World
เบื้องหลังกลวิธีทำให้นักบินอวกาศมีความสุข ขณะทำงานอยู่นอกโลกนานนับปี
By: Chaipohn August 20, 2019 157734
กว่าที่นักบินอวกาศจะผ่านการฝึกเพื่อเข้ามาประกอบอาชีพนี้ได้นั้น พวกเขาจะต้องเผชิญกับแบบทดสอบที่ท้าทายทั้งศักยภาพด้านร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก เพื่อให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์หลายรูปแบบที่ไม่อาจคาดเดาได้จากนอกโลก ซึ่งมีผลต่อความเป็นความตายของพวกเขาได้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม นักบินอวกาศเหล่านี้ก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ต่างไปจากพวกเราทุกคน จินตนาการว่าเราเจอหลุมอากาศหนัก ๆ บนเครื่องบินยังกลัวชนิดลืมหายใจ นับประสาอะไรกับการนั่งยานอวกาศออกไปนอกโลกอันมืดมิด ซึ่งในอดีตก็มีเหตุการณ์ที่สภาพจิตใจของพวกเขาเคยมีปัญหามาแล้วหลายครั้ง เช่นในปี ค.ศ. 1973 ลูกเรือภารกิจ Skylab 4 ตัดสินใจประท้วงหยุดงานกลางอวกาศ โดยการยุติระบบสื่อสารกับภาคพื้น และหยุดการทำงานทุกอย่างลง สาเหตุมาจากการถูก NASA อัดตารางทำงานให้โดยไม่คำนึงถึงการพักผ่อนของนักบินอวกาศ
แน่นอนว่าพอหลังเปิดระบบสื่อสารในวันกลับมา พวกเขาก็โดนตำหนิจากการกระทำดังกล่าวอย่างหนัก แต่นั่นก็ทำให้ NASA ปรับปรุงการจัดตารางทำงานให้กับลูกเรือ โดยคำนึงถึงสภาพร่างกายและจิตใจของนักบินอวกาศมากยิ่งขึ้น ลูกเรือ Skylab 4 ทั้งสามคนได้รับเหรียญรางวัลขั้นสูงสุดของ NASA แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้รับโอกาสให้กลับไปสู่อวกาศอีกเลย
และเมื่อดูภารกิจในปัจจุบันที่แต่ละประเทศก็ต่างอยากส่งมนุษย์ออกไปสำรวจดาวอังคาร รวมทั้งวัตถุที่อยู่ไกลออกไปจากนั้นอีก นั่นทำให้สภาพจิตใจของนักบินอวกาศจะต้องถูกศึกษาและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการ Freak Out ขึ้นระหว่างการเดินทางนานแรมปีในแต่ละภารกิจ มาดูเทคนิคที่บรรดาหน่วยงานอวกาศต่าง ๆ กำลังศึกษา เพื่อดูแลสุขภาพจิตของนักบินอวกาศกัน
เริ่มแรกให้เราลืมภาพยานอวกาศที่พบเห็นตามหนังไปให้หมด เพราะการส่งยานแต่ละครั้งมีข้อจำกัดที่โหดร้าย และค่าใช้จ่ายมหาศาล ทำให้ทุก ๆ ภารกิจต้องนำไปเพียงแค่ของที่จำเป็นเท่านั้น ยังไม่รวมถึงขนาดของยานที่ค่อนข้างแคบและแออัด ลองนึกภาพการถูกกักบริเวณไว้ในรถยนต์ส่วนตัวที่มีระบบคอมพิวเตอร์มากมาย kไม่รู้จะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเมื่อไหร่เป็นเวลา 1 อาทิตย์ดู แถมมีเชื้อเพลิงจำนวนมหาศาลอยู่รอบตัวที่ไม่รู้จะเกิดระเบิดขึ้นมาเมื่อไหร่ เพราะนั่นคือสิ่งที่ลูกเรือในโครงการ Apollo เผชิญ ระหว่างเดินทางไปและกลับจากดวงจันทร์เมื่อ 50 ปีที่แล้ว
ทีนี้ทั้งความแคบของยาน เสียงการทำงานจากเครื่องยนต์ต่าง ๆ ที่ดังกระหึ่ม ไม่มีอากาศบริสุทธิ์แบบบนพื้นโลกให้หายใจ และไม่มีแสงอาทิตย์ให้ปรับนาฬิกาชีวิตตามได้ ชีวิตของนักบินอวกาศนั้นถือว่าไม่ได้ง่ายดายเลย ดังนั้น NASA จึงติดตามการนอนหลับของนักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติ และปรับแสงไฟ LED เพื่อช่วยให้ร่างกายของพวกเขาปรับตัวตามนาฬิกาชีวิต หรือ Circadian Clock ได้เร็วยิ่งขึ้น
อาหารการกินนั้นก็สำคัญ สมมติว่านักบินอวกาศต้องทานแต่อาหารแช่แข็งไปตลอดทั้งปี ก็ต้องมีการเบื่อกันเป็นธรรมดา ดังนั้น NASA ก็พยายามจะเพิ่มความหลากหลายของอาหารบนนั้นให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งผลไม้สดขึ้นไปให้ทานอยู่เรื่อย ๆ และยังมีการทดลองปลูกผักบนสถานีอวกาศอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้แน่ใจว่านักบินอวกาศจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และไม่เบื่อกับการกินไปเสียก่อน
นอกจากนี้ NASA ยังอนุญาตให้นักบินอวกาศนำของส่วนตัวที่อยากนำติดตัวไปด้วยได้เช่นกัน (แน่นอนว่าจำกัดน้ำหนัก ส่วนใหญ่พวกเขาจะเลือกกล้องรูปถ่าย) และยังสามารถมีการโทรคุยแบบวีดีโอคอลกับสมาชิปครอบครัวได้บ่อยๆ ไปจนถึงพูดคุยผ่านเมลและโซเชี่ยลมีเดียต่าง ๆ ได้อยู่เช่นกัน
นักบินอวกาศจะมีเวลาว่างหลังจากทำงานในแต่ละวัน มีวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เหมือนกับทำงานบนโลก ที่พวกเขาสามารถใช้ไปกับการออกกำลังกาย พูดคุยกับสมาชิกในครอบครัว หรือไปนั่งมองโลกจากโมดูล Cupola หน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นโลกได้ชัดๆ ซึ่งเป็นที่ๆ นักบินอวกาศชอบไปใช้เวลาว่างกันอยู่ตรงนั้นอีกด้วย
แม้ทั้งหมดที่ว่ามานี้จะดูน่าสนใจ แต่สำหรับภารกิจสำรวจดาวอังคารนั้นก็คงยากที่เราจะขนทั้งสถานีอวกาศนานาชาติออกเดินทางสู่ดาวอังคารได้ และมีอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับสภาพจิตใจของนักบินอวกาศ ในการที่จะต้องออกเดินทางนานหลายปีสู่ที่ๆ ความเร็วแสงใช้เวลาหลายนาทีเดินทางไปจากโลก ดังนั้นในปัจจุบันก็เลยมีการสร้างภารกิจจำลองอย่าง HERA และ HI-SEAS เพื่อให้นักบินอวกาศและอาสาสมัครได้ไปฝึกจำลองจากสถานการณ์จริง เช่น การสื่อสารที่ถูกหน่วงเวลาให้ช้าลง การอยู่ด้วยกันกับเพื่อนร่วมภารกิจเป็นระยะเวลายาวนาน เป็นต้น
นับตั้งแต่วันแรกที่จรวดทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงดาวเราได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล จากความเข้าใจเหล่านั้น เราก็ได้นำมันมาเรียนรู้และเข้าใจในตัวเราเอง เข้าใจในเพื่อนของเรา เข้าใจกับทุกสิ่งทุกอย่างมากยิ่งขึ้น และแม้เราจะยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามนุษย์คนแรกที่จะไปดาวอังคารจะรู้สึกอย่างไรกับการเดินทางนานนับปี แต่เชื่อได้เลยว่าตราบใดที่เราไม่หยุดค้นคว้าและพัฒนา เราจะเข้าใจความรู้สึกในส่วนนี้ของนักบินอวกาศทุกคนได้ในไม่ช้าแน่นอน
Appendix: 1 /