Life

CRISTIANO RONALDO ดาวเตะแห่งยุค สัญลักษณ์ของความมุ่งมั่น แม้ความสำเร็จมากมายก็ไม่อาจหยุดเขาไม่ให้ก้าวต่อ

By: NTman December 28, 2018

หากจะให้เอ่ยชื่อยอดนักเตะในยุคนี้ ชื่อของ Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro หรือ Cristiano Ronaldo เจ้าของฉายา CR7 คงเป็นหนึ่งในชื่อแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึง ด้วยเกียรติประวัติ ถ้วยรางวัล และสถิติมากมายที่เขาได้รับ รวมถึงลีลาการวาดลวดลายในสนาม ทั้งความรวดเร็ว คล่องแคล่ว แข็งแกร่ง และ จิตวิญญาณเพชรฆาตในการถลุงประตูของคู่ต่อสู้ในทุกรูปแบบ ล้วนแล้วแต่ทำให้ชื่อของ Cristiano Ronaldo ถูกตราตรึงอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลทั่วโลกแม้จะไม่ได้เชียร์ทีมที่เขาค้าแข้งอยู่ก็ตาม

ท่ามกลางความสำเร็จอันท่วมท้น สิ่งที่แตกต่างจากนักเตะระดับโลกคนอื่น ๆ คือ Cristiano Ronaldo มักไม่ได้ถูกพูดถึงในแง่มุมของนักเตะสกิลเทพ ผู้มีฝีเท้าพรสวรรค์แบบฟ้าประทานมาตั้งแต่เกิดมากนัก แต่ความยอดเยี่ยมของเขาถูกพิสูจน์สู่สายตาของพวกเราด้วยเรื่องราวความมุ่งมั่น ตั้งใจ รวมถึงวินัย และทัศนคติเชิงบวกที่ยอดเยี่ยม ซึ่งทำให้เรื่องของพรสวรรค์ที่หากว่ามีอยู่จริง ก็คงไม่ได้สำคัญไปกว่าหัวจิตหัวใจแห่งความทุ่มเทของเขาที่มีให้กับฟุตบอล จนสามารถระเบิดศักยภาพต่อยอดพรสวรรค์จากนักเตะฝีเท้าดีที่มีอยู่ไม่ใช่น้อย ยกระดับสู่การเป็นสุดยอดนักเตะที่น้อยคนนักจะก้าวข้ามกับดักของความสำเร็จเพื่อมาถึงจุดนี้

และถึงแม้พวกเราต่างมองว่าจุดที่เขายืนอยู่คือยอดหอคอยของความสำเร็จที่เพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่าง แต่โดยส่วนตัว Cristiano Ronaldo ที่ขณะนี้อยู่ในวัย 33 ปี วัยที่ถือเป็นช่วงเวลาซึ่งเหล่านักเตะพรสวรรค์ ดาวรุ่งที่เคยเจิดจรัสแสงทั้งหลาย ต่างโรยรา บ้างก็ยุติเส้นทางนักเตะไปแล้วมากมายหลายคน แต่เขายังคงฝึกฝน พัฒนา ดูแลศักยภาพร่างกาย และยังคงกระหายที่จะไล่ล่าความสำเร็จบนเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลของเขาต่อไปเรื่อย ๆ ประหนึ่งว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้นยังไม่เคยได้สัมผัสกับห้วงเวลาแห่งความสำเร็จมาก่อน

ย้อนไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นเส้นทางความสำเร็จของ Ronaldo หลังจากลืมตาขึ้นมาดูโลกเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปี 1985 ที่เกาะ Madeira ประเทศโปรตุเกส ใช้ชีวิตเติบโตขึ้นมาภายใต้ครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยนัก น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามีหัวจิตหัวใจนักสู้เพื่อจะที่จะพาตัวเองและครอบครัวไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า และสิ่งที่จะพาเขาไปถึงฝั่งฝันได้ก็เห็นจะเป็นการเตะฟุตบอลข้างถนน กีฬาที่เด็กผู้ชายแทบทุกคนในย่านที่เขาอยู่อาศัย ใช้เป็นสิ่งบันเทิงใจที่แลกมาด้วยราคาที่ไม่แพง

อาจเพราะเติบโตมาพร้อมกับการเล่นฟุตบอลมาโดยตลอด ทักษะต่าง ๆ จึงเหมือนถูกปลูกฝังในสายเลือดโดยอัตโนมัติ และด้วยหน่วยก้านที่ดี ในปี 1992 Cristiano Ronaldo วัยเพียง 7 ขวบจึงได้มีโอกาสเป็นนักเตะให้กับ Andorinha สโมสรสมัครเล่นที่พ่อของเขาทำงานอยู่ ก่อนที่ในปี 1995 จะย้ายไปเซ็นสัญญากับ Nacional ทีมสโมสรท้องถิ่น และเติบโตไปอีกขั้นกับการเข้าสู่ทีมเยาวชนของ Sporting Lisbon ทีมใหญ่ของโปรตุเกสในปี 1997

หลังจากเตะกับทีมเยาวชนอยู่ 5 ปี ในปี 2002 ก็ถึงเวลาที่หนุ่มน้อย Cristiano Ronaldo วัย 17 ปี ได้ฉายแสงในทีมชุดใหญ่ของ Sporting Lisbon เปิดตัวแมทช์แรกแบบหล่อ ๆ ด้วยการจบสกอร์ไป 2 เม็ด แถมยังติดทีมชาติโปรตุเกส ชุดอายุไม่เกิน 17 ปี ไปโชว์ฟอร์มในศึกชิงแชมป์ยุโรป – U17 จนทำให้ชื่อเสียงของเจ้า Ronaldo ขจรขจายไปทั่วยุโรป

จนกระทั่งในปี 2003 ความสามารถอันไม่ธรรมดาของ Ronaldo ก็ได้ไปเข้าตา Alex Ferguson โคตรกุนซือแห่งทีม Manchester United เข้าอย่างจัง เมื่อครั้งที่พาทีมปิศาจแดงไปเตะอุ่นเครื่องกับ Sporting Lisbon ในเดือนสิงหาคม ปี 2003 และ ความจี๊ดจ๊าดของ Cristiano Ronaldo ก็นำพาให้ทีมของเขา เอาชนะ Manchester United ไป 3 – 1 ร้อนถึงเฟอร์กี้ ที่ได้เห็นฟอร์มสะเด่าแบบจะ ๆ คาตา จนต้องรีบคว้าตัว Cristiano Ronaldo มาร่วมชายคา Theatre of Dreams แบบทันควัน ด้วยค่าตัว 12.4 ล้านปอนด์ สร้างสิถิตินักเตะดาวรุ่งที่ค่าตัวสูงที่สุดในอังกฤษ ณ ขณะนั้น พร้อมรับสืบทอดตำนานเบอร์ 7 ของ Devid Beckham ที่เพิ่งย้ายออกไปร่วมทีม Real Madrid

หากจะบอกว่าทีม Manchester United และ Alex Ferguson คือผู้เจียระไน Cristiano Ronaldo จากนักเตะฝีเท้าดีทั่ว ๆ ไป ให้กลายเป็นเพชรเม็ดงามก็ไม่ผิดนัก เพราะลีกสูงสุดของอังกฤษนั้นโหดหินกว่าที่คิด แม้ฤดูกาล 2003/2004 จะเริ่มต้นได้ดี อีกทั้งยังปิดฤดูกาลอย่างน่าประทับใจ ซัดไป 1 ตุงในนัดชิง FA CUP พาทีมลอยลำคว้าแชมป์ไปอย่างชื่นมื่นด้วยสกอร์ 3 – 0 พร้อมคว้ารางวัล Sir Matt Busby Player of the Year  ประจำฤดูกาลไปครอง แต่ในฤดูกาลต่อมา Cristiano Ronaldo กลับไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีเหมือนเดิม และต้องผจญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสไตล์การเล่นบอลชายเดี่ยว ที่เน้นเลี้ยงบอล สับขาหลอกไปมา พยายามโชว์ทักษะจนทำจังหวะของทีมเสีย จน Alex Ferguson ต้องเรียกเข้ามาตักเตือน ก่อนที่อนาคตของ Cristiano Ronaldo จะจบลงเหมือนดาวดังจากต่างประเทศรายอื่น ที่ต้องมาดับแสงลงใน Premier League

จากการปรับทัศนคติของ Alex Ferguson รวมถึงเสียงก่นด่าของแฟนบอลที่ฝากความหวังไว้กับตำนานเบอร์ 7 ของทีม แทนที่แรงกดดันมหาศาลจะทำให้เขาท้อถอดใจ ยอมแพ้ถอยกลับไปวาดลวดลายยังลีกบ้านเกิดที่คุ้นเคย แต่ Cristiano Ronaldo กลับเปลี่ยนแรงกดดัน ให้กลายเป็นแรงผลักดันศักยภาพตัวเอง ทั้งทางด้านร่างกายจากหนุ่มเพรียวบาง การเป็นชายผู้เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแกร่งพร้อมรับแรงปะทะสุดโหดตามสไตล์บอลอังกฤษ และไม่หยุดพัฒนาทักษะการเล่น จนขึ้นชื่อได้ว่าเป็นนักเตะที่มีวินัย และซ้อมโหดที่สุด แม้ในวันแข่งขัน เมื่อจบแมทช์เขาก็ยังคงอยู่ที่สนามจนดึกอื่นเพื่อทำการกายภาพฟื้นฟูร่างกายตัวเองให้พร้อมสำหรับการฝึกหนักในวันต่อ ๆ ไป และผลของความมุ่งมั่นพยายาม คือความสำเร็จมากมายของ Cristiano Ronaldo ในสีเสื้อ Manchester United ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ Premier League 3 สมัย , UEFA Champions League อีก 1 สมัย รวมถึงคว้าแชมป์ในรายการอื่น ๆ และรางวัลส่วนตัวอีกมากมาย และที่สำคัญคือเขายังเป็นนักเตะคนแรกในรอบ 40 ปี ของ Manchester United ที่ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี FIFA Ballon d’Or ในปี 2008

หลังจากอิ่มตัวกับ Manchester United เขาก็ได้ย้ายไปสเปนเพื่อค้นหาความท้าทายใหม่ ๆ ด้วยการเล่นให้ยอดทีมแห่งยุโรปอย่าง Real Madrid ในปี 2009 ทำสถิตินักเตะค่าตัวสูงที่สุดในโลก ณ ตอนนั้น ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ และการไปอยู่ท่ามกลางดาวดังเต็มทีม ก็ไม่ได้ทำให้รัศมีของ Cristiano Ronaldo ถูกบดบัง ด้วยสิ่งเดิม ๆ ที่เค้ายึดมั่นมาตลอดนั่นคือวินัย และความกระหายในการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง  ทำให้เขายังคงเป็นเพชรฆาตรจอมถล่มประตูสุดโหด กดไป 450 ประตู จากการลงเล่นในนามราชันชุดขาวทุกรายการรวม 438 นัด ซึ่งเฉลี่ยออกมาเป็นการสังหารประตูได้ 1 เม็ดกว่า ๆ ทุกนัดที่ลงสนาม ซึ่งเป็นสถิติที่โคตรโหด และยังทำให้เขาได้มาอีกหนึ่งสถิตินั่นก็คือ ตำแหน่งนักเตะผู้ทำประตูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร   โดยลูกยิงก่อนอำลาทีม Real Madrid ที่การันตีความโหด และร่างกายอันสมบูรณ์แบบในวัย 33 ปีของเขาได้เป็นอย่างดี คงหนีไม่พ้นลูกลอยตัวจักรยานอากาศฟาดบอลเต็มแข้งผ่านมือสุดยอดนายทวาร Gianluigi Buffon เข้าไปตุงตาข่าย สวยงามถึงขนาดที่แฟน ๆ ทีมคู่แข่งอย่าง Juventus ถึงกับยืนปรบมือซูฮกให้ในความสุดยอดของเขา

ซึ่งช่วงขวบปีที่ Cristiano Ronaldo อยู่กับ Real Madrid จะเรียกว่าเขานั้นประสบความสำเร็จในอาชีพฟุตบอลมาแล้วแทบทุกอย่างก็คงไม่ผิดนัก กับการคว้าแชมป์ถ้วยสำคัญอย่าง UEFA Champions League 4 สมัย, แชมป์ La Liga ลีกสูงสุดของสเปนอีก 2 สมัย รวมถึงความสำเร็จในนามทีมชาติที่เป็นกัปตันพาทีมโปรตุเกสคว้าแชมป์ EURO 2016 และความสำเร็จส่วนตัวกับการคว้ารางวัล Ballon d’Or เพิ่มเติมอีก 4 สมัย รวมเป็น 5 สมัย ซึ่งเป็นสถิติที่มากที่สุด เทียบเท่ากับ Lionel Messi อีกหนึ่งดาวเตะชาวอาร์เจนตินา ที่ขับเคี่ยวความเป็นสุดยอดกับ Ronaldo มาโดยตลอด

และในตอนนี้แม้ Cristiano Ronaldo จะมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง ทั้งเกียรติยศ ที่มีแทบจะครบเท่าที่นักฟุตบอลคนหนึ่งจะทำได้ แต่เขายังคงไม่หยุดเดินทางไล่ล่าความสำเร็จต่อไป จากที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าความสุขของเขาคือการได้ยิงประตู บางครั้งแมทช์ใหญ่ ๆ อย่างนัดชิง อาจยังไม่สามารถกระตุ้นไฟในใจเขาได้มากเท่ากับแมทช์ธรรมดา ๆ ที่เขาเคยระเบิดฟอร์มยิงไปได้กว่า 5 ประตู ด้วยเป้าหมายที่เรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่กว่ารางวัลมากมายที่เขาได้รับ ความสุขที่จะรักษาร่างกายให้เล่นฟุตบอลต่อไปได้อีกนาน ๆ ความต้องการพัฒนาศักยภาพให้พร้อมที่จะระเบิดประตูในทุกแมทช์ ทำให้เขาได้ออกเดินทางอีกครั้งในนามของผู้เล่นทีม Juventus แห่งอิตาลี ด้วยค่าตัว 112  ล้านยูโร ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของ Ronaldo ในฐานะผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร

และเราเชื่อว่าชายคนนี้จะยังคงสามารถสร้างสถิติใหม่ ๆ ไปได้อีกหลายปี เพราะ Douglas Costa เพื่อนใหม่ในทีมของเขา เพิ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ตั้งแต่เป็นนักเตะอาชีพมา ยังไม่เคยพบเคยเจอใครที่ทุ่มเทให้กับการซ้อม และการดูแลตัวเองอย่างบ้าคลั่งเท่ากับเขามาก่อน แต่จริง ๆ แล้วมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะนี่แหละคือ Cristiano Ronaldo สัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นที่เข้มข้น นักเตะผู้เป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ และคงไม่มีอะไรมาหยุดยั้งก้าวเดินต่อไปของเขาได้ง่าย ๆ

สุดท้ายนี้ เราหวังว่าเรื่องราวของ Cristiano Ronaldo  จะทำให้ใครหลายคนลองหันมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า WHAT STOPS YOU? เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการพาตัวเองก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หวั่นว่าจะมีอะไรมาขวาง เพราะไม่ว่าอะไรก็ตามที่เข้ามาหยุด ขอเพียงเชื่อมั่น  และตั้งใจพุ่งทะยานออกไปอย่างเต็มพลัง สักวันหนึ่งจะต้องก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ แม้สิ่งที่ฉุดให้เราไปต่อมันคือความสำเร็จที่ทำให้เรารู้สึกว่าเพียงพอแล้ว แต่มันน่าจะดีกว่าหากเราเลิกที่จะหยุดอยู่กับที่ แล้วผลักดันคำว่าดีที่สุด… ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่าชีวิตเราก็เหมือนมอเตอร์ไซค์ ถ้าหยุดออกแรงบิด ก็หมดสิทธิ์ไปข้างหน้า WHAT STOPS YOU? มุ่งไป อย่าให้อะไรมาหยุด

#WHATSTOPSYOU? #มุ่งไปอย่าให้อะไรมาหยุด #รถจักรยานยนต์ฮอนด้า

NTman
WRITER: NTman
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line