เหมือนจะทิ้งทวนก่อนเข้าสู่ยุคของการจูนรถไฟฟ้า Manhart ถึงได้จัดเต็มสร้าง M5 ที่แรงที่สุดเท่าที่สำนักเคยทำมา รหัส MH5 900 สื่อถึงตัวเลขแรงม้าทะลุ 928 horsepower (ปกติมีแต่คนปัดขึ้น แต่ Manhart ปัดเลขแรงม้าลง) 914 lb-ft of torque จากขุมพลัง 4.4-liter twin-turbo V8 engine ในจำนวนจำกัดเพียง 5 คันเท่านั้น เครื่องยนต์ S63 ถูกนำมาอัพเกรดระบบและไส้ในใหม่ทั้งหมด จัดเต็มทุกจุดไม่ว่าจะเป็น carbon fiber intake, Wagner Tuning intercooler, Carillo forged pistons, H-shaft connecting rods สามารถรองรับแรงม้าได้สูงสุดถึง 1,200 HP ระบบไอเสีย racing downpipes พร้อมท่อ stainless steel และปรับจูน ECU เต็มระบบ
หากพูดถึง true icon ของ Volkswagen ต้องยกให้ Golf โมเดลเก่าแก่ที่มาช่วยเติมเต็มตำนานต่อจาก Beetle เปิดประตูสู่โลกแห่ง compact cars ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์วงการรถยนต์ของโลก และขณะที่พวกเรากำลังเข้าสู่ปีใหม่ ซึ่ง VW Golf จะมีอายุครบ 50 ปีบริบูรณ์ ความสำคัญของ VW Golf ตั้งแต่เปิดตัวในปี 1974 หลังใช้เวลาพัฒนานานถึง 20 ปี ผ่านการทดสอบผ่าน prototypes มานับไม่ถ้วน จนได้ผลลัพธ์ทีดีที่สุดสำหรับโจทย์ ณ ตอนนั้น คือการเป็นโมเดลที่เปลี่ยนถ่ายระหว่างยุคเครื่อง air-cooled วางหลังขับหลังใน Beetle สู่ยุคของเครื่องยนต์ water-cooled วางหน้าขับหน้าได้อย่างสวยงาม เป็นโมเดลที่ราคาเอื้อมถึงได้ง่าย มันจึงเป็นรถคันแรกของหลาย ๆ บ้านที่อึด ถึก ทน ดูแลรักษาง่าย และไว้ใจได้เสมอในทุกการเดินทาง ซึ่งหากเราอยู่ในยุค 50 ปีที่แล้ว มันถือเป็นโมเดลที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ของ
“Dream Project #2” Ref. G-D001 ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธีมการพัฒนาที่มีชื่อว่า “BREAK THE BOUNDARY” โปรเจ็กต์ใหม่นี้เดินตามรอย Dream Project ก่อนหน้านี้ที่เป็นที่ระลึกการครบรอบ 35 ปีของ G-SHOCK ออกแบบโดยใช้ AI เข้ามาช่วยปรับแต่งดีไซน์ภายนอก ตัวเรือน กรอบ และสายใช้วัสดุทอง 18K ผ่านการขัดเงาด้วยมืออย่างละเอียดและพิถีถันโดยช่างฝีมือชั้นเลิศ ซึ่งลงลึกไปถึงจุดที่ยากต่อการเข้าถึงทำให้ส่วนประกอบมีความเงางามอย่างน่าเหลือเชื่อ การออกแบบดีไซน์แบบ Generative ที่ใช้ประโยชน์จาก AI ถูกนำมาใช้กับกระบวนการออกแบบภายนอก ข้อมูลที่สะสมมานานกว่า 40 ของการพัฒนา G-SHOCK ที่อ้างอิงตามกรอบการออกแบบที่สร้างสรรค์โดยมนุษย์ ได้รับการป้อนเข้าสู่ระบบ AI เพื่อสร้างโมเดล 3 มิติที่เหมาะสำหรับปัจจัยต่างๆ รวมถึงความแข็งแรงของโครงสร้าง ลักษณะของวัสดุ และวิธีการที่จะใช้ มีการแก้ไขซ้ำด้วยมนุษย์เพิ่มเติมหลังจากที่ได้คำแนะนำจาก AI เพื่อสร้างส่วนประกอบภายนอกที่ให้สัมผัสของการออกแบบที่สร้างสรรค์และเป็นต้นฉบับรวมถึงการใช้งานที่เหนือกว่า ในฐานะที่เป็นวัสดุสำหรับส่วนประกอบภายนอกที่สำคัญ ทองคำ 18k ได้รับการนำมาใช้เพื่อให้ความแวววาวที่ลึกซึ้งและสวยงาม รูปแบบที่ซับซ้อน ดั้งเดิม และแม่นยำของกรอบและสายสร้างขึ้นด้วยกระบวนการหล่อแบบ Lost-wax ที่มักจะใช้ในการทำเครื่องประดับและเครื่องใช้ชั้นดีอื่นๆ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2506 ที่งานตูริน มอเตอร์ โชว์ (Turin Motor Show) ครั้งที่ 45 หนึ่งในงานมหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสมัยนั้น มาเซราติ ได้สร้างความตื่นเต้นด้วยการเปิดตัว “มาเซราติ ควอตโตรปอร์เต้ (Maserati Quattroporte)” สู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก จนถึงปีนี้ นับว่าเป็นการครบรอบ 60 ปีพอดีที่รถยนต์ซีดานสุดหรูตระกูลนี้ยืนยงในวงการยานยนต์และได้ส่งรถรุ่นใหม่ลงตลาดต่อเนื่องมาแล้วถึง 6 เจเนอเรชั่น ในงานฉลองโอกาสพิเศษนี้ มาเซราติได้รวบรวมเหตุการณ์สำคัญของมาเซราติไว้ด้วยกันอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านความก้าวหน้าด้านการผลิต ดีไซน์สุดล้ำ นวัตกรรม ความก้าวหน้าด้านเทคนิค และทุกองค์ประกอบที่ทำให้รถยนต์ของมาเซราติเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมาตลอดกว่าสองศตวรรษที่ผ่านมา ควอตโตรปอร์เต เป็น ยนตรกรรมขั้นสุดที่ได้รวบรวมความโดดเด่นทุกด้านแห่งวงการยานยนต์มาไว้ในคันเดียว และเป็นซีดานหรูที่ตอบทุกโจทย์ของนักขับหลากหลายกลุ่มในสังคม รวมทั้งกลายมาเป็นเซกเมนต์ที่สำคัญของธุรกิจยานยนต์ด้วย เช่นเดียวกันกับรถที่เป็นไอคอนแห่งวงการในแต่ละยุค ควอตโตรปอร์เตได้รับการยกย่องและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้วมากมายนับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในยุค 1960 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ควอตโตรปอร์เตไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองแบบไม่เกรงกลัวอะไร เป็นยนตรกรรมที่มุ่ง สรรค์สร้างความเป็นเลิศด้านดีไซน์ สมรรถนะ และสะท้อนจิตวิญญาณของมาเซราติซึ่งเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างสรรค์รถยนต์ที่เปี่ยมนวัตกรรมอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร และตลอดกว่าร้อยปีที่ผ่านมา มาเซราติได้ผลิตควอตโตรปอร์เตออกสู่ตลาดแล้วกว่า 75,000 คัน
นี่คือ Jingle เสียงจริงของรายการใน Youtube ที่มีชื่อว่า แงะlocker คนอ่าน UNLOCKMEN ที่โตมาในยุค 90s และชอบเล่นเกมแบบเข้าเส้นน่าจะรู้จักรายการนี้หลายคน เพราะมันมีอยู่รายการเดียวแหละที่ทำคอนเทนต์แคสเกมคลาสสิค 8 Bit จากเครื่อง Famicom พร้อมกับให้เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์สนุกสนานว่าด้วยความเป็นมาของเกมนั้น ๆ ไปพร้อมกับเล่นน็อคเกมไปพร้อมกับคนดู แต่ ถึงจะยังไม่รู้จักรายการนี้ เราก็ค่อนข้างเชื่อว่าคุณต้องรู้จักพิธีกร ผู้ดำเนินรายการ และเกมเมอร์ของช่อง ชายหนุ่มทรงผมแอฟโฟร่พร้อมแว่นตากันแดดสีทึบ ที่ชื่อว่า ดีเจ พล่ากุ้ง อย่างแน่นอน “พล่ากุ้ง Magenta / DJ พล่ากุ้ง / เป็นพิธีกร / มีวงดนตรีของตัวเอง / รับจ้างออกรายการ / พิธีกรตามอีเวนต์ / เล่นเกม / แคสเกม / ทำรายการเกม / แล้วก็มีของสะสมที่เป็นเกม / ตอนนี้เป็นเจ้าของรายการของตัวเอง ชื่อรายการ ‘แงะlocker’
วงการรถยนต์คือหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ไม่เคยหยุดนิ่งและเดินหน้าสร้างสิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา โลกใบนี้จึงมีรถยนต์หลายรุ่นที่ประสบความสำเร็จและกลายมาเป็นต้นแบบให้กับรถยนต์ในยุคต่อมา แต่ถ้าพูดถึงรถยนต์จากญี่ปุ่น ประเทศซึ่งปัจจุบันเรารู้ต่างดีว่า พวกเขาคือหนึ่งในมหาอำนาจของวงการรถยนต์โลก แต่ทว่าจุดเริ่มต้นในการสร้างรถยนต์สมรรถนะสูงของพวกเขา เริ่มขึ้นในช่วงเวลาไหน วันนี้ THE ICONIC CAR จะพาทุกคนไปทำความรู้จักช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงหนึ่งในรถยนต์ที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากในเวลานั้น ชื่อของมันคือ Toyota 2000GT ย้อนกลับไปในปี 1960 ญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ช่วงเริ่มสร้างประเทศใหม่หลังยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงเวลานั้นเป็นยุคแห่งความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมการผลิตทุกชนิด แน่นอนว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ก็เช่นกัน แต่ญี่ปุ่นในเวลานั้นไม่ได้เน้นเรื่องสมรรถนะเท่ากับการใช้งานที่เหมาะสม พูดง่าย ๆ คือ ณ ตอนนั้นพวกเขาไม่มีโมเดล 2 ประตูแรง ๆ เหมือนกับค่ายรถยนต์ทางฝั่งยุโรปแต่อย่างใด ยกตัวอย่าง รถของโตโยต้าในตระกูล Toyopet ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกที่นำเข้าไปขายในสหรัฐอเมริกา แต่กลับได้รับฉายาว่า Toymotor เปรียบกับรถยนต์ของเล่น ทำให้เป็นการบ้านที่ต้องพัฒนารถยนต์คันใหม่เพื่อจะลบคำสบประมาทที่เคยได้รับ ขณะเดียวกันกระแสความสนใจรถยนต์และการแข่งรถในประเทศญี่ปุ่นก็เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลพวงมาจากความสำเร็จของ Japanese Grand Prix ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นในปี 1963 และ 1964
ร้อนแรงออกจากโรงงานก็จัดเต็มมาให้ถึง 816 แรงม้า กลายเป็น SL ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ ผลพวงจากการเสริมมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปช่วยเครื่องยนต์ twin-turbocharged 4.0-liter V8 ใน Mercedes-AMG SL63 S E Performance แบ่งเป็นม้าจากเครื่องยนต์ 612 ตัว และมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 204 ตัว รวมให้แรงบิดเต็มกราฟถึง 1,420 นิวตันเมตรพร้อมให้ใช้งานได้ทุกรอบความเร็ว สามารถเปิดหลังคารับลมปะทะใบหน้าที่ความเร็ว 0-100 ได้ใน 2.9 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 317 km/h Mercedes-AMG SL63 S E Performance ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 400-volt แบตเตอรี่ 6.1-kWh พัฒนาโดยทีมงาน AMG’s Electric Drive Unit สำหรับรถตระกูลไฟฟ้า high-performance ของแท้โดยเฉพาะ สามารถคายกระแสไฟได้รวดเร็วพร้อมระบายความร้อนควบคุมอุณหภูมิยืดอายุขัยให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น สามารถขับด้วยไฟฟ้าล้วนได้ 13 กิโลเมตร การจะเป็นรถ
ในปี 1986 ยุคที่ AMG ยังไม่ถูกรวมเข้ากับ Mercedes-Benz เป็นเพียงสำนักแต่งของ Aufrecht (Hans Werner Aufrecht) และ Melcher (Erhard Malcher) แห่งเมือง Großaspach ทีมอาวุธลับหลังบ้านที่ถนัดการปลุกเสกเครื่องยนต์ Mercedes-Benz ให้ทรงพลังสำหรับลงแข่ง Group A และ Group N โดยเฉพาะ ซึ่งมีผลงานระดับ Icon แห่งประวัติศาสตร์คือ Mercedes 300 SEL “Red Pig” คันสีแดงที่เราคุ้นตา ตามมาด้วย AMG ‘The Hammer’ สุดดุดันคันนี้ 1986 500 SEC AMG 6.0 “Wide-Body” คันนี้เป็นรถ original ของแท้มาจากยุคที่ได้รับขนานนามว่า The Hammer ด้วยเลขไมล์เพียง 4,716 km แสดงให้เห็นถึงการเก็บรักษาโดยนักสะสมเป็นอย่างดี
อดีตเป็น Concept ปัจจุบันใกล้เข้าสู่ Production version ภายในปี 2026 แล้วสำหรับ two-seater coupe คันใหม่จาก Toyota จากที่เคยเดากันไปว่าอาจจะเป็น MR2 แต่สรุปแล้วไม่น่าใช่ เพราะมันใช้ขุมพลังไฟฟ้าล้วน ด้านหน้าเน้นดุดันใส่ความสปอร์ตมาเต็มด้วยช่องดักอากาศและกระจังหน้าขนาดใหญ่ ไฟ daytime running lights แนวตั้งที่ฉีกแนวคิดการออกแบบที่ผ่านมาไปอย่างสิ้นเชิง เส้นสายที่เฉียบคมยังลากต่อเนื่องไปถึงด้านท้าย ทำให้ประตู ซุ้มล้อ และ diffuser หลังมีความเป็น Sports car อย่างชัดเจน ซึ่งแม้จะเป็น concept แต่ก็มีรายละเอียดที่ครบสมบูรณ์พร้อมผลิตมาก ๆ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับขุมพลัง Mr. Fumihiko Hazama, chief engineer บอกว่า FT-Se จะใช้ระบบ dual-motor ประกบเพลาหน้าหลังส่งกำลังแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ใช้แบตเตอรี่ high-performance ตัวเดียวกับใน Lexus LF-ZC และหวังว่าจะสามารถทำความเร็ว 0-100 ได้ในเวลาไม่ถึง 3
เห็น Cybertruck โผล่มาอยู่บนเว็บ Tesla Thailand ก็เลยสนใจและลุ้นไปด้วยว่าจะมาขายจริงหรือไม่ ถ้ามาแล้วราคาน่าสนใจ เชื่อว่าหลายคนน่าจะอยากลอง รวมถึงแอดเองด้วย แต่ด้วยสเปคที่ล้ำยุคสมัยไปไกลก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า “แล้วถ้าต้องซ่อม บ้านเราจะทำได้มั้ย?” เอาแค่บอดี้ Metal Alloy ที่ผลิตจาก Stainless Steel panels หนา 3mm แข็งแรงถึงขั้นกันกระสุนได้ ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตขึ้นรูป ซึ่ง Musk เคยบอกว่าเครื่องบีบอัดที่ใช้โรงงานรถยนต์ทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้นอู่นอกหรือช่างแถวบ้านไม่น่าจะมีเครื่องมือที่ซ่อมแซมมันได้ หรือได้ แต่อาจจะใช้เวลานานจนช่างไม่อยากรับงาน เส้นสายที่ตรงและลากยาว แปลว่าช่างต้องซ่อมถึง เคาะจนตรงเป๊ะเท่าโรงงาน จะโปะสีทับ ๆ ก็ไม่ได้อีก เพราะตัวถังเป็นวัสดุเปลือยไม่มีการพ่นสี หรือแม้แต่การเปลี่ยนใหม่ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่ราคาถูก ๆ แน่นอน เพราะต้องเปลี่ยนทั้งชิ้น ในต่างประเทศพึ่งจะมีเจ้าของรถ Rivian R1T โดนชนท้ายมุมบุบธรรมดา แต่เจอบิลราคาค่าซ่อมสูงถึง 1.5 ล้านบาท เพราะมันซ่อมไม่ได้ และบอดี้ที่ผลิตแบบชิ้นเดียว ทำให้ต้องยกเปลี่ยนทั้งชุด หากเป็นวัสดุ Metal Alloy
บ่งบอกเอกลักษณ์ให้ชัดเจนไปอีกขั้น พร้อมฉลองครบรอบ 40 ปี G-Shock ด้วยโมเดลที่เหมาะสำหรับการสะสมที่สุดแห่งปี “Full Metal Polychromatic Accent Series” ดีไซน์ไล่ระดับสีที่ออกแบบอย่างประณีตทุกขั้นตอน ตั้งแต่กรอบโครงสร้างภายนอก ผ่านขั้นตอนการขัดเงาด้วยเทคนิคพิเศษแบบ Hairline สุดพิถีพิถันบน GMW-B5000 และ GM-B2100 FULL METAL ที่ใช้วัสดุโลหะทั้งตัวเรือน G-Shock FULL METAL Series ขึ้นชื่อเรื่องการเลือกใช้วัสดุที่ทันสมัยและทนทาน โครงสร้าง shock-resistant structure และ water resistance กันฝุ่นกันน้ำ ผ่านกระบวนการออกแบบเฉพาะที่เรียกว่า CMF (Color, Material, and Finish) เสริม Resin กันสะเทือนระหว่างตัวเครื่องกับขอบ bezel อีกชั้น ข้อต่อ joint เชื่อมสายกับเคสด้วยระบบ tripod structure เสริมประสิทธิภาพกันกระแทกได้ทั่วทั้งเรือน กันน้ำได้ลึกถึง 20 ATM (200
เรื่องราวของรถสปอร์ต Mazde RX-7 ซึ่งเป็นตำนานจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ที่มีชื่อเสียงกว้างไกลไปทั่วโลก