FASHION

“The History of Ray-Ban” จุดเริ่มต้น วันล่มสลาย และการกลับมาใหม่ของแว่นกันแดดสุดคลาสสิค

By: HYENA March 18, 2017

เผลอแป๊ปเดียว นี่ก็กำลังจะเข้าสู่หน้าร้อนกันอีกแล้ว แต่อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่า อากาศบ้านเรานั้น ต่อให้เป็นช่วงปลายปี หรือหน้าหนาว แสงแดดอันรุนแรงก็ไม่ค่อยจะปราณีคนไทยตาดำๆ อย่างพวกเรา เพราะฉะนั้น นอกจากเสื้อผ้า, หมวก, ร่ม หรือ ครีมกันแดดแล้ว ก็ยังมีอุปกรณ์อีกชิ้นนึง ที่พวกเราควรใส่มันทุกครั้งเมื่อออกไปเผชิญแสงอันเจิดจ้า นั่นก็คือ แว่นกันแดด

ถ้าพูดถึงแว่นกันแดดแล้ว แบรนด์แว่นตาที่มีคนรู้จักมากที่สุด ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และเป็นแบรนด์แว่นที่มีคนจดจำมากที่สุด ด้วยรูปทรง และการออกแบบที่เป็นอมตะ ทำให้มันเป็นแบรนด์แว่นตาที่ถูกเลียนแบบมากที่สุดในโลก  เชื่อว่าหลายคนคงพอจะนึกออกกันบ้างแล้ว กับแบรนด์แว่นตาที่มี Signature “RB” อยู่ที่มุมของเลนส์แว่น วันนี้เราจะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ความล้มเหลว และการกลับมาของ Iconic Sunglasses ที่ชื่อ  “Ray-Ban”

Ray-Ban-Old-Advertisement

Gen.-MacArthur-w-aviatorach

The Dawn

ก่อนหน้าจะมี Ray-Ban นักบินชาวอเมริกัน ทุกคนจะต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันมากมายหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ แว่นตา แต่ในสมัยนั้น แว่นตาที่นักบินใช้สวมใส่ มันมีขนาดที่ใหญ่ คล้ายกับแว่นดำน้ำ ทำให้ในหลายๆ ครั้ง นักบินรู้สึกอึดอัด ไม่คล่องตัว จนผู้เชี่ยวชาญด้านการบิน และอดีตทหารอากาศอย่าง John Macready ได้ติดต่อไปที่ Bausch&Lomb เพื่อขอให้ช่วยออกแบบ อุปกรณ์ที่สามารถปกป้องดวงตา เพื่อช่วยลดแสงสว่างสีฟ้า และแสงจากพระอาทิตย์ จนกระทั่งในปี 1937 B&L ได้เปิดตัว “Ray-Ban” รุ่น Aviator ที่สามารถป้องกันแสงสะท้อน และแสงสีเขียวได้ ทำให้  Aviator  กลายเป็นที่รู้จักของประชาชนอย่างแพร่หลาย เมื่อหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง ลงภาพของนายพล  MacArthur  ที่นำเครื่องลงจอดในประเทศฟิลิปปินส์ พร้อมสวมแว่น  Ray-Ban  สุดเท่บนใบหน้า 

ray-ban-outdoorsman-shooter

ในช่วงยุค 30s และ 40s Ray-Ban ได้พัฒนาแว่นของพวกเค้า ออกมาเพิ่มอีก 2 รุ่น นั่นก็คือ Outdoorsman กับ Shooter แว่นกันแดดที่ออกมาใหม่ในครั้งนี้ ไม่ได้ถูกทำขึ้นเพื่อนักบินสวมใส่อย่างเช่นในครั้งก่อน มันเป็นแว่นที่ถูกคิดค้น และพัฒนาเลนส์ของแว่นขึ้นมาใหม่  นั่นก็คือ เลนส์แบบ Gradient ไล่ระดับสี และเลนส์กระจกสะท้อน โดยในภายหลัง พวกเค้าส่งแว่นเหล่านี้ไปให้กับเหล่าทหาร ที่กำลังเข้าทำศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อช่วยป้องกันดวงตาจาก แสง และฝุ่นต่างๆ ในสนามรบ นับได้ว่า เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับทหารในช่วงสงครามเลยทีเดียว

James-Dean-RayBan-Wayfarers-Celebrity

Rise to Glory

ชื่อเสียงของ Ray-Ban เป็นที่รู้จักมากขึ้น จนกระทั่งเข้ายุค 50s ที่ถือว่าเป็นยุคทองของ Ray-Ban อย่างแท้จริง เมื่อได้มีการเปิดตัว แว่นกันแดดรุ่นใหม่ออกมา นั่นก็คือ Ray-Ban รุ่น  “Wayfarer”  นั่นเอง ในยุคนั้น ว่ากันว่า มีเพียง 3 เรื่องเท่านั้นที่คนจะพูดถึง หนึ่งคือเครื่องบิน สองคือดนตรี  Rock and Roll  และสามคือ  Ray-Ban Wayfarer

ด้วยความช่วยเหลือจากสื่อต่าง ๆ ทำให้ประชาชนได้รู้จักกับ  Wayfarer  ทำให้มันกลายเป็นแว่นตาที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี นอกจากนี้เหล่าคนดังแห่งยุคหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น  Audret Hepburn, Marilyn Monroe  หรือแม้กระทั่ง  James Dean  ต่างก็ใส่  Wayfarer  กันทุกคน ทั้งในจอและนอกจอ นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของ Ray Ban ที่ทำให้คนรู้สึกว่า แว่นกันแดดของ Ray-Ban ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ป้องกันสายตา แต่มันกลายเป็น  Key Piece  ชิ้นสำคัญในหมู่คนแฟชั่น นอกจากการมาของ Wayfarer แล้ว Ray-Ban ยังสร้างสรรค์อีกหนึ่งนวัตกรรมเลนส์แบบ Photchromic ที่เป็นฟิลม์ Polymer สามารถเปลี่ยนสีเลนส์ให้เข้มขึ้นทันทีที่สัมผัสกับรังสี UV อีกด้วย

ray-ban-signet-caravan

ทาง Ray-Ban เมื่อเห็นว่า Wayfarer กำลังไปได้สวย จึงไม่รอช้า ตัดสินใจส่งกรอบแว่น 2 รุ่นใหม่ ออกมาอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ Signet และ  Caravan  ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ยอดเยี่ยม ถึงแม้จะไม่ดีเท่ากับ Wayfarer ก็ตาม มันก็ยังคงทำให้ชื่อเสียงของ Ray-Ban พุ่งขึ้นไปอยู่ในรายชื่อแบรนด์แว่นหัวแถว ที่คนพูดถึงมากที่สุดในขณะนั้น และจากเดิมที่อาจจะมีเพียงผู้ชายเท่านั้น ที่นิยมใส่แว่นของ Ray-Ban ก็กลับกลายเป็นว่า ผู้หญิงก็อยากที่จะใส่มันบ้างเช่นกัน ทาง Ray-Ban จึงจัดการเปิดสายการผลิตแว่นสำหรับผู้หญิงเพิ่มขึ้นมาด้วยความมั่นใจ และถือว่าเป็นการลงทุนขยายตลาดที่ได้รับเสียบตอบรับเป็นอย่างดี

ray-ban-80s

Night Falls

ยุคที่เปรี้ยงป้างสุดๆ ของ  Ray-Ban  กับการถือกำเนิด Wayfaere, Signet และ Caravan หากเทียบแล้ว ก็ยังไม่เท่าช่วงยุค 80s ที่เรากำลังพูดถึงอยู่ในขณะนี้ เมื่อตำนาน  King of Pop  อย่าง  Michael Jackson  จับ  Ray-Ban  มาใส่ตลอดเวลาทัวร์คอนเสิร์ต  “Bad”  ฝั่งดารานักแสดงเองก็มีพระเอก  Tom Cruise  ที่สวมใส่ Ray-Ban ใน Top Gun ภาพยนตร์ที่ทำให้เค้าโด่งดังเป็นพลุแตก

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คำว่า “ธุรกิจ” ย่อมมีขึ้นมีลงเสมอ ในขณะที่ Ray-Ban มียอดขายเพิ่มขึ้น 40% พวกเค้าตัดสินใจลดราคา และลดคุณภาพในการผลิตลง เพื่อจะหันไปเปิดลงทุนในด้านของ อุปกรณ์เสริมต่างๆ แทน สุดท้ายก็โป๊ะแตก ในปี 1990 คนอเมริกาเริ่มที่จะลืมสิ่งที่เคยนิยม, แฟชั่น, รวมไปถึงรูปแบบการใช้ชีวิตในช่วง ยุค 80s  ส่งผลให้  Ray-Ban  ถูกลดคุณค่า กลายเป็นแว่นกันแดดธรรมดา ๆ เท่านั้น

Leonardo-DiCaprio-Jordan-Belfort-The-Wolf-of-Wall-Street-RayBan-Wayfarer-Sunglasses-Celebrity-Picture-800x526

Ray-Ban ยังคงเจอกับปัญหาที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการเกิดใหม่ของคู่แข่ง ตัวจี๊ดอย่าง  Oakley  ที่นับวันยิ่งแข็งแกร่ง และได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าแว่นกันแดดของ  Ray-Ban  จะไปปรากฏอยู่ในภาพยนต์ หรือเวทีคอนเสิร์ตใดก็ตาม มันก็ไม่สามารถช่วยให้ความนิยมกลับมาได้อีกแล้ว ในที่สุดแบรนด์ที่เคยยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Celeb โด่งดังระดับไหนก็ยังชื่นชอบมัน กลับหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ หรือแม้กระทั่งในปั้มน้ำมันก็ยังมีขาย

ray-ban-clubmaster

A New Beginning

Ray-Ban  ในตอนนั้น ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังจะตาย หายใจรวยรินแผ่วเบา  แต่เหมือนคนดีผีคุ้ม มีบริษัทแว่นแห่งหนึ่งจากประเทศอิตาลี มองว่าความล้มเหลวเป็นโอกาสทอง ที่จะนำเอาตำนานกลับมาเล่าใหม่ บริษัทที่ว่าก็คือ  Luxottica  ซึ่งในภายหลังได้ทำการซื้อ Ray-Ban ไป พร้อมทั้งดำเนินการฟื้นฟูแบรนด์ขึ้นใหม่อย่างเต็มความสามารถ พวกเค้าหันกลับมาใส่ใจการผลิต และคุณภาพของวัสดุอย่างจริงจัง

Luxottica สั่งเก็บผลิตภัณฑ์  Ray-Ban  ทุกชิ้นจากร้านสะดวกซื้อ และปั้มน้ำมัน เพื่อกำจัดภาพลักษณ์ที่ทำให้  Ray-Ban  กลายเป็นแว่นบ้าน ๆ พร้อมทั้งนำผลิตภัณฑ์ใหม่จาก Ray-Ban ที่พวกเค้าพัฒนาคุณภาพแล้ว ไปเสนอให้กับ Neiman Marcus และ Saks Fifth Avenue แทน

“In 1999 Aviators sold for under $20, a decade later they could be found selling for $130 in boutiques.”

ray-ban-aviator

ray-ban-wayfarer

จนเข้าสู่ยุค 2000 Luxottica เริ่มทำการตลาดใหม่  Ray-Ban  เริ่มมีเทคโนโลยีเลนส์ที่น่าสนใจมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เลนส์  Polarized  ที่สามารถลดความเข้มของแสงลงได้ถึง  99%  อีกทั้งยังมี  OLEO Hydrophobic Coating  ที่ทำให้สิ่งสกปรกไม่สามารถเกาะติดเลนส์จนเป็นคราบได้ ทำความสะอาดเลนส์ได้ง่ายขึ้น เพิ่มความคมชัดของสีให้แจ่มแจ๋วมากยิ่งขึ้น

เหมือน Luxottica จะจับทางได้ และมันก็ค่อนข้างจะไปได้สวยเลยทีเดียว พวกเค้าจึงหันไปพัฒนาเรื่องเทคโนโลยีแทน ความตั้งใจในตอนแรก ที่จะนำเอา Ray-Ban กลับมาขาย ด้วยประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของตัวมันเอง จนเข้าสู่ยุค 2010s  แว่นกันแดดแบรนด์ดังที่เคยมีราคาตกต่ำ ราวกับแว่นของเด็กเล่น ต้องใช้เวลากว่าทศวรรษในการเดินกลับเข้าสู่หนทางที่ถูกต้อง

ในวันนี้  Ray-Ban  ได้กลับมาในจุดที่พวกเค้าควรจะอยู่แล้ว ตำแหน่งแบรนด์แว่นกันแดดอันดับหนึ่งของโลก และยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ได้ตกเป็นของ  Ray-Ban  อีกครั้ง พร้อมกับสถิติแว่นกันแดดที่ขายดีที่สุดในโลกตลอดกาล เป็นเครื่องการันตรีให้ทั่วโลกได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ที่ยากจะหาใครมาลบเลือน

 

SOURCE

 

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line