Life

CONVERSATION WITH ‘เย่-ธนวัฒน์’ นักคราฟต์ดาบ LIGHTSABER ผู้นิยามความเท่ไม่ตามใคร บนเส้นทางชีวิตที่เลือกเอง

By: NTman September 24, 2018

“ชิ้นนี้เป็นงานของปี 1978 สเกล 1:1 เท่าของจริงที่ใช้ถ่ายหนังเลยนะพี่” นี่ไม่ใช่น้ำเสียงที่สื่อถึงความโอ้อวด หรือหวงของ แต่มันคือน้ำเสียงของความภูมิใจ และความสุขที่ได้เล่าเรื่องราวของสิ่งที่หลงใหล ซึ่งถูกเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เราขอยืมหน้ากาก Darth Vader ของ ‘ธนวัฒน์ ใจกล้า’ หรือ ‘เย่’ เพื่อเอามาสัมผัสด้วยความชื่นชม

แม้จะเปิดเรื่องมาด้วยหน้ากาก Darth Vader แต่วันนี้เราไม่ได้มาพูดคุยกับเขาถึงเรื่องราวชีวิตของลอร์ดมืดในตำนานผู้นี้ หรือพูดคุยเกี่ยวกับมหากาพย์ภาพยนตร์อย่าง Star Wars แต่เรากำลังจะพูดถึงอีกสิ่งหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ Darth Vader และ Star Wars รวมถึงเกี่ยวข้องกับตัวของชายหนุ่มวัย 20 ปลาย ๆ คนนี้ เป็นอย่างมาก

เพราะผู้ชายคนนี้ได้เลือกใช้ชีวิตบนเส้นทางของความหลงใหล ทุ่มเทให้กับสิ่งที่สายตาคนทั่วไปตัดสินว่าเป็นแค่ของเล่น เป็นแค่เรื่องเสียเวลาไร้สาระ แต่เสียงวิจารณ์ และคำดูถูกเหล่านั้นไม่อาจต้านทานความตั้งใจของเขาได้ และในตอนนี้หากจะเรียกเขาว่าเป็นนักคราฟต์ดาบ Lightsaber อาวุธทรงพลังในโลกของหนัง Star Wars ซึ่งกลายมาเป็นของเล่น ของสะสมที่มีคุณค่าทางจิตใจในโลกจริง อย่างเต็มตัวก็คงไม่ผิดนัก

“ผมเรียนจบวิจิตรศิลป์ จากลาดกระบัง ก่อนจะมาเป็น Sabersmith ก็ทำงานประจำเป็น Editor เป็นมือตัดต่ออยู่ในบริษัททำอนิเมชัน” เย่แนะนำตัวให้เราฟังสั้น ๆ พร้อมด้วยคำศัพท์ที่คนนอกวงการอย่างเราอาจไม่ค่อยคุ้นหูจนต้องถามให้หายข้องใจ ก่อนที่จะไปพูดถึงถึงเรื่องราวความหลงใหลของเขาในวันนี้

Sabersmith ?

ครับ Sabersmith คือเป็นเหมือน Smith ที่ใช้เรียกช่างตีดาบ นักทำดาบ คราฟต์ดาบขึ้นมา ซึ่งในส่วนของผมนี่มันจะเป็นการคราฟต์ดาบ Lightsaber

จุดเริ่มต้นที่ทำให้หลงใหลดาบ Lightsaber ?

มันเป็นความชอบตั้งแต่เด็ก ๆ ผมชอบดูหนังเกี่ยวกับอวกาศ ชอบอาวุธอวกาศ แล้วก็ชอบเรื่อง Star Wars รู้สึกสนใจในเทคโนโลยีอวกาศ

ใน Star Wars มีอาวุธล้ำ ๆ มียานอวกาศ มีหุ่นยนต์มากมาย ทำไมถึงชอบ Lightsaber ที่สุด ?

จริง ๆ ก็ชอบทุกอย่างใน Star Wars ไม่ว่าจะเป็นยาน ปืน หรือชุด แต่เหตุผลที่ชอบ Lighsaber ที่สุดจนเข้าขั้นหลงใหลนี่ก็เพราะว่า ในเรื่องมันจะเป็นการต่อสู้ระหว่าง Jedi กับ Sith แล้วคนพวกนี้เนี่ยมันจะมีอาวุธคู่กายเป็น Lightsaber ที่ฟันโดนจัง ๆ ด้ามเดียวจอด แถมยังใช้ปัดกระสุน สะท้อนกระสุนบลาสเตอร์ให้ย้อนกลับไปโดนฝ่ายตรงข้ามได้ ซึ่งมันให้ความรู้สึกว่าเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดแล้วในหนังเรื่องนี้

จากความชอบ ความหลงใหล อะไรคือสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจลุกขึ้นมาคราฟต์ดาบ Lightsaber เอง ?

มันต่อยอดจากความชอบ จนกลายมาเป็นความอยากสะสม คือจะบอกว่าผมเริ่มมาสะสมจริง ๆ ก็ช่วงไม่กี่ปีนี้เองนะ ตอนเด็ก ๆ ที่เริ่มดู เริ่มรู้จัก Star Wars ก็อยากได้นู่นนี่มาสะสมนั่นแหละ แต่เราไม่มีตังค์ไง พอโตขึ้นมาเรียนจบ ทำงาน ก็เลยเป็นช่วงที่เริ่มสนองความอยากของตัวเอง เหมือนเก็บกดมาตั้งแต่เด็ก มีอะไรที่เคยอยากได้ก็ไล่ซื้อมาเก็บไว้

พอเริ่มสะสม เริ่มตามหาของที่อยากได้ไปเรื่อย ๆ ก็ได้มาเจอกับงาน Lightsaber เกรดสำหรับนักสะสม ที่มีดีเทล มีวัสดุเหมือนในหนัง ที่เราเคยตื่นตาตื่นใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เลยเหมือนเป็นการเปิดโลกว่า เฮ้ย มันมีของสะสมที่เป็น Lightsaber อยู่เว้ย คราวนี้ก็เลยมาโฟกัสที่การสะสม Lightsaber เป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะสั่งเข้ามาจากเมืองนอก เพราะราว ๆ 4 – 5 ปีก่อนมันยังค่อนข้างหายากในไทย

หลังจากนั้นก็มีเพื่อน ๆ มีคนรู้จักที่เค้าเห็นแล้วอยากได้ มาขอซื้อต่อ เราก็เลยเริ่มสั่งของที่อยากได้มา เแล้วสั่งเผื่อไว้อีกชิ้นเพื่อขายต่อ เอางินมามาซื้อชิ้นใหม่ พอขายไปได้สักพัก ก็เริ่มเห็นงานของฝรั่งที่มีการโมดิฟายดาบติดตั้งบอร์ดวงจร ติดไฟ ใส่เสียงเอฟเฟ็คต์ รวมถึงการคราฟต์ด้ามดาบ เราก็อยากทำแบบเค้าบ้าง อยากเก็บสะสมดาบ Lightsaber ที่เป็นฝีมือของตัวเองบ้าง

แรก ๆ ก็แค่โมดิฟายนิดหน่อย เพราะยังทำงานประจำอยู่ และไม่มีเครื่องมือจริงจังขนาดนั้น เลยทำได้แค่ใส่เสียงเอฟเฟ็คต์ตอนเปิดไฟ ตอนแกว่งดาบ โมให้สามารถถอดเปลี่ยนใบดาบได้ ก็มีทั้งที่ทำเก็บสะสมเอง แล้วก็ทำขายคนที่เห็นงานเราแล้วอยากได้ จนเริ่มมาตั้งเพจ Lightsaber Thailand เอาไว้ลงรูปผลงาน และพูดคุยกับกลุ่มคนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน

ไปเรียนรู้วิธีการโมดิฟายดาบ การคราฟต์ดาบ Lightsaber มาจากไหน ?

ไม่ได้ไปเรียนมาจากไหนเลยครับ พอคิดได้ว่าอยากทำดาบในแบบตัวเองก็สั่งซื้ออุปกรณ์มา แล้วก็ทำ ๆๆๆ ทำแบบไร้กระบวนท่า เรื่องรูปแบบก็ใช้ความรู้สึก ณ ตอนนั้น ว่าอยากทำแบบไหน

ในส่วนของแผงวงจร จะมีตัวบอร์ดสำหรับขายให้กับนักโม Lightsaber ซึ่งมันจะมีบอกรายละเอียดวิธีการต่อวงจรเบื้องต้นอยู่แล้ว ว่าต่อตรงนี้ไฟจะออก ต่อตรงนี้เสียงจะออก หน้าที่ของผมคือมาคิดต่อว่าอยากดีไซน์ให้ไฟมันวิ่งยังไง กะพริบยังไง หรือจะใช้เสียงแบบไหน ลูกเล่นอลังการต่าง ๆ นี่มันขึ้นอยู่กับเราแล้ว ว่าจะประยุกต์ออกมาให้เป็นรูปแบบไหน ซึ่งมันจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ความชำนาญพอสมควร แต่เราก็ค่อนข้างโชคดีที่สมัยเรียนวิจิตรศิลป์ ทางคณะเค้าเปิดกว้างให้ลองอะไรใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์งาน และอย่างที่บอกว่าเราเป็นคนที่ชอบเรื่องของเทคโนโลยี เรื่องของอวกาศมาตั้งแต่เด็ก เลยลามมาถึงเรื่องของการต่อวงจร อิเลคทรอนิคส์ต่าง ๆ ก็เลยได้หยิบเอาความชอบตรงนี้มาใช้

จริงจังกับ Lightsaber จนถึงขั้นออกจากงานประจำ ?

ผมรักงานประจำที่ทำมากเลยนะ ผมชอบอนิเมชั่น ชอบ CG มีความฝันที่อยากทำหนังใหญ่ อยากมีร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แต่พอทำอยู่ 3 – 4 ปี เริ่มรู้สึกว่าไม่ไปไหนซักที มาถึงจุดนึงก็เริ่มคิดว่ากูจะนั่งอยู่หน้าคอมตรงนี้ไปตลอดหรอวะ พอดีกับที่ช่วงนั้นเริ่มสะสม Lightsaber เริ่มสั่งมาโมดิฟายเก็บ และโมขายไปด้วย เลยคิดว่าอยากจะออกมาอยู่กับอีกสิ่งที่ตัวเองหลงใหลมากพอที่จะทุ่มเทเวลาให้กับมันดีกว่า จนสุดท้ายก็ตัดสินใจลาออก มาลุยทำ Lightsaber อย่างจริงจัง

พอออกมาแล้วก็เริ่มคิดการใหญ่ อยากคราฟต์ด้ามดาบด้วยตัวเองบ้าง จากเดิมแค่โมวงจร ใส่เสียง ใส่ไฟ เริ่มอยากทำด้ามที่ออกแบบเอง ก็เลยตัดสินใจขายของเล่นบางส่วนที่สะสมไว้ แล้วไปซื้อเครื่องกลึงมา 2 เครื่อง ทั้งที่ยังทำไม่เป็น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช้ยังไง แค่มีความอยากล้วน ๆ

ซึ่งต้องขอบคุณพ่อผมมาก ๆ เพราะตอนที่ได้เครื่องมาแล้วยังงง ๆ ยังไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า พ่อก็พูดมาคำนึงว่า “เครื่องมืออยู่กับเราแล้วก็ทำไปเถอะ เดี๋ยวมันก็ทำได้ซักวันนึง” ผมก็เลยใช้ความรู้สึกตอนนั้น ที่รู้สึกว่าต้องทำได้แล้วล่ะ เชื่อความรู้สึกตัวเอง คิดว่ายังไงก็ทำได้ แล้วก็ลุย ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ทำได้

ช่วงที่เริ่มคราฟต์ด้าม Lightsaber เองนี่เจอกับอุปสรรคอะไรบ้าง ?

(หัวเราะ) อุปสรรคนี่มาเพียบ เพราะผมเริ่มจากคนที่ไม่รู้อะไรเลย ช่วงแรก ๆ พวกเครื่องมือที่ใช้ พวกสว่าน รวมถึงชิ้นงานที่เราทำมันเสียทิ้งไปแบบนับไม่ถ้วน เพราะทำไปด้วยความไม่รู้ว่ามันต้องใช้กำลังรอบของเครื่องเท่าไหร่ ประสบการณ์ก็ยังไม่มี ซึ่งมันก็มีท้อเหมือนกันนะ แต่เราเลือกทางนี้แล้ว เราอยากทำมันด้วยฝีมือตัวเองให้ได้ ก็เลยเป็นแค่ความเซ็ง ความท้อ แต่ไม่มีคำว่าเลิกเหอะโผล่เข้ามาในหัวเลยนะ

ทีนี้พอเจอปัญหา ผมก็ต้องไปถามความรู้เอาจากรุ่นพี่ที่เป็นช่างกลึง เรียนรู้มาเรื่อย ๆ จนรู้ว่าสว่านแบบนี้ใช้กับทองแดงนะ สว่านแบบนี้ใช้กับทองเหลือง อีกแบบเค้าใช้กับอลูมิเนียม วัสดุแต่ละแบบก็ต้องใช้เครื่องมือต่างกัน นับรวมเวลาที่ซื้อเครื่องกลึงมา 2 ปี ผมใช้เวลาเรียนรู้ลองผิดลองถูกอยู่ประมาณปีกว่า ๆ จนเริ่มมาคล่องตัว พูดได้ว่ามีความชำนาญเมื่อช่วงประมาณ 8 เดือนที่ผ่านมานี่เอง

ขั้นตอนไหนของการคราฟต์ดาบ Lightsaber ที่คิดว่ายากที่สุด ?

คงเป็นขั้นตอนที่จะเอาทุกอย่างใส่ลงไปในด้าม เพราะช่องว่างในตัวด้ามนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางแค่ประมาณ 22 มิลลิเมตร – 1 นิ้ว แล้วแต่ประเภทของ Lightsaber ความยากคือต้องคิดว่าจะเอาแผงวงจร รวมถึงถ่านก้อนใหญ่ เข้าไปอยู่ในนั้นทั้งหมดยังไง แถมยังต้องคิดเผื่อในส่วนที่ต้องโชว์รายละเอียดความสวยงามของงานด้ามดาบที่เราคราฟต์ขึ้นมาก็เลยต้องใช้เวลาดีไซน์การจัดวางค่อนข้างนาน

ในการทำ Lightsaber แต่ละเล่มต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ?

ด้ามที่เราคราฟต์เต็มรูปแบบ ต้องออกแบบ สเก็ตช์ภาพร่าง กลึงชิ้นส่วนสร้างโครงแชสซีภายใน ตกแต่งลวดลาย ใส่วงจรไฟ ใส่เสียง ทำสี ใส่คริสตัล นี่ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะเสร็จ ส่วนด้ามที่แค่เอามาติดตั้งวงจรให้มีไฟ มีเสียงจะใช้เวลาทำไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ในกรณีนี้ถ้าจะนานจริง ๆ น่าจะเป็นช่วงเวลารอของที่สั่งเพื่อเอามาทำมากกว่า เพราะบางทีก็ต้องสั่งจากอเมริกา ไม่ก็อังกฤษเข้ามา

ทุ่มเทเวลาให้กับสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นแค่ของเล่น เป็นเรื่องไร้สาระ แบบสุดตัวขนาดนี้ เคยเจอกับคนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำอยู่บ้างหรือเปล่า ?

มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะต้องเจอกับคนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมทำอยู่ เราก็แค่ทำอย่างที่เราอยากทำต่อไป แต่ที่น่าแปลกคือคนเหล่านั้นเป็นคนที่ชื่นชอบ Lightsaber เหมือน ๆ กัน แต่เค้าไม่เข้าใจในงาน Custom งานโม รวมถึงงานคราฟต์ Lightsaber ไม่ได้ให้คุณค่าในฐานะของสะสม รวมถึงสบประมาทว่าผมคงทำไม่ได้หรอก ทั้งที่งานโหด ๆ ของ Sabersmith เทพ ๆ ในต่างประเทศ นี่เปิดประมูลกันแตะหลักหมื่นเหรียญสหรัฐเลยนะ

ส่วนที่โดนบ่นว่าไร้สาระนี่เป็นอะไรที่ใกล้ตัวมาก ๆ เพราะมาจากแฟนเก่าของเผมเอง (หัวเราะ) ซึ่งตอนแรก ๆ เค้าก็สนับสนุนนะ แต่อาจเพราะเราใช้เวลากับ Lightsaber มากไป จนกลายเป็นปัญหาเรื่องไม่มีเวลาให้ ก็เลยมีโมเม้นต์ที่โดนบ่นว่าจะทำดาบไปถึงเมื่อไหร่ มันไร้สาระ ซึ่งเราก็มีแอบคิดในใจว่ามันคือสิ่งที่เราหลงใหล และมันยังสร้างรายได้เสริมให้กับเรา มันจะไร้สาระได้ยังไง และก็ยังคงก้มหน้าก้มตาทำดาบต่อไป

แต่เราก็ไม่ได้เถียงอะไรเค้า และเราก็เข้าใจเค้านะ เพราะก็ต้องยอมรับว่าเราบ้าคลั่งกับดาบมากจริง ๆ สมัยทำงานประจำ เข้างาน 10 โมงเช้า ทำงานตัดงานยาว ๆ จนถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง กลับบ้านมาก็มานั่งโมดาบทั้งของที่ทำสะสมเอง และของคนที่มีคนสั่งทำจนถึงตี 4 ตี 5 ถึงจะได้นอน แล้วค่อยตื่นไปทำงานต่อ บางวันนี่แทบไม่ได้นอนด้วยซ้ำ

ตอนนี้พอใจกับผลงานของตัวเองประมาณไหน ?

ตอนนี้ค่อนข้างพอใจกับผลงานตัวเองในระดับนึงเลย เพราะเป้าหมายของเราไม่ใช่การเป็น Sabersmith ชื่อดังระดับโลก หรือเป็นสุดยอดนักคราฟต์ดาบที่แรงบันดาลใจให้กับใครขนาดนั้น หากย้อนไปจุดเแรกเริ่มจริง ๆ มันก็แค่อยากทำ ในสิ่งที่ชอบ อยากมีงานคราฟต์ Lightsaber ที่เป็นของตัวเองเก็บเอาไว้

ซึ่งตอนนี้ สิ่งที่อยากทำ ผมก็ทำมันได้แล้ว จะเรียกว่าบรรลุเป้าหมายก็ได้ สิ่งที่ตามมานอกเหนือจากนี้มันเหมือนเป็นผลพลอยได้ กับการที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ ในเพจ Lightsaber Thailand รวมถึงคนที่เคยมาสั่งทำดาบกับเรา เข้ามาบอกว่าฝีมือของเรานั้นมีลำดับขั้นที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงมีชาวต่างชาติเริ่มรู้จักและชื่นชอบผลงานของเรา ที่สำคัญคือเราสามารถหาเลี้ยงตัวเองจากสิ่งที่หลงใหลได้ เท่านี้เราก็พอใจ และมีความสุขกับมันมากแล้ว

เย่ ทิ้งท้ายเรื่องราวเอาไว้อย่างน่าประทับใจ และคำว่า “แค่อยากทำในสิ่งที่ชอบ” นั้นช่วยเพิ่มความหมายของรอยสักรูป Lightsaber ที่แขนของเขา ซึ่งเราเพิ่งจะสังเกตเห็นก่อนจบการสนทนา ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ก่อนจะลากลับไปทำดาบต่อ เย่ได้ฝากถึงคนที่กำลังทุ่มเททำในสิ่งที่หลงใหล แต่ตอนนี้ยังมองไม่เห็นปลายทางของความสำเร็จ มองไม่เห็นเส้นทางของตัวเองได้ชัดเจนเท่ากับที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ว่า

“อยากให้เชื่อความรู้สึกตัวเอง เพราะผมเริ่มต้นมาจากสิ่งนั้น มันมาจากคำในหนัง ที่บอกว่าให้เชื่อในความรู้สึกตัวเอง แล้วก็ทำตามความรู้สึกนั้น และอีกประโยคคือ ให้ทำเลย ไม่ต้องรอ มันไม่มีคำว่าลอง แค่เชื่อและลงมือทำเลย เหมือนตอนที่เราลาออกจากงาน แล้วตัดสินใจซื้อเครื่องกลึงมาเริ่มต้นคราฟต์ดาบด้วยตัวเอง ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสุดท้ายมันจะเป็นยังไง แค่มีความรู้สึกว่าต้องทำ แล้วผมก็ทำเลย ไม่คิดจะลองด้วย”

“แต่การที่บอกให้ใช้ความรู้สึก ชอบอะไรก็ทำเลย ผมเข้าใจนะว่าความเป็นจริงมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะมันไม่มีอะไรการันตีผลลัพธ์ที่รออยู่ปลายทาง และแต่ละคนมีข้อจำกัดในชีวิตที่ไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายความรู้สึกของตัวเอง บวกกับความกล้า และความบ้า ความหลงใหลในสิ่งนั้น ๆ ที่มากพอ จะเป็นสิ่งที่คอยบอกจังหวะที่เหมาะสมในการที่จะกระโจนเข้าไปทุ่มเทกับอะไรซักอย่างโดยไม่สนว่าปลายทางจะเป็นยังไง”

และนี่ก็เป็นเรื่องราวของความมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ทุ่มเทให้กับสิ่งที่ตัวเองหลงใหล ลุกขึ้นมาลุยกับมันอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องหวังให้ใครมาเข้าใจ เลือกทำสิ่งที่ใจอยากโดยไม่ได้มองความสำเร็จเป็นเป้าหมายปลายทาง ซึ่งต้องขอบคุณ “AXE YOU COOL CHARGE ชาร์จความมั่นใจด้วยเสน่ห์หอมเฟรชสุดคูล” ที่สนับสนุนให้เราได้พาชาว UNLOCKMEN ทุกคนไปสัมผัสกับมุมมองความเท่ ที่ไม่ต้องตามใคร ขอแค่เป็นตัวเองให้สุด เพราะแค่ได้ทำในสิ่งที่เป็นตัวเองก็เท่ที่สุดแล้ว

NTman
WRITER: NTman
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line