว์ 2023 กับ 3 ไฮไลท์ เริ่มตั้งแต่การเผยโฉมรูปลักษณ์จริงของ MG Cyberster โรดสเตอร์ไฟฟ้าเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์สุดล้ำ และประตูแบบปีกนก ที่จ่อเตรียมผลิตเพื่อจำหน่าย ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย เปิดตำนานบทใหม่อย่าง MG7 สปอร์ตซีดานหรูระดับแฟล็กชิพเจ้าของสถิติ กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด จากบททดสอบสุดทรหดบนเส้นทางสายลาซาในทิเบตที่ระดับความสูง 5,978.17 เมตร และอีวีรุ่นฮิตอย่าง MG4 ELECTRIC ที่สามารถพิชิตรางวัลคุณภาพระดับโลก เผยภาพเคลื่อนไหวแรกของ MG Cyberster จากรถต้นแบบ สู่สายการผลิต จ่อเตรียมจำหน่าย เรียกได้ว่าเป็น หมัดเด็ดของบูธ เอ็มจี ก็ว่าได้ สำหรับภาพเวอร์ชั่นเตรียมจำหน่ายของ MG Cyberster รถโรดสเตอร์ไฟฟ้า เปิดประทุน 2 ที่นั่ง หลังนั่งแท่นการเป็นรถโกลบอลอีวีอีกรุ่นของ เอ็มจี ที่สะกดทุกสายตาด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเรียบหรูแต่ทรงพลัง มาพร้อมหลังคาซอฟต์ท็อปที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า ประตูแบบปีกนก นับเป็นสถาปัตยกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแบบใหม่ของเอ็มจีที่จะมาฉีกกฎการสร้างสรรค์ยานยนต์ไฟฟ้าให้ล้ำสมัยไปอีกขั้น สำหรับโรดสเตอร์ไฟฟ้ารุ่นนี้ บริเวณกระจังหน้า และแผงกันชนหน้า ได้รับการออกแบบด้วยดีไซน์ “Wind Hunter” ในขณะที่รูปลักษณ์ของไฟหน้าถูกออกแบบให้ดูมีขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความโดดเด่นให้กับ MG Cyberster เป็นอย่างยิ่ง และอีกหนึ่งองค์ประกอบด้านการออกแบบที่น่าสนใจ คือ เส้นด้านข้างของตัวรถบริเวณใต้กรอบกระจกที่มีดีไซน์แบบ “Leopard Jump Shoulder Line” มุ่งเน้นให้เห็นรูปร่างอันแข็งแกร่ง และทรวดทรงที่งดงามสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและช่วยให้รถมีศูนย์ถ่วงต่ำ ด้านท้ายของ MG Cyberster ถูกออกแบบในสไตล์ Kammback Design โดยท้ายจะมีลักษณะลาดตัดสั้น และส่วนโค้งด้านหลังตัวรถที่ยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายหางเป็ด (Duck Tail) ช่วยให้ด้านหลังของรถดูโดดเด่น ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณสมบัติด้านอากาศพลศาสตร์ของตัวรถ
2024 Lexus LM เปิดตัว generation ที่สองออกมาแบบ All-new ในงาน Auto Shanghai 2023 เปิดตัวมาแบบสุดหรูหรายิ่งกว่าเก่า สมกับชื่อโมเดล “Luxury Mover (LM)” 4 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก เก็บเงินซื้อรุ่นแรกยังไม่ทันครบ ก็มาถึงรุ่นที่สองกันแล้ว Generation ที่สองนี้ยังคงสร้างจากพื้นฐานของรุ่นปัจจุบัน มีขุมพลังให้เลือกสองแบบคือ 2.4-liter Hybrid turbocharged with eAxle และรุ่น 2.5-liter Hybrid E-Four เลือกได้ระหว่างระบบขับเคลื่อน All-wheel drive หรือ Front-wheel drive ดีไซน์ภาพนอกมีการใช้เส้นสายที่ดูมั่นใจ คมชัดขึ้นกว่ารุ่นแรกทั้งกระจังหน้า บานประตู และไฟท้าย มิติตัวถังเทียบกับรุ่นปัจจุบัน จะมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น พร้อมสร้างความสบายให้ท่านผู้บริหารทั้งเบาะนั่งและ head-area โดยตัวรถมีความยาวมากขึ้น 85 มิลลิเมตร ความกว้างเพิ่มขึ้น 40 มิลลิเมตร และสูงขึ้น 10 มิลลิเมตร
ผลงาน Concept design tribute ให้กับ Ken Block กับรถรุ่นสร้างชื่อ 1965 Ford Mustang “Hoonicorn” โดยเลือกใช้โทนสีเขียวใน Swoosh logo จุดเด่นจาก Monster logo ที่คุ้นตากันดี รวมถึง suede upper สีเทาเข้ม เป็นการใช้โทนสีเดียวกันกับตัวรถ Ford Mustang Hoonicorn นั่นเอง 1965 Ford Mustang “Hoonicorn” เป็นรถ custom-built ที่เปรียบเสมือน Icon ของ Ken Block สร้างมาเพื่อการขับ Gymkhana โดยเฉพาะ เครื่องยนต์ twin-turbo 6.7L V8 1,400 horsepower ส่งกำลังขับเคลื่อน 4-wheel drive system พร้อมช่วงล่างเสริมความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างแม่นยำ เป็นตำนานที่มีครบทั้งความเท่ของดีไซน์
เหล่านักสะสมไฟแช็ค ห้ามพลาด! กับการร่วมมือกันของแบรนด์สาย Punk อย่าง Vivienne Westwood และ ZIPPO กับคอลเลคชันไฟแช็กรุ่นพิเศษที่มี 6 แบบด้วยกัน จุดเด่นของคอลเลคชันนี้คือโลโก้ Vivienne Westwood ที่มีการฝังและแกะสลักไว้ตามจุดต่าง ๆ นั่นเอง สำหรับไฮไลท์ของคอลเลคชันนี้ คือ รุ่น “SPIN ORB” ที่ใช้ตัวโครงสร้างของรุ่น Armor Zippo โดยรุ่นนี้มีสองสีด้วยกันคือ สีเงิน และสีทอง ต้องบอกเลยว่าความเท่ของรุ่น “SPIN ORB” คือลายสลักโลโก้ที่อยู่ระหว่างฝาบนกับตลับ เรียกได้ว่าเรียบแต่โก้เลยทีเดียว ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 ชิ้น เท่านั้น ต่อมารุ่น “BIG ORB” ลายแกะสลักโลโก้ขนาดใหญ่ที่ตัวตลับไฟแช็ก และ “OUTSTANDING ORB” ที่แกะสลักลายโลโก้ของ Vivienne Westwood รอบตัวตลับไฟแช็ก ซึ่งในสองรุ่นนี้ผลิตขึ้นมามีความหนากว่าปกติ อ้างอิงจากรุ่นคลาสสิกของ ZIPPO 200 เนื่องด้วยการใช้พื้นผิวสำหรับการสลักลายที่ตลับ สำหรับสองรุ่นสุดท้ายของคอลเลคชันนี้
หลังจากได้ยินข่าวการร่วมมือระหว่าง Xiaomi และ Leica เชื่อว่าหลายคนคงอยากเห็นศักยภาพของกล้องจากมือถือตระกูล Ultra ซึ่งจัดได้ว่าเป็นแรงค์เรือธงที่แท้ทรูของ Xiaomi และเมื่อช่วงหัวค่ำของวันอังคารที่ 18 เมษา ที่ผ่านมา ตามเวลาประเทศไทย ก็ถึงเวลาประกาศศักดาของ Xiaomi 13 Ultra ซึ่ง Matt Stuart ช่างภาพสายสตรีทชื่อดังชาวอังกฤษให้คำนิยามว่า “This is a camera phone, not a phone with a camera.” กันเลยทีเดียว โดยคุณสมบัติด้านการถ่ายภาพของ Xiaomi 13 Ultra เรียกได้ว่าจัดมาแบบดุดันไม่เกรงใจใคร ด้วย Quad camera with six focal lengths กล้องถ่ายภาพ 4 ตัวหลัก ครอบคลุมระยะ 0.5x to 10x เทียบเท่าระยะเลนส์ 12 –
นี่คือการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการรถคลาสสิก ภาพที่เราเห็นคือรถคลาสสิกทั้งหมด 230 คันซึ่งถูกค้นพบในโกดังของ Ad Palmen ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์นักสะสมชาวดัตช์ เขาเก็บเป็นความลับโดยไม่มีใครรู้มากว่า 40 ปี แต่สุดท้ายขุมทรัพย์รถคลาสสิกเหล่านี้ได้ถูกค้นพบโดยผู้ดูแลของ Palmen หลังจากที่ Palmen เกิดภาวะสมองเสื่อม ซึ่งโกดังเก็บรถของ Palmen นั้นเป็นเหมือนสวรรค์ของคนรักรถคลาสสิกเลยทีเดียว เพราะรถที่ถูกค้นพบนั้นเรียกได้ว่ารวมแทบทุกรุ่นของรถคลาสสิกที่มีบนโลกใบนี้ไว้หมดแล้วไม่ว่าจะเป็นรถคลาสสิกแบรนด์สัญชาติอิตาลีที่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันอย่าง Alfa Romeos, Maseratis, Ferraris รถยุโรปแบรนด์ดังที่ใคร ๆ ก็ต้องอยากได้อย่าง BMW, Mercedes-Benz, NSU รถหล่ออย่างมีระดับแบรนด์สัญชาติอังกฤษอย่าง Jaguar, Aston Martin, Rolls-Royce รถยนต์สัญชาติอเมริกันอย่าง Chevrolet, Cadillac, Ford นอกจากนั้นยังมีแบรนด์ลึก ๆ อื่น ๆ อีกเพียบไม่ว่าจะเป็น Tatra, Monica, Moretti, Matra, Alvis, Imperia และ Villard สิ่งที่ทำให้สายคลาสสิกหลาย ๆ
เอาใจหนุ่มนักกิจกรรม! “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ประกาศเปิดตัว “โอเชียน สตาร์ ทริบิวท์ สเปเชียล อิดิชั่น” (Ocean Star Tribute Special Edition) เรือนเวลาสไตล์เรโทรที่มาพร้อมเฉดสีฟ้าแห่งท้องทะเลและประสิทธิภาพการทำงานสุดล้ำสมัย อีกหนึ่งสัญลักษ์แห่งความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นาฬิกาดำน้ำประสิทธิภาพสูงจาก “มิโด” (MIDO) ที่พร้อมให้หนุ่มนักกิจกรรมได้ยลโฉมแล้ววันนี้ “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (GEORGES SCHAEREN) เริ่มก่อตั้งบริษัท MIDO G.SCHAEREN & CO. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน และยังคงไว้ซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วน สำหรับ “โอเชียน สตาร์ ทริบิวท์ สเปเชียล
BMW M1 ตำนานรถสปอร์ตคันแรกที่ติดสัญลักษณ์ M อย่างเป็นทางการตั้งแต่ยุค ’70s และใช้แพลตฟอร์มเครื่องยนต์วางกลางโมเดลแรกของค่ายใบพัดฟ้าขาว (mid-engine BMW คันที่สองคือ i8 plug-in hybrid sports car) ให้ประสิทธิภาพขับเคลื่อนที่ดีและมีการกระจายน้ำหนักที่ยอดเยี่ยม จากเดิมที่วางแผนจะพัฒนาร่วมกับ Lamborghini แต่เหมือนฟ้าลิขิตด้วยปัญหาบางอย่าง ทำให้ BMW นำ M1 กลับมาพัฒนาทั้งหมดแบบ in-house อีกครั้งในปี 1978 และในที่สุด M Division ก็สามารถสร้างรถที่มาทดแทน BMW 3.0 CSL race cars ได้สำเร็จ หลังจัดการปัญหาทั้งหมดเรียบร้อย BMW M1 เริ่มผลิตรถคันแรกได้ในปี 1979 เป็นการเน้นโชว์ไม่เน้นขาย ด้วยป้ายราคาที่สูงลิ่ว ทำให้ยอดขายของมันไม่ดีมากนัก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำคัญอะไร เพราะ M1 คือโปรเจคที่เกิดขึ้นในสนามแข่งอยู่แล้ว ดีไซน์ออกแบบโดย Giorgetto Giugiaro automotive designer ชื่อดังผู้เคยฝากผลงานระดับ
เปิดตัวโมเดลที่แรกกว่า XM ครั้งแรกของ BMW กับรหัสแรงพิเศษ “LABEL RED” กับตำแหน่ง “แรงที่สุด” เท่าที่ BMW production car เคยมีมา นับตั้งแต่ BMW เปิดตัว M standalone car ในร่าง XM ออกมา อาจจะทำให้หลายคนผิดหวังเล็ก ๆ แม้จะมีตัวเลข 644 แรงม้า แรงบิด 800 นิวตันเมตร แต่ความดิบอารมณ์สปอร์ตและความคล่องตัวช่างแตกต่างจาก M1 ที่ยิ่งใหญ่ในอดีตชนิดเทียบกันไม่ได้เลย ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจ BMW เพราะต้องยอมรับว่าวันนี้รถยนต์ SUV เป็นตลาดที่ขายดีสร้างรายได้มากกว่ารถสปอร์ตหลายเท่าตัว แต่ BMW ก็ไม่ปล่อยให้แฟน M ผิดหวังนานเกินไป ด้วยการเผยรหัสร้อนแรง XM LABEL RED อัพเกรดเครื่องยนต์ S68 ความจุ 4.4 ลิตร V8 twin-turbo